(Dec
โค้งอันตราย สงครามการค้าเดือดทุบเศรษฐกิจข้ามปี: บรรยากาศการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะเดือนธันวาคมนี้ ทุกสายตาจับจ้องวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งสหรัฐฯขีดเส้นเป็นกำหนดวันขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกระลอกในอัตราเพิ่ม 15% คิดเป็นวงเงินประมาณ 156,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะครอบคลุมสินค้าเกือบทุกรายการที่จีนส่งออกมายังสหรัฐฯ ที่ยังไม่โดนเก็บภาษีเพิ่มจากครั้งก่อนๆ หากทั้ง 2 ฝ่ายเจรจาทำข้อตกลงสงบศึกบางส่วนที่เรียกกันว่า ข้อตกลงการค้าเฟส 1 สำเร็จ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยลั่นวาจาไว้ว่าการขึ้นภาษีครั้งใหม่กลางเดือนธันวาคมก็จะไม่เกิดขึ้น
การเมืองทำความหวังริบหรี่
แต่มาถึงช่วงเวลานี้ ไม่มีใครมั่นใจได้อีกแล้วว่าข้อตกลงที่เป็นความหวังดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ทัน เพราะจนถึงขณะนี้แม้คณะ เจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายยังคงเดินหน้าเจรจากันอยู่ โดยมีข่าวล่าสุดว่า นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลัง ที่เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายสหรัฐฯ อาจจะเดินทางเยือนจีนอีกครั้งหลังวันหยุดเทศกาลขอบคุณพระเจ้าเพื่อเร่งเคลียร์ประเด็นปัญหาที่ยังค้างคากันอยู่ แต่บรรยากาศรอบข้างกลับทวีความคุกรุ่นของสภาวะความเป็นปฏิปักษ์หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ตัดสินใจลงนามบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในฮ่องกงเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 พ.ย.) ซึ่งจีนมองว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในประเทศของจีน และได้แถลงมาตรการตอบโต้ออกมาแล้วด้วยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้มีการออกแถลง การณ์คว่ำบาตร 3 องค์กรอิสระที่เคลื่อนไหวด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯ และห้ามไม่ให้เรือรบสหรัฐฯเข้าเทียบท่าที่ฮ่องกง
แม้จะเป็นมาตรการตอบโต้ที่พุ่งไปทางด้านการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ได้แตะประเด็นด้านการค้า แต่ก็ส่งผลเชิงลบต่อบรรยากาศการเจรจาการค้าของทั้ง 2 ฝ่ายอย่างไม่ อาจหลีกเลี่ยง ทั้งยังสั่นคลอนความมั่นใจของนักลงทุนในตลาดการเงินทั่วโลก สะท้อนจากราคาหุ้นที่วูบไหวขึ้นๆลงๆ ตามข่าวที่เกิดขึ้น
ไม่คืบหน้าก็แตกหัก
สถานะการเจรจาถูกต้อนเข้าสู่มุมลำบาก เป็นทาง 2 แพร่ง ที่นักวิเคราะห์เรียกว่า ถ้าไม่จับมือกัน ก็แตกหักกันไปเลย ซึ่งดูสถานการณ์แล้วไม่มีอะไรให้มั่นใจหรือคาดหวังในเชิงบวก เนื่องจากการตัดสินใจของผู้นำสหรัฐฯนั้นเป็นเรื่องยากจะคาดเดา และมักจะเกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย
