วิเคราะห์ ราคาทองคำ เกือบจะถึง TP@1765 เมื่อวานในแบบที่ขาดไปเพียง 1.5$ ทอง คือ เป็นการบอกเลย ว่า ที่ราคา 1765 นี้มีแรงต้านค่อนข้างสูงดังนั้น ก็เป็นสัญญานที่ดีว่าหากเมื่อไหร่ที่ ราคาผ่านไปได้เมื่อนั้น กราฟก็จะแรงตามไปด้วยดังนั้น ณ จุดนี้ ลุ้นให้กราฟ วิ่งผ่านราคานี้ไปให้ได้แล้วแรงซื้อจะกลับเข้ามาที่ทองคำ แต่ ลักษณะนี้น่าจะต้องวิ่งผ่านนวต้านนี้ไปด้วยข่าว ครับ อาจจะต้องมีข่าว นอกตารางแรงๆ ออกมาสักทีเพราะเชื่อเลยว่าข่าวแดงใน ตาราง forexfactory ไม่น่าจะมีแรงพอ

สัญญาดีๆจาก กองทุน SPDR Gold Share ที่เข้าซื่้อทองคำ 🏆🏆 #SPDR อัพเดททองคำแท่งเพิ่มขึ้น + 6.73ทองคำแท่ง รวมในคลัง SPDR +1166.04ตัน
เดือนนี้ มิถุนายน  2563 เพิ่มขึ้น 💹+ 42.90ตันปีนี้ 2563 เพิ่มขึ้น 💹+272.79ตัน หลังจากที่วันศุกร์ซื้อเพิ่ม +23.09 ตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เข้าซื้อขายกันวันศุกร์ตามเวลา New York แต่เราจะได้อัพเดทกันวันเสาร์ ตอนเช้า แน่นอนเลยว่ามันคือสัญญานที่ดีสำหรับ ราคาทองคำ ในทางเทคนิค หลังจากกราฟ สามารถ Breakout ราคา 1744 ขึ้นมาได้ซึ่งเป็น ราคาที่ Trump ได้ปล่อย Tweet ออกมา ทำให้ทองโดนเทลงไป กว่า 1710 ก่อนที่จะดีดกลับมาได้วันศุกร์ ตอนนี้ ก็คือ กราฟได้เกิด Chart pattern ชนิด Bull Flag ไปเรียบร้อยแล้วพร้อมทั้ง Breakout เทรนไลน์และ แน่นอนกราฟยืนเหนือแนวรับ 1700 ได้อย่างแข็งแกร่งทำให้ ตอนนี้จึงไม่มีเหตุผลใดๆที่จะหาจังหวะ Sell เลย ดังนั้น แนะนำหาจังหวะ Buy น่าจะเหมาะสมกว่า

         วิเคราะห์จุดเข้า Buy ราคาทองคำ  โดยจุดเข้า buy ยังเป็นจุดเดิมนะครับมองว่ากราฟน่าจะ Swing ได้แรง จากจุด ที่ กราฟ ได้ Beakout ขึ้นมานั่นเอง ครับ โดย การกลับมา ทดสอบแนวรับ ที่เดิมแบบนี้เรียกว่า Pullback นั่นเอง แน่นอนว่า มันคือ ราคาที่ได้เปรียบ ครับ วันนี้รอเข้าที่ราคานี้สำหรับท่าน ที่ ยังตกรถอยู่เข้าไม่ทันเช้านี้ ครับผม

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ ราคาทองคำ
ราคาทอง วันนี้ ราคาทองล่าสุด ราคาทองย้อนหลัง กราฟราคาทองคำ แท่งย้อนหลัง คลิกที่ นี่ : : ราคาทอง วันนี้
อัพเดทการซื้อขายทองคำ ของ SPDR Gold shareได้ กราฟการซื้อขายทองคำ SPDR ที่ลิ้งนี้ : : SPDR ล่าสุด

