ราคาน้ำมันจะเป็นเช่นไรถ้าโจ ไบเดนชนะ?
เงินดอลลาร์น่ะคงไม่ต้องสงสัยแล้ว ออกข่าวครึกโครม พยากรณ์กันว่า "อ่อน" แน่ถ้าไบเดนชนะ --- ทั้งจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2021-2022 (เงินเทเข้าในระบบเยอะขึ้น) และทั้งจากการขึ้นภาษีที่เก็บบริษัท ทำให้รายได้ธุรกิจในอเมริกาถูกทอนลง (ส่งผลสืบเนื่อง กดให้ดอลลาร์อ่อน)
แต่ที่จริง ไม่ต้องคิดซับซ้อนปานนั้นหรอก --- ตรงๆเลย ไบเดนมา เศรษฐกิจแย่ ดอลลาร์อ่อน!
แล้วน้ำมันล่ะ ...
ต้องบอกว่าหากไบเดนชนะ จะฉุด "อุตสาหกรรม" น้ำมันลง แต่ดัน "ราคา" น้ำมันขึ้น
เอ๊ะ ยังไง?
.
เชล ออยล์ (น้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน) ที่กำลังเฟื่องฟู ... แม้ตอนนี้โดนโควิดตบร่วง แต่ฟื้นฟูได้ไม่ยากเย็นนักหรอก
แต่ถ้ามาเจอไบเดนเข้า รับรองไม่ได้ผุดได้เกิดใหม่แน่
ไบเดนเป็นสาย "รักษ์โลก" ครับท่าน --- ตรงกันข้ามกับทรัมป์ที่ไม่เชื่อเรื่อง "โลกร้อน"
สัมปทานที่เคยออกเรี่ยราดในยุคทรัมป์ จะไม่ง่ายแน่ กฎหมายก็จะควบคุมเข้มงวดขึ้น กระดิกตัวลำบาก
ที่สำคัญคือ โดนขึ้นภาษีโน่นนี่นั่น ไม่เหมือนทรัมป์ที่ลดแลกแจกแถมเพื่อสนับสนุนธุรกิจน้ำมันและแก๊ส
.
Goldman Sachs ประเมินว่าต้นทุนการผลิตเชล ออยล์ในยุคไบเดน จะบวกเข้าไปอีก 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เยอะนะครับท่าน
ต้นทุนผลิตเชล ออยล์ในอเมริกาเฉลี่ยคร่าวๆอยู่แถวๆ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แปลว่านี่บวกเข้าไปตั้ง 12.5% จากต้นทุนปัจจุบันเลย (ที่จริง มันก็แล้วแต่บริษัท ต้นทุนหยาบๆไล่ไปตั้งแต่ 30-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล)
ราคาน้ำมันดิบขณะนี้ก็ดันแช่อยู่แถวๆ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เทียบกับต้นทุนแล้วถือว่า "คาบเส้น" หมิ่นเหม่จวนเจียน ทำให้การผลิตเชล ออยล์รูดไหลลงตาม "กลไกตลาด" อยู่แล้ว
หากโดน "นโยบาย" ไบเดนเข้าไปอีกดอก เสมือนโดนผลักให้สุ่มเสี่ยง "ขาดทุน" สุดๆ
มีอันกระอัก! การผลิตเชล ออยล์หดหายแน่
.
ทาง S&P Global ประมาณการณ์ว่าการผลิตเชล ออยล์ในอเมริกามีหวังได้ลดลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในยุคไบเดน
(2 ล้านนี่มันเยอะแค่ไหน เทียบกับไทยได้ครับท่าน ไทยใช้วันละ 1 ล้านเศษ --- ก็เท่ากับไทยหายไป 2 ประเทศเลย!!)
ของในตลาดมีน้อยลง ก็ย่อมหนุนให้ราคาขึ้นนะครับท่าน
แต่น้ำมันในตลาดมิได้มีเพียงแค่จากอเมริกานี่!
