ประสบการณ์การเทรดของตัวเองค่ะอยากเล่าให้เม่าใหม่ฟังว่าธรรมชาติของกราฟมันไม่ได้ทำกำไรง่ายขนาดนั้น แต่บทความนี้ยังพอเป็นแนวทางให้ทำกำไรระยะสั้นได้นะคะ
การเทรดของฉันคือหวังทำกำไรเร็วไม่อยากเปิดออเดอร์ไว้นาน ฉันเทรดด้วย indicators ฟรีที่แถมมากับ MT4 ซึ่งไม่ได้แม่น 100% แต่ก็ยังพอช่วยในการหาแนวรับ - แนวต้านเพื่อเข้า order ได้บ้าง แต่ก็ดูราคาแนวรับ - แนวต้านอื่นๆ ตามอินเทอร์เน็ตและจากเว็บ
traderider.com ด้วย ส่วนการ Money Management ก็สำคัญแต่จำนวนทุนก็สำคัญมากเช่นกัน แต่การเทรดควรมีทุนมากพอและควรเป็นเงินเย็นไม่เช่นนั้นจะเครียดและส่งผลให้ใจร้อนสุดท้ายทำให้พอตเสียหาย
เรามาพูดถึงเรื่องจำนวนทุนกันก่อนค่ะส่วนเทคนิคในการเทรดจะพูดในบทความต่อไปทำไมทุนต้องมาก? ต้องมากแค่ไหน?
ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะเปิด Order ละกี่ Lot และยอมสูญเสีย Order ละเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นจะเล่าให้เห็นธรรมชาติของกราฟและจะเข้าใจว่าทำไมควรมีทุนมากพอและทำไมควรเป็นเงินเย็น
1. ธรรมชาติของกราฟนั้นมักจะสวิงขึ้นลงระยะไกล คุณไม่สามารถจะ Cut Loss ทุกครั้งที่กราฟสวิงได้ จึงจำเป็นต้องมีทุนให้พอลากได้สักระยะหนึ่ง หากกราฟ Breakout ค่อยตัดใจคัททิ้งเพราะนั่นหมายความว่ากราฟจะกลับตัวไปอีกทิศทางแล้ว ไม่ควรถือต่อ ช่วงเวลาที่โดนลากบางครั้งจบภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่บ่อยครั้งข้ามวันหรือข้ามอาทิตย์ ระหว่างนั้นถ้าไม่ใช่เงินเย็นจะเครียดมากค่ะ เพราะเราจะพยายามทำกำไรให้ได้ แต่เนื่องจากกราฟ Sideway นอกจากทำกำไรไม่ได้แล้วอาจทำขาดทุนเพิ่มอีกด้วยค่ะ
2. ระยะที่ปล่อยลากบางครั้งไกลมาก 1,000+ 2,000 + จุด (ขอเรียกว่าจุด) แต่ถ้าเทรดทองกราฟสวิงแรงกว่านั้นมากอาจหลายพันจุดซึ่งถ้าทุนไม่มากจริงจะลำบาก
กราฟมีแนวรับ - แนวต้าน ขึ้นเจอต้าน ลงเจอรับ และมีหลายราคาไม่ได้มีราคาเดียว ในการเทรดจะดูแนวโน้มเทรนด์ของกราฟเป็นหลักว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลงโดยอาจวิเคราะห์จากข่าวและอินดิเคเตอร์ต่างๆ ซึ่งจะพูดถึงในบทความต่อไปค่ะ
ยกตัวอย่าง EURUSD
แนวรับที่หนึ่ง 1.1030 รับที่สองคือ 1.0995
เช่นเรา Buy ที่ 1.1030 หวังว่ากราฟมันจะวิ่งขึ้นไปยัง TP ของเราแต่กราฟกลับวิ่งลงต่อไปแนวรับที่สองหรือมากกว่านั้นแบบนี้เรียกว่าโดนลาก ทำให้ออเดอร์ติดลบ แต่ไม่ต้องตกใจถ้ายังไม่ SL แต่ถ้าชน SL (Stop Loss) แล้ว ก็ต้องตัดใจและรอจังหวะเข้าใหม่ค่ะ ซึ่งอาจจะรอข้ามวัน ห้ามลืม! ทุกออเดอร์ต้องตั้ง SL ทุกครั้งนะคะ