☀️YLG_Update 23 มิ.ย. ข่าวทองภาคเช้า📊
.
📣 Highlight :  ดอลล์อ่อน‼️หนุนทองพุ่ง🚀🚀แตะ High ที่ $1,763‼️จากค.ต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย  ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อCOVID-19 บั่นทอนความหวังเรื่องการฟื้นตัวทางศก.  ส่วน SPDR ถือทองเพิ่ม +6.73 ตัน
.
🚨 เช้านี้สัญญาฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐดิ่งแรง  หลัง Peter Navarro ที่ปรึกษาด้านการค้าของทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์กับ Fox News ว่า "ข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนนั้น "จบลงแล้ว" โดนเขาเชื่อมโยงรายละเอียดส่วนหนึ่งกับความไม่พอใจของสหรัฐที่มีต่อจีนเกี่ยวกับการระบาดของ COVID-19 #หนุนทอง
.
⭕️ ดัชนีดอลลาร์ อ่อนค่าลง -0.6% วานนี้จากการเปิดเผยข้อมูลศก.ที่ซบเซาของสหรัฐ #หนุนทอง
.
⭕️ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เผยว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลงเกินคาดถึง 9.7% สู่ระดับ 3.91 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงเดือนที่สามติดต่อกัน #กดดันดอลลาร์ #หนุนทอง
.
⭕️ กองทุน SPDR ถือครองทองเพิ่มขึ้นวานนี้ +6.73 ตันสู่ระดับ 1,166.04 ตัน ทำให้ในปี 2020 กองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่มแล้วถึง +272.79 ตัน #หนุนทอง
.
⭕️ ข้อมูลทางการค้าของสวิสฯ ชี้  การนำเข้าทองคำของสหรัฐจากสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนพ.ค.พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 127 ตัน  YTD สหรัฐนำเข้าแล้ว 285.9 ตัน  มากกว่าทองคำทั้งหมดที่ส่งออกจากสวิสฯไปยังสหรัฐในช่วง 10 ปีที่ผ่านมารวมกัน สะท้อนดีมานด์ทองในภาคการลงทุนของสหรัฐแกร่ง #หนุนทอง
.
🇺🇸 ยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่บางรัฐในสหรัฐยังคงน่าห่วง #หนุนทอง
.
      ▶️ ฟลอริด้ารายงานผู้ติดเชื้อ Covid-19 รายใหม่เพิ่มขึ้นสูงอีกครั้ง
      ▶️ Greg Abbott ผู้ว่าการรัฐเท็กซัสระบุว่า อัตราการติดเชื้อในรัฐกำลังเร่งขึ้นใน "อัตราที่ไม่สามารถยอมรับได้" ในขณะที่การรักษาในโรงพยาบาลของรัฐเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ครึ่ง
.
🇨🇳 คณะกรรมาธิการสุขภาพแห่งชาติของจีน  รายงานว่า จีนมีผู้ติดโควิด-19 รายใหม่ 22 คน ณ วันที่ 22 มิ.ย. โดย 13 คนในจำนวนนั้นอยู่ในกรุงปักกิ่ง
.
❌ดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 153.50 จุด หรือ +0.59%, S&P500 ปิด+0.65% ส่วน Nasdaq ปิด+1.11% พร้อมปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และทำสถิติปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 7 นำโดยแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และมุมมองบวกว่าศก.สหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว #กดทอง
.
❌ เฟดชิคาโก เผยว่า ดัชนี Chicago Fed National Activity Index (CFNAI) ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ +2.61 ในเดือนพ.ค. จากระดับ -17.89 ในเดือนเม.ย. ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจเริ่มกลับมาขยายตัว #กดทอง
.
❌ Gilead เตรียมทดลองยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) ชนิดสูดผ่านเครื่องพ่น เพื่อให้สามารถให้ยานอกโรงพยาบาลได้ง่ายขึ้น ในผู้ป่วย COVID-19 เริ่มทดลองเดือนส.ค.นี้ #กดทอง
.
⭕️ สหรัฐกำหนดให้บริษัทสื่อของจีนอีก 4 แห่งมีสถานะเสมือน "คณะตัวแทนต่างชาติ" โดยมีข้อกำหนดว่า นายจ้างต้องแจ้งรายละเอียดอัตลักษณ์และจำนวนพนักงาน พร้อมออกมาตรการจำกัดวีซ่าและการครอบครองสินทรัพย์  #หนุนทอง
.
📌 ปธน.ทรัมป์เตรียมระงับการเข้าประเทศของแรงงานต่างชาติที่ใช้วีซ่าประเภท "H-1B", "L-1" จนถึงสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์จะสกัดการเข้าประเทศของแรงงานตามฤดูกาลที่ถือวีซ่า "H-2B" โดยยกเว้นสำหรับแรงงานในอุตสาหกรรมบริการอาหาร
.
Source : Infoquest, Reuters, Bloomberg, CNBC, SPDR, Bisnews, Kitco
#YLGResearch