อิหร่านล่ะ? เวเนซูเอลาล่ะ?
.
ทั่วไปมองกันว่าไบเดนน่าจะ "ผ่อนปรน" มาตรการคว่ำบาตร --- ดีไม่ดีอาจเลิกไปเลยด้วยซ้ำ
แต่ผู้สันทัดกรณีก็ชี้ว่ามันคงไม่ฉับพลันทันใด กระบวนการพวกนี้อย่างเร็วก็ต้องรอไปถึงหลัง 2022
เท้าความหน่อย ยามนี้ทรัมป์คว่ำบาตรอิหร่าน 2 ชั้นนะครับท่าน
ปกติ อเมริกาจะต้อนมิให้ถึงขั้น "จนแต้ม" ขนาดนี้ --- จะยัง "เปิดช่อง" ให้อิหร่านส่งออกได้ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน (จากศักยภาพที่สามารถส่งออกได้ 2 ปลายๆ เฉียดๆ 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน)
เวลานี้ ทรัมป์คว่ำมิดบาตรเลยจ้า อิหร่านส่งออกได้ 0 บาร์เรลต่อวัน!!
(อิหร่านลักลอบก็จริง แต่ไงก็ได้แค่ไม่กี่แสนบาร์เรลต่อวัน)
.
ไบเดนน่าจะขยับจุดนี้ อิหร่านจะส่งออกได้เพิ่มขึ้นหลายแสนต่อวันในปีหน้า
พอปี 2022 อาจเพิ่มขึ้นมาได้สักล้านบาร์เรลต่อวัน
แต่ย้อนกลับไปข้างบน จะเห็นว่าการผลิตเชล ออยล์หายไป 2 ล้าน ส่วนอิหร่านเพิ่มมาอย่างเก่งสัก 1 ล้าน
ดังนั้น รวมๆแล้ว ก็ยังหายไปจากตลาดเป็นล้านอยู่ดี
.
ยังไม่นับว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไบเดนจะทำให้การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นสักหลายแสนบาร์เรลต่อวันอีก (Goldman Sachs ว่า 2 แสนบาร์เรลต่อวัน)
แต่จุดนี้ ทางคณะเดือดฯ ไม่เชื่อนัก --- ไบเดนมา ความหวังริบหรี่ที่จะเห็นเศรษฐกิจดี
อาจเถียงว่าไบเดนเป็นสาย "รักษ์โลก" ย่อมต้องออกมาตรการให้คนใช้น้ำมันลดลง แต่นั่นกว่าจะเห็นผลก็เป็นสิบปีครับท่าน ในระยะสั้นยังไม่กระทบราคาน้ำมัน
.
สรุปแล้ว ถ้าไบเดนมา ธุรกิจน้ำมันในอเมริกาแย่ แต่หนุนราคาน้ำมันขึ้น เพราะน้ำมัน (เชล ออยล์) หายไปจากตลาดมากมาย
ยิ่งไม่นับว่าดอลลาร์อ่อน ยิ่งส่งให้น้ำมันขึ้น (ตามสหสัมพันธ์ - correlation)
อ้างอิง
Goldman Sachs Commodities Research, Oil: US election won't derail our bullish energy outlook, 11 October 2020
.
หมายเหตุ
ส่วนเวเนซูเอลา ไม่ต้องกล่าวถึง!
โดนอเมริกาคว่ำบาตรจนปัญหา "ฝังราก" ไปแล้ว
ต่อให้เลิกคว่ำ แต่วิกฤติเศรษฐกิจที่บรรลัย ทำให้สถานะ "บักโกรก" ไม่มีเงินมาลงทุนผลิตน้ำมันอยู่ดี
แถมความวุ่นวายทางการเมืองภายในก็ยังไม่คลี่คลาย (มีคนอ้างเป็นประธานาธิบดี 2 คน) โอกาสโงหัวแทบไม่มี