ทีนี้มาดูว่าถ้าชน stop loss เราจะเสียเงินเท่าไหร่ เมื่อกี้เรา buy กันที่ราคา 1.1030 สมมุติใส่ไป .03Lot* และสมมุติตั้ง SL ไว้ที่ 1.0950 เท่ากับ 800 จุด
800 x.03 เท่ากับเสียเงิน $24
แต่อย่างที่บอกค่ะบางครั้งกราฟสวิงไกลมากอาจเป็นช่วงข่าวรุนแรงมีผลทำให้กราฟผันผวนมาก จึงจำเป็นต้องคำนวณความสูญเสียเผื่อไว้ เช่นถ้าคุณยอมให้โดนลากได้ 1,500 จุด
1,500 x .03 = เสีย $45
แต่คุณอาจไม่ได้เปิดแค่ .03Lot และอาจไม่ได้มีแค่ 1 order จึงต้องคำนวณความสูญเสียและโอกาสเปิด order ใหม่หลังจาก cut loss ไปบางส่วนแล้ว และคุณจะทราบว่าควรใช้ทุนเท่าไหร่ ขออนุญาตแนะนำหากทุนต่ำกว่า $1,000 ไม่ควรเปิดเกิน 3 order และไม่ควรเกิน 0.04Lot ถ้าคุณใช้ Lot size ขนาดใหญ่เวลาโดนลากจะเครียดมากค่ะ อาจไม่สบายใจจนทำให้ต้องเฝ้ากราฟทั้งวันหรือเครียดจน cut loss ไปเฉยๆ ทั้งที่ยังไม่ SL อันนี้จากประสบการณ์ตรงเลยค่ะ
*Lot ลอท คือปริมาณหรือขนาดการซื้อขาย ถ้าเรียกง่ายๆ ก็คือเปิดออเดอร์ละกี่เหรียญนั่นเองค่ะ
Indicators ที่ใช้และเทคนิคธรรมดาๆ ในการเทรดเก็บกำไรระยะสั้นรายวันรายสัปดาห์
ต้องวิเคราะห์ตลาดและเทรนด์ของกราฟร่วมด้วยนะคะว่าขาขึ้นหรือลง เว็บ
traderider.com มีแอดมินและเพื่อนๆ สมาชิกคอยส่งข่าวอยู่เรื่อยๆ ค่ะ ทำให้รู้ว่าขณะนี้กราฟเป็นเทรนด์อะไรจึงไม่ยากเกินไปในการเทรดค่ะ ปัญหาในการเทรดแท้จริงคือใจไม่นิ่งพอ รีบร้อนค่ะ
*แอดมินและเพื่อนสมาชิกน่ารักมีน้ำใจมาก มีเทคนิคดีๆ อะไรก็เข้ามาแบ่งปันกันเสมอ ถ้าใครไม่ได้ติดตามกระทู้อย่างต่อเนื่องอาจพลาดเทคนิคและจุดเข้าออเดอร์ดีๆ
จะพูดแค่วิธีเอาตัวรอดของฉันนะคะ จะไม่อธิบายคุณสมบัติและการใช้งานของ Indicators แบบละเอียด เพราะในสถานการณ์จริงหลายครั้งแทบจะไม่ได้ใช้เทคนิคเชิงลึกอะไรมากเลยค่ะ ที่เคยศึกษาเคยท่องจำว่าเส้นนั้นตัดเส้นนี้รอเส้นโน้นรอสัญญาณอะไรต่างๆ ถึงเวลาจริงบางครั้งใช้ไม่ได้ผลแถมทำให้ฉันเครียดอีกเลยตัดปัญหาไม่ไปกังวลกับตรงนั้นค่ะแค่ใช้เครื่องมือเหล่านี้ดูคร่าวๆ บวกดูราคาแนวรับ - ต้านแข็งเก่าแค่นั้นพอ แนวทางนี้อาจไม่ตรงกับหลักการเทรดที่ดีนักแต่ฉันรู้สึกว่าแบบนี้ทำให้เครียดน้อยลงและทำกำไรได้จริงค่ะ
จะวางลิงค์รายละเอียดของอินดิเคเตอร์ทั้งหมดไว้ท้ายบทความนะคะ
1. Moving Average(MA)
2. Bollinger Band(BB)
3. เส้น Trendline
4. Fibonacci Retracement
5. RSI
วิธีที่ใช้คือ ทั้งหมดดูผสมกันไปค่ะเพราะไม่มีตัวไหน 100% แต่ถ้าดูบ่อยสุดคือ MA, BB, เส้น Trend Line
