GBP/JPY: อยู่เหนือแนวรับขาขึ้นหาก 133.85 ยังคงเป็นแนวรับ



133.85 คือจุดอ้างอิงทำกำไรของเรา.

จุดที่ต้องการ: อยู่เหนือแนวรับขาขึ้นหาก 133.85 ยังคงเป็นแนวรับ

ทางเลือกการลงทุน: ต่ำกว่า 133.85, คาดการณ์ 133.26 และ 132.90.

ความเห็น: RSI (ตัวชี้วัดทิศทางการเคลื่อนที่ของราคา) สูงกว่า 50.MACD (ตัวชี้วัดการเบี่ยงเบนของแนวโน้ม) อยู่เหนือเส้นสัญญาณและเป็นบวก. ยิ่งกว่านั้น ราคาปัจจุบันสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยที่เคลื่อนไหวที่ 20 ถึง 50 (อยู่ที่ลำดับ 134.30 และ 134.30)

แนวรับและแนวต้าน:
136.17 **
135.82 *
135.46 **
135.11
אחרון:134.39
134.08
133.85 **
133.26 *
132.90 **

(Sep 17) ปลดที่ปรึกษาสายเหยี่ยว สัญญาณสหรัฐเน้นการทูต : การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ประกาศปลด "จอห์น โบลตัน" นักการเมืองสายเหยี่ยวออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทำเนียบขาว ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่ง นักวิเคราะห์เชื่อว่าอาจจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการปรับเปลี่ยนนโยบายของทรัมป์ เพื่อหันมาเน้นเจรจาทางการทูตกับชาติคู่อริ
         
"ผมได้บอกกับจอห์น โบลตัน เมื่อคืน นี้ว่าไม่ต้องการให้เขาทำงานในทำเนียบขาว อีกต่อไป ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำแนะนำ ของเขาในหลายเรื่อง เจ้าหน้าที่รัฐบาล หลายคนก็คิดเหมือนกัน" ทรัมป์ ประกาศผ่านทวิตเตอร์เมื่อวันอังคาร (10 ก.ย.) และบอกว่าจะเสนอชื่อที่ปรึกษาด้านความมั่นคงคนใหม่ภายในสัปดาห์หน้า
         
ขณะที่โบลตันยืนยันว่า เขาเป็นฝ่ายขอสละตำแหน่งเอง ไม่ได้ถูกทรัมป์ไล่ออก อย่างที่หลายคนเข้าใจ
         
โบลตัน เคยเป็นปลัดกระทรวง การต่างประเทศฝ่ายควบคุมอาวุธและกิจการความมั่นคงระหว่างประเทศในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และผลงานซึ่งเป็นที่อื้อฉาวที่สุดของเขา คือการออกมาสนับสนุนข้อมูลที่ว่าประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนของอิรัก ซุกซ่อนอาวุธทำลายล้างสูง จนมีส่วนทำให้ บุชตัดสินใจส่งทหารบุกอิรักในปี 2546 และโค่นรัฐบาลซัดดัมได้สำเร็จ
         
ผลจากการบุกอิรักครั้งนั้นทำให้ ซัดดัมถูกประหารชีวิตโดยการแขวนคอในปี 2549 และสหรัฐ ต้องสูญเสียทหารไปราว 4,400 นาย แต่จนถึงวันนี้ก็ยัง ไม่พบอาวุธร้ายแรงตามที่มีการกล่าวหา ทำให้สหรัฐถูกวิจารณ์ว่าใช้ข่าวกรองปลอม มาเป็นข้ออ้างเข้าไปกอบโกยน้ำมัน จากอิรัก
         
นักการเมืองสายเหยี่ยวผู้นี้ยังถูกมองว่าเป็นต้นเหตุทำให้การประชุมซัมมิต ครั้งที่ 2 ระหว่างทรัมป์ กับ คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือที่กรุงฮานอยเมื่อเดือน ก.พ. ไม่ประสบความสำเร็จ
         
มีกระแสข่าวว่า โบลตันเป็นคนรบเร้าให้ ทรัมป์ยื่นเงื่อนไขให้เกาหลีเหนือยอมส่งมอบ อาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดให้สหรัฐ เพื่อแลกกับ การผ่อนคลายคว่ำบาตร ซึ่งก็เป็นที่คาดเดา ได้อยู่แล้วว่าเปียงยางต้องไม่ยอม และสุดท้ายการประชุมต้องปิดฉากลงด้วยความล้มเหลว
         
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันพุธ (11 ก.ย.) ว่า โบลตันทำผิดพลาดหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือการเสนอให้สหรัฐใช้ "ลิเบียโมเดล" กับเกาหลีเหนือ
         
ปมขัดแย้งล่าสุดซึ่งน่าจะเป็น "ฟางเส้น สุดท้าย" ที่ทำให้ทรัมป์ตัดสินใจขับโบลตัน ออกจากคณะบริหารก็คือ การที่เขาคัดค้าน แผนเชิญผู้นำตาลีบันมาเปิดเจรจาสันติภาพ ที่แคมป์เดวิด
         
สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวซึ่งระบุว่า ทรัมป์ไม่พอใจอย่างมากที่โบลตัน ปล่อยข่าวว่ารองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ไม่สนับสนุนให้เชิญผู้นำตาลีบันมาที่ แคมป์เดวิด และการที่โบลตันทำเช่นนี้เท่ากับ หักหน้าทรัมป์ด้วยการส่งสัญญาณว่าแม้แต่รองประธานาธิบดีก็ยังต่อต้านแผนของทรัมป์
         
