กองทุน SPDR GOLD SHARES
ถือทองก่อนหน้า
ถือทองล่าสุด
0.00
*หน่วยตัน / ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ
สถิติกองทุน SPDR
ราคาทองคำแท่ง 96.5%
ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ
ครั้งที่
ราคาก่อนหน้า
ราคาล่าสุด
0
(หน่วย บาท*) / อัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2566 เวลา 13:04 น.
สถิติราคาทองคำ ไทย

🌎🌍🌏 EUR/USD FOREX ศุกร์ 4 กันยายน ได้เวลากลับตัวNon Farm จะเราไปทัวร์ Asgard 🚀🚀🚀

  • 57 replies
  • 9,828 views
*

PoNgPk

  • 6,108
(Sep 4) "สี จิ้นผิง"ลั่นจีนเปิดตลาดเพิ่มขึ้น ขณะการค้ากับสหรัฐยังตึงเครียด : ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ให้คำมั่นว่า จีนจะเปิดตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยมุ่งพัฒนาภาคการบริการ ตลอดจนขยายการส่งออกและนำเข้าบริการคุณภาพสูง ท่ามกลางสถานการณ์การค้ากับสหรัฐที่ยังคงตึงเครียด

ผู้นำจีนระบุในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน China International Fair for Trade in Services ผ่านทางวิดีโอว่า ทุกประเทศควรร่วมกันสนับสนุนสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและทั่วถึงสำหรับความร่วมมือ โดยจีนจะยังคงเดินหน้าเปิดตลาด ผ่านคลายกฎระเบียบต่างๆ เพื่อการเข้าถึงตลาดในภาคบริการได้ง่ายขึ้น โดยจะขยายการค้าภาคบริการทั้งการส่งออกและนำเข้า

ปธน.สีกล่าวด้วยว่า จีนจะทำงานร่วมกับทุกประเทศในการยกระดับการปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจแบ่งปัน

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มีบริษัทและองค์กรประมาณ 18,000 แห่งจาก 148 ประเทศและภูมิภาคลงทะเบียนเข้าร่วมงานนี้ ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติงานใหญ่งานแรกในจีนนับตั้งแต่ที่โควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดในจีนเมื่อต้นปีนี้

นอกจากงานจะจัดขึ้นในรูปแบบออฟไลน์ที่กรุงปักกิ่งแล้ว ยังมีการจัดงานในรูปแบบออนไลน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดด้วย โดยภายในงานจะมีการนำเสนอเทคโนโลยีทันสมัยมากมาย อาทิ เครือข่ายไร้สาย 5G และหุ่นยนต์บริการ เป็นต้น

ถ้อยแถลงของปธน.สี มีขึ้นในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐยังคงตึงเครียด อันเนื่องมาจากความขัดแย้งด้านต่างๆ ซึ่งรวมถึงข้อกล่าวหาของสหรัฐที่มองว่าสินค้าไอทีของจีนมีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ และการกล่าวโทษจีนว่าเป็นต้นเหตุทำให้โควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,108
(Sep 4) ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษระบุหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินควรจะหลีกเลี่ยงการวิ่งไล่ตามพัฒนาการของระบบ digital payment อย่างเช่น stablecoins หรือ crypto-asset และหันมาดำเนินมาตรการที่ก้าวนำพัฒนาการดังกล่าว : นาย Andrew Bailey ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) กล่าวว่า หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินควรจะหลีกเลี่ยงการวิ่งไล่ตามพัฒนาการของระบบ digital payment อย่างเช่น stablecoins หรือ crypto-asset และหันมาวางแผนเพื่อดำเนินมาตรการที่ก้าวนำพัฒนาการดังกล่าว พร้อมทั้งระบุว่า หาก stablecoins จะถูกนำมาใช้เป็นตัวกลางสำหรับการชำระเงินอย่างกว้างขวาง stablecoins จะต้องมีมาตรฐานที่เท่าเทียมกับตัวกลางการชำระเงินหรือแลกเปลี่ยนเงินอื่นๆ ที่มีใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน อีกทั้งกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ประกาศใช้อยู่ในขณะนี้ ควรจะต้องได้รับการทดสอบและปรับปรุงในส่วนที่มีความจำเป็น เพื่อให้สามารถรองรับต่อพัฒนาการของ stablecoins ที่ก้าวหน้ามากขึ้นได้