ฉันจะวัด Fibo ในไทม์เฟรม H4 D1 ส่วน MA ดูไทม์เฟรม D1 W1 MN เป็นภาพรวมใหญ่ก่อนแล้วจึงมาดูไทม์เฟรม M30 H1 H4 ในการหาจุดเข้าออเดอร์โดยใช้ MA และ BB เป็นแนวรับ - ต้าน และดู Trend Line ร่วมด้วย โดยวัดจากยอดกราฟในไทม์เฟรม M30 H1 H4 D1 และดูราคาแนวรับ - ต้านของคนอื่นประกอบด้วยค่ะ

Trend Line จะตีกี่เส้นก็ได้ค่ะแล้วแต่ถนัด ในภาพฉันแค่ยังไม่ได้ลบทิ้งเท่านั้นเลยรกสักหน่อย บางเส้นไม่จำเป็นต้องใช้อีกแล้ว ฉันใช้ trend line ตีเป็นกรอบ เช่น ถ้ากราฟอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นและถ้ากราฟทะลุกรอบขึ้นไปยืนเหนือกรอบได้ 1 แท่งเทียนจึงจะหาจังหวะ buy ตาม แต่ถ้ากราฟไม่ทะลุขึ้นไปสักทีเพราะอยู่ในช่วง Sideway ก็จะหาจังหวะ sell หรือ buy ระหว่างที่กราฟยังวิ่งอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมแต่แค่ 2 - 3 ครั้ง และ TP สั้นๆ 200 - 300 จุด แต่บางครั้งก็ไม่ได้ผลกราฟอาจบินหรือร่วงก่อนและอาจทำให้ชน SL ถ้าแบบนี้อย่าเพิ่งเปิด order ใหม่ ให้รอกราฟทะลุออกนอกกรอบไปด้านใดด้านหนึ่งก่อนเพื่อยืนยันการกลับตัวจึงค่อยหาจังหวะ buy หรือ sell ตามค่ะ
ราคาตรงแถบสีม่วง, แดง ที่เห็นในภาพ คือ แนวรับ - แนวต้านเก่าในช่วง 3 - 4 เดือนนี้ จริงๆ หลายราคาไม่จำเป็นอีกแล้วแค่ยังไม่ได้ลบทิ้งค่ะ ราคาเก่าใช้ประกอบการตัดสินใจเวลาจะเข้า order แต่ 1 - 2 ครั้งเท่านั้น แต่ถ้าทราบว่ากราฟช่วงนั้นๆ เทรนด์อะไรและถ้ายิ่ง Sideway หลายวัน ก็ค่อนข้างใช้ได้ผลค่ะ เช่น ถ้าแนวโน้มขาลง ทุกครั้งที่กราฟย่อขึ้นมาก็จะ Sell สวนลงไป TP ไม่เกิน 300 จุด
*MA ตั้งค่าตามความถนัดค่ะ ลองเทรดแล้วจะรู้ว่าตัวเองถนัดใช้อันไหน แต่ใน Time Frame ใหญ่เขามักจะใช้ 100, 200

ในภาพเป็นไทม์เฟรม W1 กราฟขึ้นไปชน MA110(เส้นดำ) แล้วย่ออาจเพราะในไทม์เฟรมใหญ่สุด MN กราฟได้ชนเส้น BB(เส้นสีเขียวทั้ง 3) และราคานี้โซนนี้ก็เป็นแนวเก่าที่เคยผ่านยากกราฟจึงย่อ เห็นตรงนี้จึงกล้า Sell ค่ะ เพราะยังไงก็ต้องย่อบ้าง แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูสถานการณ์ของตลาดในช่วงเวลานั้นๆ ด้วย ถ้าข่าวแรงมากๆ กราฟก็อาจวิ่งทะลุแนวเดิมไปได้สบาย แต่หากยังไม่สามารถและเท่าที่ย้อนดูอดีตของกราฟยังไงก็ยังย่อได้ค่ะ 2,500 จุด+ เพียงแต่ไม่ได้ย่อทันที อาจ Sideway หลายวันกว่าจะย่อทำให้ไม่กล้า Sell กัน