รัฐบาลทรัมป์เปลี่ยนตัวที่ปรึกษาด้านความมั่นคงมาแล้วถึง 3 ครั้ง เริ่มจาก ไมเคิล ฟลินน์, เอช.อาร์. แมคมาสเตอร์ และ โบลตัน รายล่าสุด
         
ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวง การต่างประเทศสหรัฐ ยอมรับว่า เขามีมุมมอง ขัดแย้งกับโบลตันอยู่หลายเรื่อง แต่ย้ำว่า การปลดโบลตัน ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐจะปรับเปลี่ยนนโยบายการทูตแบบพลิกฝ่ามือ
         
ด้านแฮร์รี คาเซียนิส ผู้อำนวยการอาวุโสของศูนย์เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ มองว่า ทรัมป์ตัดสินใจถูกต้องที่ปลดโบลตันออกจากทำเนียบขาว เพราะจะทำให้เขาได้มีโอกาสหาผู้ช่วยคนใหม่ที่ต่อต้านสงคราม สนับสนุนการลดบทบาทในตะวันออกกลาง ส่งเสริมการเจรจากับเกาหลีเหนือ และหันไป เน้นต่อต้านอิทธิพลของจีนมากขึ้น
         
ส่วนร็อบ มัลลีย์ ประธานบริษัท ที่ปรึกษา อินเตอร์เนชันแนล ไครซิส กรุ๊ป บอกว่า ทรัมป์อาจปรับเปลี่ยนนโยบาย ที่มีต่ออัฟกานิสถาน อิหร่าน เกาหลีเหนือ และเวเนซุเอลา หลังจากไม่มีผู้ช่วยที่ กระหายสงครามอย่างโบลตันคอยเป่าหูอีกต่อไป

Source: กรุงเทพธุรกกิจ

(Sep 17) ECB ส่งสัญญานอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกหากจำเป็น และ ยังสามารถที่จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลได้ โดยไม่ได้มีข้อจำกัดจาก self-imposed limits ที่ใช้ในปัจจุบัน :

นาย Phillip Lane กรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปอีกหากจำเป็น โดยกล่าวว่า ECB มีพันธกิจที่จะส่งเสริมเสถียรภาพด้านราคาอย่างไม่มีเงื่อนไข และยังคงมุ่งเน้นที่จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อเข้าสู่ระดับเป้าหมาย  นอกจากนั้น นาย Lane กล่าวว่า ECB ยังมีความสามารถที่จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลได้ โดยไม่ได้มีข้อจำกัดจาก self-imposed limits ที่ใช้ในปัจจุบัน โดยประเมินจากประมาณการขนาดการเข้าซื้อ และ eligible universe ที่มีอยู่ในตลาด ประกอบกับการที่นาย Mario Draghi ผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรป ไม่ได้กล่าวถึงการเพิ่ม limits ในการเข้าซื้อพันธบัตรในสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่าปัจจุบัน ECB มี headroom เพียงพอที่จะเข้าซื้อพันธบัตรไปได้อีกระยะหนึ่งอยู่แล้ว นอกจากนี้ นาย Lane ยังเห็นตรงกับประมาณการผลกระทบของนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของ ECB ว่าจะช่วยกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อสหภาพยุโรปให้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.2 – 0.3

ด้านนาย Yannis Stournaras กรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และผู้ว่าการธนาคารกลางกรีซ กล่าวว่า นาง Christine Lagarde ว่าที่ผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรปคนใหม่ มีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายไปในทิศทางเดียวกับในปัจจุบัน โดยกล่าวว่าการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของ ECB ที่ประกาศมาเมื่อสัปดาห์ก่อนถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหภาพยุโรปอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับเป้าหมายเป็นเวลานาน รวมถึงประมาณการอัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังถูกปรับลดลง สะท้อนถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหภาพยุโรป

อย่างมีนัยสำคัญ และยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนด้านการกีดกันทางการค้าจีน-สหรัฐฯ และ no-deal Brexit อีกด้วย นอกจากนั้น นาย Stournaras ยังกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกยูโรโซนที่มีความสามารถด้านการคลังเพียงพอดำเนินนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของภูมิภาคเพิ่มเติมด้วย

ในขณะที่รัฐบาลเยอรมนีได้ออกมาโต้แย้งแผนการของคณะกรรมาธิการยุโรปที่เสนอให้จัดสรรงบประมาณระยะยาวตั้งแต่ปี 2021 – 2027 คิดเป็นมูลค่า 1.1 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็นร้อยละ 1.11 ของมูลค่าเศรษฐกิจสหภาพยุโรป โดยระบุว่ารัฐบาลเยอมนีเห็นว่าควรตั้งเพดานสำหรับใช้จ่ายงบประมาณให้เหลือร้อยละ 1 ของมูลค่าเศรษฐกิจสหภาพยุโรปเท่านั้น ซึ่งข้อโต้แย้งดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากประเทศสวีเดน เดนมาร์ก และเนเธอร์แลนด์ ที่เห็นว่าควรต้องระมัดระวังการใช้จ่ายภาครัฐอยู่

อย่างไรก็ตาม สภาสหภาพยุโรปที่ได้รับการสนับสนุน ส.ส. จากประเทศในยุโรปใต้และยุโรปตะวันออก เห็นว่าคณะกรรมธิการยุโรปควรจัดสรรงบประมาณมากกว่าที่เสนออีก โดยควรเพิ่มงบประมาณเป็นร้อยละ 1.3 ของมูลค่าเศรษฐกิจสหภาพยุโรป เพื่อเน้นส่งเสริมประเด็นสิ่งแวดล้อมและสวัสดิการคนว่างงานซึ่งเป็นเป้าหมายที่นาง Ursula von der Leynen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศในสุนทรพจน์ตอนเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา

Source: BOTSS