♨️YLG_NEWS UPDATE♨️
ทรัมป์ ทวิตข้อความระบุว่า ข้อตกลงการค้ากับจีนยังคงอยู่ตามเดิม หวังว่าจีนจะปฏิบัติตามข้อตกลงต่อไป‼️
Source: Twitter@realDonaldTrump

  ...ขอบคุณค่ะ...

(Jun23) ทำเนียบขาวแก้ข่าว ยืนยัน "ทรัมป์" ยังไม่ยกเลิกข้อตกลงการค้าจีน-สหรัฐ: นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าประจำทำเนียบขาว ได้ออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังไม่ยุติ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เขาได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ "The Story" ของสำนักข่าวฟ็อกซ์ นิวส์ ว่า ข้อตกลงดังกล่าวได้ยุติลงแล้ว ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของสหรัฐมีข้อมูลที่ทำให้เชื่อมั่นมากขึ้นว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีต้นตอมาจากห้องทดลองในเมืองอู่ฮั่นของจีน

"การแสดงความเห็นของผมกับรายการดังกล่าว เป็นไปในลักษณะการแสดงมุมมองกว้างๆ ขณะนี้ข้อตกลงการค้าเฟสแรกยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง" นายนาวาร์โรระบุในแถลงการณ์

ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความยืนยันว่า ข้อตกลงการค้าเฟสแรกยังคงมีอยู่

"ข้อตกลงการค้ากับจีนยังคงดำเนินไปอย่างเต็มรูปแบบ ผมหวังว่า จีนจะยังคงเดินหน้าทำตามเงื่อนไขต่างๆ ในข้อตกลง" ทรัมป์ระบุในทวิตเตอร์

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/กัลยาณี

(Jun 23) ทรัมป์ระงับการออกวีซ่าแก่กลุ่มที่ทักษะสูงและกลุ่ม unskilled บางประเภทเป็นการชั่วคราว: ประธานาธิบดี Trump จะประกาศระงับการออกวีซ่าบางประเภทแก่แรงงานกลุ่มที่ทักษะสูงและกลุ่ม unskilled เป็นการชั่วคราวไปจนถึงสิ้นปี โดยจะกระทบวีซ่าประเภท H-1B, H-4, H-2B,  L และ J เพื่อช่วยลดปัญหาการว่างงานในประเทศ โดยปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เพิ่มความเข้มงวดและจำกัดการออกวีซ่า H-1B ไว้ที่ 85,000 รายการต่อปีอยู่แล้ว ทำให้การออกวีซ่าประเภทดังกล่าวให้แก่ชาวต่างชาติที่เป็นกลุ่ม talent ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปรับลดลง โดยนอกจากการห้ามออกวีซ่าประเภท H-1B เป็นการชั่วคราวแล้ว

คาดว่าหลังจากนี้ยังมีแนวโน้มที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะเพิ่มเกณฑ์ลำดับความสำคัญของการพิจารณาให้วีซ่าประเภท H-1B แก่ผู้ที่มีเงินเดือนสูงกว่าก่อน ขณะที่วีซ่าประเภท H-4 เป็นประเภทที่ออกให้แก่ครอบครัวที่เดินทางติดตามผู้ที่ได้วีซ่าประเภท H-1B ส่วนวีซ่าประเภท L นั้นจะกระทบกลุ่มผู้บริหารที่มีการโยกย้ายจากสำนักงานในต่างประเทศเข้ามาทำงานในสหรัฐฯ