นาย Bailey ระบุว่า stablecoins ที่อ้างอิงกับเงินปอนด์สเตอร์ลิง ซึ่งออกใช้ในสหราชอาณาจักรควรต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์มาตรฐานเดียวกับที่ใช้บังคับในกลุ่มธุรกิจธนาคาร รวมถึงผู้ออก stablecoins นี้ จะต้องมีถิ่นฐานอยู่ในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ หากผู้ออก stablecoins สกุลปอนด์สเตอร์ลิง รายย่อย ต้องการจะดำเนินธุรกิจในขนาดที่ใหญ่ขึ้น ก็จำเป็นต้องมีหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่ดูแลและรวบรวมกลุ่มผู้ออก stablecoins รายย่อยดังกล่าวเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งแนวทางนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อแผนการออกสกุลเงิน Libra ของ Facebook ซึ่งเป็น stablecoins ที่อ้างอิงกับหลายสกุลเงินและพันธบัตรรัฐบาล

ที่ผ่านมา stablecoins ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ cryptocurrency ได้กลายเป็นที่จับตามองและเป็นจุดสนใจของบรรดาธนาคารกลางและหน่วยกำกับดูแลด้านตลาดเงินต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก Facebook ประกาศจะออกใช้สกุลเงิน Libra โดยกลุ่มธนาคารกลางและหน่วยกำกับดูแลมีความกังวลว่า Libra จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของนโยบายการเงินและอาจถูกไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับดำเนินธุรกิจที่ผิดกฎหมาย อาทิ การฟอกเงิน เป็นต้น

Source: BOTSS
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,108
หุ้นสหรัฐฯ ร่วงต่อ ดาวโจนส์ลด น้ำมันปิดต่ำ 40 ดอลลาร์-ทองลง 3 วันติด

นักลงทุนยังเทขาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่อ ฉุดตลาดสหรัฐฯ ปิดลบ ขณะที่ราคาน้ำมันสหรัฐฯ ปิดต่ำกว่า 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ ครั้งแรกนับตั้งแต่กรกฎาคม ส่วนทองคำลดลงในวงแคบๆ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวันที่ 4 ก.ย. 2563 ในแดนลบ โดยดัชนีดาวโจนส์ลดลง 159.42 จุด หรือราว 0.6% ปิดที่ 28,133.31 จุด ฟื้นตัวหลังจากระหว่างวันลดลงไปถึง 628 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 28.10 จุด หรือราว 0.8% ปิดที่ 3,426.96 จุด ขณะที่แนสแด็กลดลง 144.97 จุด หรือราว 1.3% ปิดที่ 11,313.13 จุด

ตลาดหุ้นปิดรอบสัปดาห์ในแดนลบ โดย ดาวโจนส์ลดลง 1.8%, เอสแอนด์พี 500 ลดลง 2.3% และแนสแด็กลดลง 3.3% โดยในวันศุกร์ นักลงทุนยังคงเทขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยาเพื่อเอากำไรต่อ หลังหุ้นกลุ่มนี้เป็นที่นิยมอย่างสูงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ฉุดตลาดในภาพรวม

ด้านราคาน้ำมัน ลดลงในวันศุกร์ โดยน้ำมันสหรัฐฯ ปิดต่ำกว่า 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม จากหลายเหตุผล ทั้งความกังวลในแนวโน้มความต้องการพลังงานโลก, การลดลงในตลาดหุ้น และการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์


Ads by optAd360
สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า เวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต (WTI) งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 1.60 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.9% ไปอยู่ที่ 39.77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบ เบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 1.41 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.2% ไปอยู่ที่ 42.66 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ 9 ก.ค.

ส่วนราคาทองคำ ลดลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันในวันศุกร์ รวมตลอดสัปดาห์ลดลงราว 2% หลังจากข้อมูลจ้างงานรายเดือนของสหรัฐฯ พบว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านตำแหน่ง ดีกว่าที่คาด ดันค่าเงินดอลลาร์บวก 0.4% โดยสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 3.50 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 0.2% ปิดที่ 1,934.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

จาก:ไทยรัฐออนไลน์
TRADE RIDER

*

admin

  • 80,698
สวัสดี ตอนเช้า วันเสาร์ ครับผม

เมื่อวานน่าจะกำไร กัน นะครับ
พักผ่อน เสาร์ อาทิตย์ ให้มีแรงเที่ยวให้สนุก วันจันทร์ เริ่ม สู้กันใหม่ ครับผม
วันหยุด ยาว ไปเที่ยวที่ไหน เดินทางปลอดภัยกันทุกคนนะครับ

