ยิ่งเฟดขึ้นดอกเบี้ย ยิ่งกดดันตลาดพันธบัตรของเอเชีย
การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กำลังกดดันตลาดพันธบัตรของหลายประเทศในเอเชียว่า อาจจะกำลังเข้าสู่ช่วงถูก "ขายออก (sell-off)" หรือก็คือ ช่วง "ดอกเบี้ยขาขึ้น"
หมายเหตุ: อัตราผลตอบแทนแปรผกผันกับราคาพันธบัตร การที่พันธบัตรถูกขายออกมาก จะทำให้ราคาพันธบัตรถูกลง และอัตราผลตอบแทนสูงขึ้น
ที่เป็นแบบนี้ เพราะว่า โดยปกติแล้ว อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรจะถูกกำหนดจากความเสี่ยงของมัน ยิ่งเสี่ยงมากก็ยิ่งต้องให้ผลตอบแทนมาก
ซึ่งคนในตลาดก็มักจะเชื่อมั่นกันว่า พันธบัตรที่มีความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด คือ พันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นตามดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้น ก็ทำให้มีแรงกดดันต่อ "อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรประเทศอื่นๆ ที่ต้องปรับตัวขึ้นตามนั่นเอง"
📌 โลกกำลังเข้าสู่ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น??
โดยหลายประเทศก็เริ่มเข้าสู่ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นกันแล้ว อาทิ อังกฤษ สหภาพยุโรป หรือแม้แต่สวิสเซอร์แลนด์ที่ไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมานาน ก็ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 15 ปีไปแล้ว
แต่เมื่อหันกลับมาดู ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย หลายประเทศยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายค่อนข้างต่ำ
โดยอ้างอิงจาก Bloomberg "ผลต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและสหรัฐฯ อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบอย่างน้อย 14 ปี เกือบทุกประเทศในภูมิภาคเลย"
ซึ่งมันก็สะท้อนต่อเนื่องไปยังอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล ที่อัตราผลตอบแทนของประเทศเอเชียมีความดึงดูดน้อยลงเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ
อันที่จริง เมื่อเปรียบเทียบพันธบัตรอายุไถ่ถอน 10 ปี ในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า ผลตอบแทนพันธบัตรของหลายประเทศในเอเชียติดลบแล้วเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ
ซึ่งถ้าคนมองกันว่า พันธบัตรของกลุ่มประเทศเอเชียยังมีความเสี่ยงเท่าเดิม เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ก็มีโอกาสที่จะเกิดการเทขายพันธบัตรออก เพื่อปรับให้ผลต่างอัตราผลตอบแทนกลับไปสู่จุดเดิม
📌 เงินเฟ้อที่สูงยิ่งกดดันการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
แรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอย่างเดียวว่าหนักแล้ว ยังมีแรงเสริมจากสภาวะเงินเฟ้อที่สูงจากภาวะสงครามในยูเครนอีก ที่อาจจะกดดันให้ประเทศในกลุ่มเอเชียต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลต้องปรับสูงขึ้นด้วย
โดยตอนนี้ เมื่อดูอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ที่คำนวณมาจากดอกเบี้ยนโยบายลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ จะเห็นได้ว่า หลายประเทศเจอกับภาวะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบแล้ว โดยหนึ่งในนั้น ก็คือ ประเทศไทยเองที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง คำนวณจากเงินเฟ้อเดือนล่าสุด ติดลบมากกว่า 6% แล้ว
ซึ่งปัจจัยนี้ก็จะเป็นแรงกดดันให้ธนาคารกลางของประเทศในเอเชีย ต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเพื่อสู้เงินเฟ้อในอนาคต
ซึ่งถ้าตลาดคาดการณ์ไปแล้วว่า ในอนาคตต้องมีการปรับดอกเบี้ยแน่ๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ "พวกเขาจะปรับราคาของสินทรัพย์ที่อิงกับดอกเบี้ยตั้งแต่วันนี้เลย" ซึ่งสินทรัพย์หลักที่ได้ผลกระทบ ก็คือ "พันธบัตร" ที่มีโอกาสจะถูกเทขาย
และปัญหาการถูกเทขายแบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงกับแค่ประเทศกำลังพัฒนาเท่านั้น อันที่จริง ประเทศใหญ่อย่างญี่ปุ่นก็กำลังเจอการเทขายพันธบัตรรัฐบาลจากนักลงทุนชาวต่างชาติอยู่
โดยธนาคารกลางญี่ปุ่น ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่นต่อไปอีกสักระยะ
แต่ญี่ปุ่นก็สามารถทำได้ง่ายกว่าหลายประเทศเล็กน้อย หากพิจารณาในแง่ของเงินเฟ้อ ที่ประเทศเขายังอยู่ในระดับที่ถือว่าไม่สูงมากเท่าคนอื่น และธนาคารกลางญี่ปุ่นก็ยังรอสัญญาณเงินเฟ้อที่มาจากภาคการบริโภคที่ชัดเจนกว่านี้
โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา (สัปดาห์เริ่ม 17 มิถุนายน) ถือเป็นสัปดาห์ที่มีปริมาณการขายสุทธิในพันธบัตรญี่ปุ่นโดยชาวต่างชาติ (Non-residents' net investment in Japan bonds) สูงเป็นประวัติการณ์ ที่ระดับ 4.8 ล้านล้านเยน (ประมาณ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ซึ่งทางธนาคารกลางญี่ปุ่น ก็ยังพยายามควบคุมอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรญี่ปุ่นอยู่ ผ่านการเข้าซื้อในด้านตรงข้ามกับที่ชาวต่างชาติขายออก เพื่อให้ต้นทุนการกู้ยืมผ่านพันธบัตรยังอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายต่อไป
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ทิศทางในตลาดพันธบัตรจะเป็นอย่างไร และธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะมีทิศทางแบบไหนเพื่อจัดการดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจของประเทศตัวเอง ในภาวะที่ถูดดันจากตลาดแบบนี้...
ผู้เขียน : ณัฐนันท์ รำเพย Economist, Bnomics