ด้านวีซ่าประเภท H-2B คือกลุ่มที่ออกให้แก่แรงงานซึ่งเข้ามาทำงานในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง เช่น เกษตรกรรม ก่อสร้าง การป่าไม้ และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ขณะที่วีซ่าประเภท J นั้นจะกระทบคนทำงานหรือนักเรียนที่เข้ามาแลกเปลี่ยนในประเทศ โดยคาดว่าจะมีการลงนามในประกาศดังกล่าวอย่างเป็นทางการในวันนี้

Source: BoTSS

USD/CAD การซื้อขายระหว่างวัน: อยู่ภายใต้แรงกดดัน
จุดอ้างอิงทำกำไร (ระดับที่เป็นโมฆะ): 1.3550



จุดที่ต้องการ: สถานะขายต่ำกว่า 1.3550 เป้าหมายต่อไปที่ 1.3495 และ 1.3480

ทางเลือกการลงทุน: สูงกว่า 1.3550 คาดหมายว่ามีแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่องที่ 1.3570 และ 1.3590 เป็นเป้าหมาย

ความเห็นในเชิงเทคนิค: หากแนวต้านที่ 1.3550 ยังไม่เลยขึ้นไป ความเสี่ยงที่จะทะลุต่ำกว่า 1.3495 ยังคงสูงอยู่

แนวรับและแนวต้าน:
1.3590
1.3570
1.3550
1.3537 สุดท้าย
1.3495
1.3480
1.3455

USD/CHF การซื้อขายระหว่างวัน: แนวต้านระยะสั้นสำคัญที่ 0.9495
จุดอ้างอิงทำกำไร (ระดับที่เป็นโมฆะ): 0.9495



จุดที่ต้องการ: สถานะขายต่ำกว่า 0.9495 เป้าหมายต่อไปที่ 0.9460 และ 0.9435

ทางเลือกการลงทุน: สูงกว่า 0.9495 คาดหมายว่ามีแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่องที่ 0.9510 และ 0.9525 เป็นเป้าหมาย

ความเห็นในเชิงเทคนิค: หากแนวต้านที่ 0.9495 ยังไม่เลยขึ้นไป ความเสี่ยงที่จะทะลุต่ำกว่า 0.9460 ยังคงสูงอยู่

แนวรับและแนวต้าน:
0.9525
0.9510
0.9495
0.9472 สุดท้าย
0.9460
0.9435
0.9415

GBP/USD การซื้อขายระหว่างวัน: สูงขึ้นต่อเนื่อง
จุดอ้างอิงทำกำไร (ระดับที่เป็นโมฆะ): 1.2455



จุดที่ต้องการ: สถานะซื้อสูงกว่า 1.2455 เป้าหมายต่อไปที่ 1.2505 และ 1.2530

ทางเลือกการลงทุน: ต่ำกว่า 1.2455 คาดหมายว่ามีแนวโน้มขาลงต่อเนื่องที่ 1.2435 และ 1.2410 เป็นเป้าหมาย

ความเห็นในเชิงเทคนิค: RSI ผสมกับมุมมองเชิงบวก

แนวรับและแนวต้าน:
1.2560
1.2530
1.2505
1.2476 สุดท้าย
1.2455
1.2435
1.2410

USD/JPY การซื้อขายระหว่างวัน: มุมมองเชิงบวกสูงกว่า 107.00
จุดอ้างอิงทำกำไร (ระดับที่เป็นโมฆะ): 107.00



จุดที่ต้องการ: สถานะซื้อสูงกว่า 107.00 เป้าหมายต่อไปที่ 107.30 และ 107.45

ทางเลือกการลงทุน: ต่ำกว่า 107.00 คาดหมายว่ามีแนวโน้มขาลงต่อเนื่องที่ 106.85 และ 106.70 เป็นเป้าหมาย