**Hea** **Hea** **Hea**
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"

*

admin

  • 80,698
อ้างจาก: admin ที่ 04, กันยายน  2020, 11:23:31 PM




น้อง EU งัด ขึ้นอยู่นะครับ ผม จะยาวใหม น้า เอา SL มากั้นแล้ว น้า

xc4* xc4* xc4*

ท่าน ใด ตั้งไว้ อาจจะเสี่ยว นิดหน่อย แต่ก็มาได้นะครับ

**Hip** **Hip** **Hip**
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"

*

admin

  • 80,698
อ้างจาก: admin ที่ 04, กันยายน  2020, 11:24:43 PM



GU ก็ไฝว้ มาหวัง ว่าน้องจะบินไกล

)2: )2: )2:

GU ก็บินกลับได้อย่างโหด มากมาย

g*/- g*/-
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"

*

admin

  • 80,698
  ประกาศ รางวัลผู้ที่วิเคราะห์ได้เก่ง ที่สุด ในปฐพี แจ้งหมายเลข บัญชี เทรด XM เพื่อ ให้ แอดมิน โอนรางวัลให้ได้เลย นะครับผม
สมาชิกที่ทายผลทางบอร์ด
สมาชิกที่ทายผล ทาง Facebook Fanpage

อย่าลืม ท่าน ที่จะรับรางวัล รบกวน ตรวจสอบว่า Subscript Local depositor ก่อนนะครับผม https://traderider.com/index.php/topic,4673.0.html

หากยังไม่มีบัญชี XM ผ่าน บอร์ด กด Click Link การ สมัคร xm เพิ่ม  : https://traderider.com/register/xm

**Hip**  xc4* **Hip** xc4* **Hip** xc4* **Hip** xc4* **Hip**
แจ้งรับรางวัลได้ที่ นี่เท่านั้น ครับ : https://traderider.com/index.php/topic,21874.new.html#new
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"

*

PoNgPk

  • 6,108
ภาพถ่ายดาวเทียมชี้เกาหลีเหนืออาจเตรียมทดสอบยิงขีปนาวุธจากเรือดำน้ำ


ศูนย์การศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (Center for Strategic and International Studies – CSIS) รายงานในวันศุกร์ว่า ภาพถ่ายดาวเทียมของอู่ต่อเรือแห่งหนึ่งในเกาหลีเหนือแสดงให้เห็นถึงกิจกรรมที่บ่งชี้ว่า เกาหลีเหนือกำลังเตรียมการที่จะทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากเรือดำน้ำ

CSIS ระบุว่า ภาพถ่ายดาวเทียมดังกล่าวซึ่งเผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ของอู่ต่อเรือแห่งหนึ่งในเมืองซินโปของเกาหลีเหนือแสดงให้เห็นภาพเรือหลายลำ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีลักษณะคล้ายกับเรือที่เคยใช้ลากเรือดำน้ำออกสู่ทะเล

CSIS เปิดเผยว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็น "การบ่งชี้ แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นการเตรียมการเพื่อทดสอบยิงขีปนาวุธจากเรือดำน้ำ Pukguksong-3 ที่กำลังจะมีขึ้นในอนาคต"



เกาหลีเหนือเปิดเผยเมื่อเดือนต.ค.ปีที่แล้วว่า กองทัพประสบความสำเร็จในการทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามทวีปจากเรือดำน้ำ Pukguksong-3 อันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะสกัดกั้นภัยคุกคามจากนอกประเทศ และส่งเสริมการป้องกันตนเอง

บรรดานักวิเคราะห์มองว่า การยิงขีปนาวุธครั้งนั้นเป็นการกระทำที่ยั่วยุมากที่สุดของเกาหลีเหนือนับตั้งแต่เข้าสู่การเจรจากับสหรัฐเกี่ยวกับโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธในปี 2561

รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่เมืองซินโปมีขึ้น ท่ามกลางสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เกาหลีเหนืออาจกำลังเตรียมจัดการสวนสนามครั้งใหญ่ในเดือนต.ค.นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า เกาหลีเหนืออาจใช้งานดังกล่าวเพื่อแสดงแสนยานุภาพของขีปนาวุธรุ่นใหม่เช่นเดียวกับที่เคยทำในอดีตที่ผ่านมา