แต่ถ้ากราฟแรงมากจนวิ่งชน SL ก็ค่อยหาจังหวะ sell อีกครั้งค่ะ เพราะแถวเส้น MA BB ในไทม์เฟรมใหญ่มองว่ายังไงกราฟก็ยังย่อได้อยู่ค่ะ และกรณีที่ยังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นถึงย่อลงไปแล้วก็จะบินกลับขึ้นมาอีก แต่กว่าจะขึ้นมาก็อาจ Sideway หลายวันอีกเช่นกัน อันนี้คือเท่าที่สังเกตนะคะไม่ได้การันตีว่าจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งไป

มาดูในไทม์เฟรม D1 ถ้ากราฟยืนเหนือ MA 200 220(เหลือง, แดง) แบบนี้ก็คือเป็นเทรนด์ขาขึ้นชัดเจนค่ะ แต่หากกราฟไม่บินยาวและ Sideway ฉันก็จะหาจังหวะ sell แต่ก่อนเปิด order จะรอดูท่าทีของกราฟก่อนถ้ากราฟวิ่งขึ้นไปชนราคาเก่าประมาณ 4 ครั้งไม่ผ่านจะ Sell แม้แนวโน้มของกราฟจะเป็นเทรนด์ขาขึ้นก็ตาม แต่จะ TP สั้นๆ ค่ะแค่ 200 - 400 จุด และถ้า Sideway หลายวันก็จะเก็บสั้นแบบนี้อีกสัก 1 ครั้ง เนื่องจากเป็นขาขึ้นก็กลัวพี่กราฟเขาจะรีบบินเหมือนกันนะคะ
เส้น MA110 120 แม่นหลายครั้งใน W1 แม้บางครั้งจะวิ่งเลยบ้างแต่ก็สามารถย่อได้ แต่เส้นนี้ไม่แม่นทุกคู่นะคะ แต่คิดว่าเป็นแค่จังหวะของตลาดมากกว่าไม่ได้เกี่ยวว่าคู่เงินไหน ให้ทดลองเพิ่มเส้น MA อาจเป็น 130 140 แล้วสังเกตดูว่าคู่เงินนั้นส่วนใหญ่กราฟจะวิ่งมาชนเส้นไหนบ่อยกว่าจะได้ใช้เป็นจุดเข้าออเดอร์ของเราค่ะ
ในการดัก Sell เส้น MA เราดูไทม์เฟรมใหญ่เป็นหลักค่ะและจะเปิดออเดอร์ 2 ราคา คือเปิดในจังหวะที่ชนเส้นพอดีกับราคาที่วิ่งเลยเส้นไปหน่อยประมาณ 300 - 500 จุด หรืออาจมากกว่านี้ แต่หากกราฟบินเลยไปอีกแต่ยังไม่ชน SL ก็จะยังไม่รีบ Cut loss ค่ะจะดูแนวโน้มก่อน เพราะส่วนใหญ่ยังย่อกลับลงมาบ้างก่อนจะบินต่อ แต่ก็อาจใช้เวลาหลายวันอีกเช่นกันค่ะ ต้องอดทนรอ

RSI ไม่ค่อยได้ดูมากแต่ก็ถือว่ามีประโยชน์อยู่ค่ะ ตีเทรนไลน์ใน Time Frame H1 H4 D1 จะค่อนข้างเห็นได้ชัดขึ้นเวลาที่กราฟวิ่งมาชนแนวเดิม ส่วนใหญ่จะย่อจริง ฉะนั้นใช้เป็นจุดยืนยันเข้าออเดอร์ได้ค่ะ กราฟอยู่ในแนวเลข 80-100 ให้ Sell และ 0-20 ให้ Buy อาจเข้า order ก่อนถึงเลขดังกล่าวต้องดู indicator อื่นควบคู่กันไปด้วยค่ะ
ส่วนนี่คือการใช้งาน Indicators แบบละเอียดโดยจะลิงค์ไปยังบทความของเพื่อนสมาชิกค่ะ
1.
การใช้งาน Indicator Moving Average (MA)2.
เทคนิคการเทรดด้วย Bollinger Bands3.
Secret Of Bollinger Band4.
Forex Grade 4 # Trendline การลากเส้น เทรนไลน์5.
เทคนิคการเทรด Forex ด้วย Trendline เทคนิค การทำกำไร Forex ด้วยเส้นเทรนไลน์6.
Forex Grade 5 # Fibonacci และการทำกำไรจาก Fibonacci7.
การใช้ Fibonacci Retracement (เบื้องต้น)8.
Mt4 Indicator RSI ( relative strength index) คืออะไร มาเรียนรู้การใช้ RSI