(Sep 16) รายงานพิเศษ: 'สงครามการค้า' VS 'ทรัมป์' ใครมีอิทธิพลต่อ 'เฟด' มากกว่ากัน? ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้พร่ำบ่นถึงธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อีกครั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมา และในครั้งนี้ได้แนะนำให้เฟดลดดอกเบี้ยเหลือศูนย์หรือติดลบกันไปเลย เพื่อที่ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รีไฟแนนซ์หนี้ซึ่งสูงถึง 22.5 ล้านล้านดอลลาร์ในขณะนี้ สิ่งที่มีการจับตามองหลังจากนี้ไปคือ แล้วเฟดจะทำตามที่ทรัมป์แนะนำหรือไม่ และปัจจัยอะไรที่จะมีผลต่อการตัดสินใจของเฟด
ช่วงเวลาที่ทรัมป์ออกมาบ่นในรอบนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนที่เฟดจะประชุมตัดสินใจเรื่องนโยบายเงินในวันที่ 17-18 กันยายนนี้ และมีขึ้นหนึ่งวันก่อนที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าที่คาด
อย่างไรก็ดี ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ของรอยเตอร์ชี้ว่า การพร่ำบ่นของทรัมป์จะไม่มีผลต่อการตัดสินใจของเฟด แต่สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ต่างหากที่มีผลต่อนโยบายของเฟดเนื่องจากเชื่อว่าสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะเลวร้ายลงหรืออย่างดีที่สุดก็จะยังคงเหมือนเดิมในปีหน้า
นักเศรษฐศาสตร์ 30% มองว่ามีความเป็นไปโดยเฉลี่ยที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยในสองปีข้างหน้าและมี 30% ที่คาดว่าจะเกิดภาวะถดถอยหนึ่งครั้งในช่วง 12 เดือนข้างหน้า แต่การลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามที่คาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์นี้ไม่น่าจะสร้างความพอใจให้กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ในขณะเดียวกันนักเศรษฐศาสตร์กว่า 80% กล่าวว่า เฟดควรจะลดดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ และเกือบ 80% กล่าวว่า การตัดสินใจใด ๆ ของเฟดจะไม่ได้รับอิทธิพลจากการโจมตีของทรัมป์
เนื่องจากความเสี่ยงทางการค้ากำลังเริ่มสำแดงออกมาในข้อมูลเศรษฐกิจและหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้เศรษฐกิจเดินเครื่องต่อไปได้และไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย คือการลดดอกเบี้ย
จากการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 120 คน เมื่อวันที่ 9-12 กันยายน พวกเขาคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในวันที่ 18 กันยายน โดยดอกเบี้ยจะเหลือ 1.75-2.00% จากนั้นคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอีกครั้งอีก 0.25% ในไตรมาสถัดไป ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยเหลือ 1.50-1.75% ซึ่งการคาดการณ์นี้สอดคล้องกับการคาดการณ์ในตลาดฟิวเจอร์ แต่หลังจากนั้นคาดว่าเฟดจะไม่เคลื่อนไหวใด ๆ จนถึงปลายปี 2563 เป็นอย่างน้อย
การคาดการณ์เหล่านี้อยู่บนสมมุติฐานที่ว่า ตัววัดเงินเฟ้อที่เฟดชอบใช้ หรือ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) จะไม่สูงมากในปีหน้า โดยในปีนี้เงินเฟ้อสหรัฐฯ น่าจะมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ หรือสูงกว่าเล็กน้อย
อย่างไรก็ดีแม้นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอีกสองครั้ง แต่คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะลดลงเหลือ 1.7% ภายในปี 2563 จากที่โต 2.0% ในไตรมาสสองของปีนี้และต่ำกว่ามากจากไตรมาสหนึ่งซึ่งโตถึง 3.1%
แม้ว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมาสหรัฐฯ และจีนได้แสดงท่าทีที่ยอมอ่อนข้อให้กันและกันมากขึ้น แต่การพิพาทการค้าที่มีมานานเกือบสองปีได้สร้างความบอบช้ำให้กับเศรษฐกิจทั่วโลกและตลาดการเงินมาก นอกจากนี้ยังกระทบต่อกิจกรรมในภาคผลิตและความเชื่อมั่นของธุรกิจทั่วโลกด้วย
ในจำนวนนักเศรษฐศาสตร์ 60 คนมีเกือบ 80% ที่ได้เตือนว่า สองปีจากนี้ไปลัทธิปกป้องการค้าเป็นการคุกคามที่ใหญ่สุดต่อเศรษฐกิจโลก โดยนักเศรษฐศาสตร์ของบีเอ็นพี ปาริบาส มองว่า แม้ว่าจะมีการหารือการค้ากันมากขึ้น แต่ในที่สุดแล้วก็จะยังมองไม่เห็นทางออกใด ๆ และภาษีที่ได้ประกาศว่าจะมีผลในเดือนตุลาคมและธันวาคมยังคงอยู่ และบางทีความเสี่ยงที่การพิพาทการค้าจะรุนแรงมากขึ้นยังมากกว่าความเสี่ยงที่จะได้ข้อตกลงในบางรูปแบบ
ธนาคารกลางใหญ่ ๆ ทั่วโลกได้ผ่อนคลายนโยบายเงินเนื่องจากการคาดการณ์การเติบโตและเงินเฟ้อลดลง และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เป็นรายล่าสุดที่ได้ทำเช่นนั้น
มาริโอ ดรากี้ ประธานธนาคารกลางยุโรป ซึ่งจะลงจากตำแหน่งในปลายเดือนหน้า ได้ซัลโวมาตรการผ่อนคลายทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ราวกับจะเป็นการทิ้งทวนในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
อีซีบีประกาศลดดอกเบี้ย 0.10% ทำให้ดอกเบี้ยเหลือ -0.50% และยังประกาศเริ่มทำโครงการซื้อสินทรัพย์อีกครั้ง โดยจะซื้อ 20,000 ล้านยูโรต่อเดือนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน โดยจะซื้อให้นานเท่าที่จำเป็น ในขณะเดียวกันอีซีบีคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับปัจจุบันหรือต่ำกว่า จนกว่าจะได้เห็นแนวโน้มเงินเฟ้อแข็งแกร่งสู่ระดับที่ใกล้กับเป้าหมายของอีซีบีอย่างเพียงพอและอย่างต่อเนื่อง
ตลาดการเงินได้คาดการณ์กันอย่างกว้างขวางแล้วถึงแพ็กเกจในการกระตุ้นเศรษฐกิจของอีซีบี และ นี่เป็นจะเป็นการดำเนินนโยบายคิวอีรอบที่สองจากอีซีบี หลังจากที่ได้ทำเมื่อสี่ปีก่อนเพื่อตอบโต้กับวิกฤติหนี้ในยูโรโซน
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าในขณะนี้ตลาดจะตื่นเต้นกับการผ่อนคลายนโยบายของธนาคารกลางต่าง ๆ และมีความหวังกับพัฒนาการทางการค้าที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงมีคำถามว่ามันจะเพียงพอที่จะทำให้การเติบโตทั่วโลกกลับมาหรือไม่
Source; ข่าวหุ้น