--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กัลยาณี ชีวะพานิช
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,108
(Sep 5)  "พาวเวล" ชี้ใส่หน้ากาก-เว้นระยะห่าง ช่วยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐโตได้ : นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า การใส่หน้ากากอนามัยและการเว้นระยะห่างทางสังคม อาจจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

นายพาวเวลกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว National Public Radio (NPR) เมื่อวันศุกร์ว่า "เพื่อให้สหรัฐกลับไปมีการจ้างงานอย่างเต็มที่ เราจำเป็นจะต้องควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำได้ในขณะที่เรายังไม่มีวัคซีนนั้นได้แก่ การใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม"

"จะเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลอย่างแท้จริง หากประชาชนทั่วประเทศสวมหน้ากากอนามัย และรักษาระยะห่างทางสังคม" นายพาวเวลกล่าว

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังระบุด้วยว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ต่อไปเป็นระยะเวลานานเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายพาวเวลแสดงความเห็นดังกล่าว หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 1.255 ล้านตำแหน่ง ซึ่งสะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่หยุดชะงักไปจากผลกระทบของมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขจ้างงานเดือน ส.ค.ชะลอตัวลงจากที่เพิ่มขึ้น 1.73 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ค. และลดลงอย่างมากจากที่เพิ่มขึ้น 4.79 ล้านตำแหน่งในเดือนมิ.ย.

ส่วนอัตราการว่างงานเดือน ส.ค. ลดลงสู่ระดับ 8.4% จากระดับ 10.2% ในเดือนก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 9.8% โดยนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่อัตราว่างงานของสหรัฐอยู่ต่ำกว่าระดับ 10%

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กัลยาณี ชีวะพานิช
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,108
(Sep 6) มาตรการ QE ไม่มีที่สิ้นสุด เงินกำลังจะไหลไปไหน? ไขข้อข้องใจ เมื่อธนาคารกลางหลายประเทศประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ไม่สิ้นสุด จะสามารถทำได้จริงหรือไม่? แล้วปริมาณเงินจากมาตรการ QE นี้กำลังจะไหลไปไหน?

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดย ดร.ฐิติมา ชูเชิด ฝ่ายนโยบายการเงิน ได้วิเคราะห์ประเด็นธนาคารกลางประเทศใหญ่ๆ หลายแห่งประกาศชัดว่าจะรับมือกับโควิด-19 ด้วยมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (quantitative easing: QE) ที่ไม่สิ้นสุด พร้อมส่งสัญญาณว่าจะดูแลให้อัตราดอกเบี้ยต่ำอีกนาน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าพร้อมช่วยอุ้มเศรษฐกิจและดูแลให้ตลาดการเงินทำงานได้ปกติ โดยที่กระสุนของธนาคารกลางจะยังไม่หมดง่ายๆ แล้วมาตรการ QE ไม่มีที่สิ้นสุดได้จริงหรือ? และปริมาณเงินจากมาตรการ QE นี้กำลังจะไหลไปไหน?

มาตรการ QE เเครื่องมือด้านงบดุลของธนาคารกลาง โดยธนาคารกลางจะขยายงบดุลด้วยการพิมพ์เงินเพิ่ม (ฝั่งหนี้สิน) เพื่อเอาไปซื้อตราสารทางการเงินระยะกลาง-ยาว เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้เอกชน สินทรัพย์อื่นที่อยากเข้าช่วยเป็นพิเศษ ไปเก็บไว้ในฝั่งสินทรัพย์ ด้วยแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นทำให้ราคาตราสารหนี้แพงขึ้นและกดให้อัตราผลตอบแทนลดลงมาได้

มาตรการ QE จึงเป็นเครื่องมือพิเศษเพิ่มเติมจากเครื่องมืออัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้น เพื่อลดต้นทุนการออกตราสารระยะกลาง-ยาวของรัฐบาล ธุรกิจ และสถาบันการเงิน ซึ่งจะเอื้อต่อการระดมทุนในตลาดทุน และช่วยให้ธนาคารปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำลงได้ด้วย