ต้นเดือนธันวาคมมานี้ ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯมีการเทขายปริมาณมากจากข่าวเชิงลบในภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่แผ่วกำลังลงมากกว่าความคาดหมาย สิ่งที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า อุตสาหกรรมการผลิตซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจกำลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า แต่นั่นก็ยังไม่ ได้ทำให้ผู้นำสหรัฐฯมีท่าทีที่เป็นบวกต่อการเจรจาการค้า หรือประนี ประนอมกับคู่ค้ามากขึ้นแต่อย่างใด ในทางตรงข้าม ประธานาธิบดี ทรัมป์กลับแสดงท่าทีชัดเจนว่า พร้อมชนหรือใช้ไม้แข็งในการเจรจาไม่ว่าจะกับจีนหรือประเทศคู่ค้ารายอื่นๆ รวมทั้งสหภาพยุโรป (อียู) สร้างความระทึกใจให้กับนักลงทุนในตลาดการเงินทั่วโลก เพราะปมพิพาทเก่ายังหาทางลงกันไม่ได้ ปัญหาใหม่ก็ตั้งเค้าจ่อคิวเข้ามาอีกแล้ว เป็นสถานการณ์อึมครึมที่หากไม่สามารถคลี่คลายลงได้ในปีนี้ ก็จะส่งผลยืดเยื้อลากยาวต่อไปในปีหน้า
เปิดแนวรบใหม่รอบด้าน
โดยแนวรบใหม่ที่สหรัฐฯกำลังก่อหวอดอยู่คือ การเปิดศึกการค้ากับ 2 มหาอำนาจในลาตินอเมริกา คือบราซิล และอาร์เจนตินา ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวหาว่ากดค่าเงินให้ต่ำกว่าความเป็นจริง
เพื่อฉวยประโยชน์ทำให้มีความได้เปรียบในการส่งออกสินค้าเกษตร ดังนั้น เมื่อวันจันทร์ (2 ธ.ค.) สหรัฐฯประกาศจะขึ้นภาษีสินค้ากลุ่มเหล็กกล้า และอะลูมิเนียมที่นำเข้าจาก 2 ประเทศนี้ แต่ทั้งบราซิล และอาร์เจนตินา ยังมีโอกาสที่จะเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯในเรื่องดังกล่าว
วันเดียวกันประธานาธิบดีทรัมป์ยังขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากฝรั่งเศสอีกหลายรายการในอัตราเพิ่มขึ้นถึง 100% (วงเงินรวม 2,400 ล้านดอลลาร์) อาทิ แชมเปญ กระเป๋าถือ เนยแข็ง ฯลฯ เป็นมาตรการตอบโต้การที่ฝรั่งเศสประกาศใช้ "ภาษีดิจิทัล" เรียกเก็บ 3% จากรายได้ของบรรดาบริษัทเทคโนโลยีที่เข้าไปสร้างผลประโยชน์และกำไรเป็นกอบเป็นกำจากการให้บริการในประเทศฝรั่งเศส ผู้แทนการค้าของสหรัฐฯระบุว่า มาตรการของฝรั่งเศสสร้างผลกระทบต่อบริษัทอเมริกันจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก แอปเปิล กูเกิล อเมซอน ฯลฯ รัฐบาลสหรัฐฯจำเป็นต้องปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกัน และกำลังไต่สวนด้วยว่าภาษีบริการดิจิทัลในออสเตรีย อิตาลี และตุรกี ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ ภาษีดิจิทัลของฝรั่งเศส สร้างผลกระทบต่อผลประโยชน์ของเอกชนสหรัฐฯอย่างไม่เป็นธรรมด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯจะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของเอกชนและผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีสินค้าฝรั่งเศสจนถึงวันที่ 14 มกราคมปีหน้า รวมทั้งเวทีประชาพิจารณ์ในวันที่ 7 มกราคม 2563 ว่าถ้าไม่ขึ้นภาษีจะมีทางเลือกอื่นๆ หรือไม่ เช่น การเก็บค่าธรรมเนียมหรือตั้งข้อจำกัดบริการของบริษัทฝรั่งเศสเป็นการตอบโต้
ยูเอสทีอาร์ยังไม่ได้กำหนดเส้นตายว่าจะขึ้นภาษีสินค้าฝรั่งเศสในอัตราเพิ่ม 100% เมื่อใด เพราะฉะนั้นระหว่างนี้จึงเป็นโอกาสของการเจรจาต่อรอง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาของความไม่แน่นอนที่สร้างความหวั่นใจให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจาก "ศึกช้างชนช้าง" ที่ยากจะคาดเดาผลลัพธ์ ซ้ำยังส่อเค้ายืดเยื้อข้ามปีค่อนข้างแน่นอนแล้ว
Source: ฐานเศรษฐกิจ