ความเห็นในเชิงเทคนิค: การทะลุผ่านแนวต้านที่ 107.00 ขึ้นไปทำให้เกิดสัญญาณบวกขึ้นไปที่ 107.30

แนวรับและแนวต้าน:
107.60
107.45
107.30
107.14 สุดท้าย
107.00
106.85
106.70

EUR/USD การซื้อขายระหว่างวัน: มุมมองเชิงบวกสูงกว่า 1.1250
จุดอ้างอิงทำกำไร (ระดับที่เป็นโมฆะ): 1.1250



จุดที่ต้องการ: สถานะซื้อสูงกว่า 1.1250 เป้าหมายต่อไปที่ 1.1280 และ 1.1300

ทางเลือกการลงทุน: ต่ำกว่า 1.1250 คาดหมายว่ามีแนวโน้มขาลงต่อเนื่องที่ 1.1230 และ 1.1205 เป็นเป้าหมาย

ความเห็นในเชิงเทคนิค: การทะลุผ่านเหนือระดับ 1.1250 ขึ้นไปเป็นสัญญาณบวกที่เปิดโอกาสให้ไปอยู่ที่ 1.1280 ได้

แนวรับและแนวต้าน:
1.1325
1.1300
1.1280
1.1257 สุดท้าย
1.1250
1.1230
1.1205

ทองคำ การซื้อขายระหว่างวัน: ยังคงเป็นมุมมองเชิงบวก
จุดอ้างอิงทำกำไร (ระดับที่เป็นโมฆะ): 1744.00



จุดที่ต้องการ: สถานะซื้อสูงกว่า 1744.00 เป้าหมายต่อไปที่ 1763.50 และ 1775.00

ทางเลือกการลงทุน: ต่ำกว่า 1744.00 คาดหมายว่ามีแนวโน้มขาลงต่อเนื่องที่ 1733.00 และ 1725.00 เป็นเป้าหมาย

ความเห็นในเชิงเทคนิค: RSI ผสมกับช่วงขาขึ้น

แนวรับและแนวต้าน:
1785.00
1775.00
1763.50
1752.57 สุดท้าย
1744.00
1733.00
1725.00

ความขัดแย้งระหว่างจีน – อินเดีย สงครามชายแดนพิพาท ครั้งแรกในรอบ 50 ปี

การปะทะกันระหว่างอินเดียกับจีนครั้งล่าสุดมีข่าวว่าทั้งสองฝ่ายเริ่มต้นปะทะกันในวันที่ 15 มิถุนายน 2563 สาเหตุที่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการปะทะครั้งนี้เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์ กล่าวคือมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองทั้งคู่และจะส่งกระทบต่อผลประโยชน์หลายประเทศเช่น ข้อตกลงการค้าต่างๆรวมทั้งประเทศไทยด้วย หากบานปลายเป็นสงครามจะเป็นเรื่องใหญ่


จุดที่ปะทะ พื้นที่พิพาทใหญ่ๆ มี 2 จุดคือบริเวณ "รัฐอรุณาจัลประเทศ" ตั้งอยู่ตรงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และพื้นที่ "อักไซ ชิน" ตั้งอยู่ภาคตะวันตกของอินเดีย ทั้ง 2 จุดเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเพราะเชื่อมระหว่างจุดปกครองตัวเองซินเจียงอุยกูร์และเขตปกครองธิเบตของจีน จุดปะทะล่าสุดคือบริเวณ "อักไซ ชิน" บริเวณหุบเขากัลวานซึ่งอยู่บนสันเขา เป็นเส้นพรมแดนระหว่างจีนกับภูมิภาคลาดักห์ในแคชเมียร์อยู่ภายใต้เขตการปกครองของอินเดีย จุดที่ทับซ้อนกันอยู่มีระยะทางประมาณกว่า 4,000 กิโลเมตรมีปัญหากันมานานเนื่องจากเป็นเส้นแบ่งพรมแดนธรรมชาติ จึงกำหนดตายตัวไม่ได้เพราะเป็นพรมแดนที่กำหนดด้วย แม่น้ำ ทะเลสาบ หิมะ ซึ่งปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ส่งผลทำให้การลาดตระเวนสามารถคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งการปะทะระหว่างทหารทั้ง 2 ประเทศก็มีมาเรื่อยๆแต่ครั้งนี้ถือว่าหนักที่สุดในรอบ 45 ปี ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการสูญเสีย

ปัญหาเหนือพื้นที่พิพาทที่แก้ไม่ตก


สำหรับปมความขัดแย้งครั้งนี้มาจากการอ้างปัญหาเหนือพื้นที่พิพาทที่แก้ไม่ตกมายาวนาน โดยทางอินเดียเริ่มสร้างถนนเลียบเส้นแบ่งพรมแดนบริเวณเขตควบคุมตามความเป็นจริง (Line of Actual Control-LAC) ทำให้จีนไม่พอใจเพราะกลัวว่าพออินเดียมาสร้างถนนตรงนี้จะทำให้อินเดียสามารถเข้าควบคุมพื้นที่ได้ ในขณะที่อินเดียเองระบุว่าเป็นการก่อสร้างถนนในเขตแดนของตน ความไม่ลงรอยกันในเรื่องนี้ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายต่างเสริมกำลังทางการทหารเข้าไปในพื้นที่ รวมถึงมีการลาดตระเวนที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น


ปะทะด้วย ก้อนหิน ท่อนเหล็ก ไม้ติดตะปู


การปะทะในครั้งนี้ไม่เหมือนที่เราเคยได้ยิน เนื่องจากไม่มีการใช้อาวุธหนักเหมือนอย่างที่เราได้ยินเวลามีการรบกัน เช่นการใช้อาวุธปืนและระเบิด สาเหตุเพราะจีนกับอินเดียมีการทำข้อตกลงเมื่อปี 1996 ว่าไม่ให้ใช้อาวุธ เนื่องจากจะลุกลามไปเป็นสงคราม การปะทะครั้งนี้จึงมีเพียงแค่ก้อนหิน ท่อนเหล็กหรือไม้ติดตะปูเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายเปิดฉากปะทะกันราว 3 ชั่วโมง แต่นั่นก็ยังทำให้มีทหารอินเดียเสียชีวิตมากถึง 20 นาย ส่วนจีน มีรายงานที่ไม่แน่ชัดแต่ทางอินเดียรายงานว่าจีนมีนายทหารที่บาดเจ็บและเสียชีวิตราว 45 นาย

ชาวอินเดียเรียกร้องให้รัฐบาลคว่ำบาตรการค้ากับจีน


การปะทะที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนอินเดียไม่พอใจ ที่เดลีมีประชาชนมาถือป้ายประท้วงเรียกร้องให้รัฐบบาลแบนสินค้าจากจีน และยกเลิกการค้ากับจีนไปเลย เพราะถ้าย้อนไปดูข้อมูลทางเศรษฐกิจในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าตัวเลขการค้าระหว่างอินเดีย-จีนมีมูลค่ามากกว่า 9 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์ แต่ในจำนวนนี้อินเดียเสียเปรียบดุลการค้าให้กับจีนเป็นจำนวนกว่า 8 เท่าตัว พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียคว่ำบาตรทางการค้ากับจีน มีการเอาภาพผู้นำจีนอย่างสีจิ้นผิง มาเผาทิ้งด้วย แต่หากมีการแบนสินค้าจากจีนจริงๆอาจส่งผลแง่ลบกับอินเดียมากกว่าเพราะอินเดียนำเข้าสินค้าจากจีนจำนวนมากกว่าที่จีนนำเข้าจากอินเดีย โดยอินเดียอาจจะผลิตสินค้าได้ไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรที่มีอยู่ถึง 1,300 ล้านคน รวมทั้งสินค้าจากจีนก็มีราคาถูกด้วย คนชนชั้นล่างของอินเดียจึงนิยมซื้อสินค้าจากจีน


จาก:Work point Today

ขอบคุณครับ