ขณะเดียวกัน มาตรการ QE ยังช่วยเพิ่มความมั่งคั่งให้คนที่ถือสินทรัพย์ต่างๆ ตามราคาสินทรัพย์อื่นที่จะพากันปรับสูงขึ้นด้วย เพราะเงินที่อัดฉีดมาในระบบการเงินจะถูกเอาไปลงทุนทางการเงินอีกต่อ ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายในระบบเศรษฐกิจได้อีกทาง
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่จู่โจมเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ ญี่ปุ่น ยุโรป และอังกฤษ ต้องเร่งออกมาตรการ QE ที่รวดเร็วและใหญ่กว่าตอนเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2550-2551 ส่วนหนึ่งอาจเพราะว่าศึกครั้งนี้เกิดขึ้นตอนที่เครื่องมืออัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว ปรับลดต่อได้อีกไม่มาก จึงต้องหันมาใช้เครื่องมือพิเศษนี้มากขึ้น

ดูได้จากขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ก่อนโควิดระบาดเมื่อปลาย ก.พ.63 ยังอยู่ที่ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ภายในไม่กี่เดือนเพิ่มขึ้นมากว่า 70% เป็น 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือน มิ.ย.63 หลังจาก Fed ประกาศขยายขอบเขตการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและ agency mortgage-backed securities แบบไม่จำกัดวงเงินในปริมาณที่จำเป็น และขยายขอบเขตการเข้าซื้อให้ครอบคลุมถึง commercial mortgage-backed securities (CMBS) ตราสารหนี้รัฐบาลท้องถิ่น และตราสารหนี้บริษัทเอกชนเกรดแย่ด้วย

มาตรการ QE ไม่มีที่สิ้นสุดได้จริงหรือ?

ผู้เขียนเห็นว่าอาจขึ้นกับ
(1) การขยายขนาดงบดุลด้วยการพิมพ์เงินอัดฉีดเข้าไปในระบบได้คุ้มเสียหรือไม่ หากคนมองว่าเงินที่พิมพ์ออกมามากมายเช่นนี้สามารถส่งผ่านไปช่วยเศรษฐกิจที่กำลังแย่หรือเข้าดูแลตลาดการเงินที่ทำงานไม่ปกติได้ คนที่ถือเงินหรือตราสารของเงินสกุลนี้ก็จะยังเชื่อมั่น สกุลเงินนี้จะไม่เสื่อมค่าและเกิดเงินเฟ้อรุนแรงตามมา เพราะคนไม่ต้องการและเอาไปแลกเป็นสกุลเงินอื่นมาถือแทน สำหรับเงินดอลลาร์สหรัฐ อาจพิเศษกว่าใครอยู่ข้อนึง ตรงที่เป็นสกุลเงินหลักในพอร์ตเงินสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางทั่วโลก (global reserve currency) ที่ยังได้รับความเชื่อมั่นและความนิยมอยู่มาก

(2) ธนาคารกลางอยากจะกดให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะปานกลาง-ยาวต่ำนานเพียงใด และอยากให้ต่ำลงอีกหรือไม่ ปัจจุบันเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลต่ำลงมามากแล้ว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับลดลงมาค่อนข้างมากจากเกือบ 2% เมื่อต้นปี 2563 เหลือแค่ 0.6% ในเดือน ก.ค. 63
(3) ธนาคารกลางที่เข้าไปเป็นเจ้าหนี้ตราสารทางการเงินของบริษัทขนาดกลางและเล็กโดยตรงเปิดรับความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อ (credit risk) ได้แค่ไหน มีกลไกรองรับและจัดการกับความเสียหายอย่างไรเพื่อให้งบดุลของงตัวเองยั่งยืนได้

เงินจากมาตรการ QE นี้จะไปไหนต่อ?

ที่เห็นได้ชัดคือ เงินนี้กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมหาผลประโยชน์จากเงินต้นทุนถูกในตลาดการเงินประเทศนั้นๆ หลายบริษัทอาจก่อหนี้เกินตัวมากขึ้น โดยเฉพาะ QE ที่เข้าซื้อตราสารหนี้เอกชนโดยตรง จึงอาจทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงเกินจริง ราคาหุ้นสูงขึ้น เกิดภาพลวงตาในตลาดหุ้นประเทศนั้นๆ ที่สำคัญคือ เงินนี้อาจไปสร้างภาพลวงตาในตลาดการเงินประเทศอื่นๆ ในยุคโลกาภิวัตน์ทางการเงินได้ด้วย

การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงินตัวเอง แต่ความต้องการลงทุนใช้จ่ายของระบบเศรษฐกิจยังไม่มากในภาวะนี้ เงินส่วนเกินที่เห็นจะไหลไปประเทศอื่นๆ เพื่อหาผลตอบแทนทางการเงินที่สูงกว่า สร้างผลกระทบทำให้เงินสกุลอื่นแข็งค่าขึ้น สร้างความไม่สมดุลของราคาสินทรัพย์ จูงใจให้ภาครัฐและธุรกิจก่อหนี้ต่างประเทศได้ง่ายเพราะต้นทุนต่ำ และสร้างความเสี่ยงที่เงินนี้อาจไหลกลับฉับพลัน ทำให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆ และค่าเงินปรับลดลงรวดเร็วรุนแรง

ในยามที่เพื่อนบ้านไขก๊อกเร่งปล่อยเงินไม่สิ้นสุด จนเงินไหลบ่ามาบ้านอื่นๆ หาผลตอบแทนที่ดีกว่า จึงน่าคิดว่าเงินนั้นจะมาสร้างภาพลวงตาอะไรในบ้านเรา โดยเฉพาะราคาสินทรัพย์ต่างๆ ที่สูงขึ้น จากสภาพคล่องเทียมบ้านอื่นที่ล้นมาทำให้สวนบ้านเราเขียวชอุ่มชั่วคราว แต่ก็พร้อมจะไหลกลับทันทีที่ถูกไขก๊อกกลับ จนเหลือแต่สวนแล้งๆ ไว้ให้เจ้าบ้านดูต่างหน้าและก้มหน้ารับความเสียหายที่เกิดขึ้นกันเอง เราจะได้ตัดสินใจลงทุนและบริโภคอย่างมีเหตุผลในภาวะดอกเบี้ยต่ำติดดินเช่นนี้ได้ค่ะ

[บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย]

Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,108
(Sep 6) สงครามเทคโนโลยี จุดเปลี่ยนเกม 'หยวน-ดอลลาร์' : ภายหลังเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงมากจากพิษไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐติดลบอย่างหนัก ก็เริ่มมีการพูดกันว่า ดอลลาร์สหรัฐกำลังสูญเสียความเป็นเจ้าแห่งทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนิยมซื้อเข้าเก็บเป็นทุนสำรองต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ในเวลานี้ยังไม่มีเงินสกุลอื่นเป็นทางเลือกมาทดแทนดอลลาร์สหรัฐ" เพราะคู่แข่งขันที่ใกล้เคียงที่สุด ไม่ว่าจะเป็น "หยวน" ของจีน หรือ "ยูโร" ก็ยังห่างชั้นจากดอลลาร์สหรัฐมาก อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเงินหยวนของจีนกำลังมีความสำคัญเพิ่มขึ้นทั้งในการค้าโลก และในทุนสำรองระหว่างประเทศ เพราะอิทธิพลเศรษฐกิจจีนกำลังเพิ่มขึ้นนั่นเอง

ธนาคารดีบีเอสของสิงคโปร์ระบุว่า ปัจจุบันเงินหยวนอยู่อันดับ 6 ในฐานะสกุลเงินที่ทั่วโลกนิยมใช้ชำระค่าสินค้าและบริการระหว่างประเทศ ขณะที่จีนใช้เงินหยวนชำระประมาณ 20% ของการค้าทั้งหมดของจีน ทั้งนี้ กลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ก็เป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดของจีน ดังนั้นจึงเป็นโอกาสให้จีนเพิ่มการใช้เงินหยวนข้ามแดน

"ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐที่ลามไปถึงภาคเทคโนโลยีและการเงิน จุดประกายรอบใหม่ให้จีนผลักดันเงินหยวนให้เป็นสกุลเงินสากล" ดีบีเอสระบุ

ตามข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) "เงินหยวน" มีส่วนแบ่งในทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี ค.ศ. 2016 เป็น 2% ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน เงินหยวนก็แข็งค่าอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น วันอังคารที่ 1 กันยายน เงินหยวนออนชอร์แข็งค่ามากสุดในรอบเกือบ 16 เดือน ไปอยู่ที่ 6.8239 หยวนต่อดอลลาร์ และออฟชอร์อยู่ที่ 6.8236 ต่อดอลลาร์ แข็งค่าที่สุดนับจากเดือนกรกฎาคม 2019

"สเวน ชูเบิร์ต" นักกลยุทธ์ลงทุนอาวุโสของ Vontobel Asset Management สวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า อิทธิพลของจีนที่เริ่มเติบโตมากขึ้นจากโครงการยักษ์ระดับโลก "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" เป็นหนึ่งในปัจจัยที่อาจทำให้การใช้เงินหยวนทำธุรกรรมกลายเป็นสิ่งปกติธรรมดามากขึ้น

"โครงการที่มีเป้าหมายสร้างโครงข่ายเชื่อมโยงหลากหลายทั้งทางบกและทางน้ำ จากจีนไปยังเอเชียกลาง แอฟริกา และยุโรป เพื่อขยายการค้านี้ ทำให้จีนมีอิทธิพลในยูเรเชียและแอฟริกามากขึ้น จึงเป็นการปูทางให้มีการใช้เงินหยวนเพิ่มขึ้นในการค้าระดับโลก"

นอกจากนั้น "จีนและรัสเซีย" ยังจับมือกันลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดของธนาคารกลางรัสเซีย ได้เพิ่มเงินหยวนเข้าเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ จากประมาณ 2% ในปี 2018 เป็นมากกว่า 14% ในปี 2019 พร้อมกันนั้นลดดอลลาร์สหรัฐจากประมาณ 30% เหลือ 9.7% ในช่วงเดียวกัน

ผลจากการจับมือระหว่างจีนกับรัสเซีย ทำให้ทั้ง 2 ประเทศใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในการทำธุรกรรมระหว่างกันลดลงต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรกในไตรมาสแรกปีนี้ รวมแล้วในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการชำระด้วยดอลลาร์สหรัฐของทั้ง 2 ประเทศลดจาก 90% ไปอยู่ที่ 46%

ทั้งนี้ หากวัดจากความสำคัญทางเศรษฐกิจของจีนแล้วถือว่า เงินหยวนถูกนำมาใช้ในธุรกรรมระหว่างประเทศน้อยเกินไป ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนไปในอนาคต เพื่อให้สอดคล้องกับระดับความสำคัญทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการค้าระหว่างประเทศก็ยังมีการใช้ดอลลาร์สหรัฐมากที่สุด คือ 50% ของการค้าโลก แม้ว่าการค้าของสหรัฐจะมีสัดส่วนเพียง 12% ของการค้าโลกก็ตาม

"เอสวาร์ พราซาด" อาจารย์มหาวิทยาลัยคอร์เนลเห็นว่า ความพยายามของจีนในการเปิดภาคการเงิน ตลอดจนการที่ดัชนีตลาดหุ้นแผ่นดินใหญ่ถูกรวมเข้าไปอยู่ในดัชนีระดับโลก จะทำให้เงินหยวนค่อย ๆ มีความสำคัญมากขึ้น โดยปัจจุบันหุ้น A-shares ของจีน หรือหุ้นที่ซื้อขายในดัชนีของตลาดหุ้นแผ่นดินใหญ่ ถูกรวมเข้าไปอยู่ในดัชนีระดับโลกของ MSCI และภูมิภาค อีกทั้งตลาดพันธบัตรก็ถูกรวมเข้าไปในดัชนีบลูมเบิร์ก บาร์เคลย์ ซึ่งล้วนแต่เทรดด้วยเงินหยวน

"ในเมื่อสินทรัพย์ของจีนมีการเทรดในตลาดระดับโลก ต่างชาติก็จำเป็นต้องเทรดด้วยเงินหยวนมากขึ้น นั่นก็จะเป็นสิ่งผลักดันให้เงินหยวนเป็นสากล"

พราซาดยังระบุด้วยว่า การที่จีนผลักดันเงินดิจิทัลยิ่งจะเพิ่มบทบาทเงินหยวนให้เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระบริการและสินค้าระหว่างประเทศ และท่ามกลางความตึงเครียดกับสหรัฐเช่นนี้ การส่งเสริมให้ใช้เงินหยวนในการค้าโลก จะทำให้จีนสามารถแยกตัวออกจากสหรัฐได้ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เงินหยวนไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวของดอลลาร์ในตลาดเงินระดับโลก

ถึงกระนั้น สงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐ อาจทำให้ "เกมเปลี่ยน" เพราะขณะที่สหรัฐถอนตัวออกจากองค์กรใหญ่ระดับโลกอย่างองค์การอนามัยโลก หรือข้อตกลงปารีส ว่าด้วยการลดปัญหาโลกร้อน ทำให้เกิดความกังวลว่าจะทำให้เกิดสุญญากาศทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่จีนแสนจะเต็มใจที่จะเข้าไปเติมเต็ม แต่นั่นก็ไม่ใช่ภัยคุกคามต่อความเป็นใหญ่ของดอลลาร์สหรัฐ หากแต่ปัจจัยสำคัญก็คือ "สงครามเทคโนโลยี" ที่จะทำให้อินเทอร์เน็ตโลกแยกเป็น 2 สาย คือ สายที่อเมริกาเป็นศูนย์กลาง และสายที่มีจีนเป็นศูนย์กลาง

ปัจจัยดังกล่าวมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนเกมเรื่องบทบาทของค่าเงิน เพราะอินเทอร์เน็ตที่มีจีนเป็นศูนย์กลางจะเพิ่มอิทธิพลของจีนในเอเชีย เพราะโครงข่ายโทรคมนาคมจะต้องเชื่อมโยงใกล้ชิดกับเทคโนโลยีของจีน ทำให้จำเป็นต้องใช้เงินหยวนในภูมิภาค

อเมริการุกคืบเพื่อบดขยี้จีนอย่างหนักเพื่อสกัดการผงาดขึ้นด้านเทคโนโลยี ที่มีแนวโน้มว่าจะนำหน้าสหรัฐหลายด้าน นอกจากจะบีบ "หัวเว่ย" บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนทุกทางแล้ว ล่าสุดยังเล่นงาน TikTok แอปพลิเคชั่นแชร์วิดีโอที่กำลังเป็นที่นิยม ด้วยการบังคับให้ขายกิจการในสหรัฐอีกด้วย

ชีพจรเศษฐกิจโลก: นงนุช สิงหเดชะ

Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,108
(Sep 6)  รายงาน European Securities and Markets Authority ระบุการปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยุโรปอาจไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจจริงที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 : รายงาน "Trends, Risks and Vulnerabilities" ฉบับเดือน ก.ย. 2020 ของทาง European Securities and Markets Authority (ESMA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับด้านตลาดเงินของสหภาพยุโรป ระบุว่า การปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยุโรป อาจจะไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจจริงที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 (potential decoupling)

การปรับตัวอย่างรวดเร็วได้ก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับเสถียรภาพและความยั่งยืนของการฟื้นตัวจากวิกฤตของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาดที่อาจมีต่อกลุ่มบริษัทในยุโรป รวมถึงอันดับความเชื่อทางเครดิตของบริษัทเหล่านั้น หลังจากระดับหนี้ของบริษัทต่างๆ และหลายๆ ประเทศได้ปรับสูงขึ้นภายใต้สถานการณ์วิกฤต

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยูโรโซนปรับตัวสูงขึ้นกว่าร้อยละ 40 หลังจากปรับลดลงไปแตะระดับต่ำสุดในช่วงกลางเดือน มี.ค. 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอย่างรุนแรง จนส่งผลให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ต้องประกาศมาตรการ lockdown เพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาด และเศรษฐกิจของหลายประเทศในภูมิภาคต้องเข้าสู่สภาวะถดถอย

ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณการว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะหดตัวร้อยละ 10 ในปี 2020 ก่อนจะค่อยๆ ฟื้นกลับมาขยายตัวในปี 2021 ซึ่ง ESMA ได้ประเมินว่า กลุ่มนักลงทุนสถาบันและกลุ่มนักลงทุนรายย่อย ยังมีโอกาสที่จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ความเสี่ยงที่มีระยะเวลายาวนานต่อไป โดยความยาวนานของระยะเวลาดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยสำคัญ คือ
1) ความรุนแรงของผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และ
2) ความเสี่ยงจากสถานการณ์ภายนอกต่างๆ อาทิ ปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เป็นต้น

Source: BOTSS
TRADE RIDER

*

admin

  • 80,698
สวัสดี ตอนเช้า วันจันทร์ ครับผม

สัปดาห์นี้ ขอให้กำไร เต็ม เข่ง กันทุกท่าน ครับ

**Hip** **Hip** **Hip**
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"