การร่วงลงของราคาหุ้นก่อนปิดตลาดเมื่อวันศุกร์คือสัญญาณความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน
- สินทรัพย์สำรองดั้งเดิมอย่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ สกุลเงินเยนและทองคำปรับตัวสูงขึ้น
- ข้อมูลทางเศรษฐกิจเช่นอัตราการว่างงาน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะเริ่มเผยผลกระทบจากไวรัสโคโรนาให้เห็นแล้ว
ผลจากการอนุมัติมาตรการกระตุ้นและเยียวยาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เพื่อต่อสู้กับโควิด-19 ทำให้ตลาดหุ้นสามารถดีดตัวกลับขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว แต่ขาขึ้นก็ไม่อาจอยู่ได้นานเพราะก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์จะปิดลงราคาได้ปรับตัวลดลงอีกครั้ง สาเหตุในการลงครั้งนี้มาจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 และในขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบ WTIก็ปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน ดัชนีดอลลาร์ร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสินทรัพย์สำรองอย่างสกุลเงินเยนและทองคำจึงปรับตัวสูงขึ้น
กราฟปิดบวกไม่ได้หมายความว่าตลาดกำลังพร้อมจะขึ้นเสมอไป
ก่อนหน้าที่ราคาในตลาดจะหักหัวกลับลงมาดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 10% เป็นเวลา 3 วันติดซึ่งถือเป็นขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2009 ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ถึงจะปรับตัวลดลง 4% และก็มีผลงานตลอดทั้งสัปดาห์ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1938 ถึงก่อนหน้านี้จะร่วงลงหนักที่สุด (มากถึง 10,000 จุดภายใน 3 อาทิตย์) ในบรรดาดัชนีทั้งหมด
อย่างไรก็ตามการวกกลับลงมาของกราฟก่อนปิดตลาดเป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่นักลงทุนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่ามาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของทรัมป์นั้นเพียงพอ นักลงทุนบางส่วนยังคงไม่กล้าที่จะถือสินทรัพย์เป็นระยะเวลานานและกลัวว่าขาขึ้นครั้งนี้จะเป็นเพียงการขึ้นไปย่อเพื่อลงต่อเท่านั้นเพราะสัปดาห์นี้จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ ได้แซงทะลุประเทศจีนไปเป็นที่เรียบร้อย
ปัจจุบันยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาทั่วโลกมีมากแล้วถึง 666,000 คนในขณะที่กำลังเขียนบทความ สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อมากถึง 125,000 รายและได้กลายเป็นศูนย์กลางแหล่งกระจายเชื้อของโลกแห่งใหม่ มีผู้เสียชีวิตแตะ 2,000 คน โควิด-19 ส่งผลทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศต้องชะลอตัวและจำเป็นต้องปิดล็อคเมืองสำคัญเพื่อระงับการแพร่เชื้อ ตอนนี้เหนือเพียงปัจจัยแห่งเวลาเท่านั้นที่จะบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ย่ำแย่ไปจนถึงขั้นไหนแล้ว
แม้ว่าสัปดาห์ที่แล้วราคาในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะปรับตัวขึ้นแต่เรายังคงเชื่อว่าราคาจะมุ่งหน้าลงต่อไป
เมื่อพิจารณากราฟ S&P 500 ในทางเทคนิคดูแล้วจะพบว่ากราฟได้วิ่งปรับฐานอยู่ในกรอบราคาขาลง เมื่อราคาขึ้นมาแตะเส้นเทรนด์ไลน์ด้านบนปรากฏว่าแท่งเทียนก็ดีดกลับลงมาทันที แรงขายช่วงชั่วโมงสุดท้ายก่อนปิดตลาดถือเป็นสัญญาณที่ไม่อาจละเลยได้ แม้กฎหมายเงินเยียวยามูลค่า $2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐจะผ่านแล้วแต่แท่งเทียนแท่งนี้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังรู้สึกไม่มั่นคงพอที่จะตามขาขึ้นครั้งนี้ แท่งเทียนโดจิในรูปถือเป็นสัญญาณเตือน
อีกหนึ่งสัญญาณยืนยันว่านักลงทุนไม่คิดว่าขาขึ้นครั้งนี้จะเป็นขาขึ้นที่ง่ายขนาดนั้นคือสิ่งที่ปรากฏในดัชนีวัดความผันผวนจาก CBOE ซึ่งยังพบว่าตัวดัชนีเองมีราคาปิดอยู่เหนือระดับ 60 อยู่ ดัชนีนี้ไม่เคยขึ้นสูงขนาดนี้นับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2008 ยิ่งไปกว่านั้นดัชนีที่ใช้ "วัดความกลัวของตลาด" ได้ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดไว้ที่ 85 สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ในรอบ 10 ปี
อีกหนึ่งสัญญาณที่นักลงทุนต้องระวังคือราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เมื่อวันศุกร์ปรับตัวลดลงจนแรงขาขึ้นก่อนหน้าหายเกลี้ยง
กราฟราคาพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีร่วงลงไปยังจุดต่ำสุดของพันธบัตรเมื่อวันที่ 9 มีนาคมก่อนที่จะสามารถดีดกลับขึ้นมาได้เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศอุ้มเอาไว้ อย่างไรก็ตามเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาราคาได้ร่วงลงไปอีก 0.7% ส่งสัญญาณการสิ้นสุดของการดีดตัวขึ้นจาก 0.3% ขึ้นไปยัง 1.6%
สกุลเงินเยนและราคาทองคำมีราคาที่สูงขึ้นในฐานะสินทรัพย์สำรองปลอดภัยอีกครั้งเมื่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนมูลค่าลง หากว่าสัปดาห์นี้มีข่าวรัฐบาลสหรัฐฯ จะมีนโยบายเพิ่มเติมเข้ามาช่วยเศรษฐกิจอีกจะทำให้เป็นการยากมากว่าจะคาดการณ์ทิศทางของสินทรัพย์สำรองว่าจะสามารถขึ้นไปได้อีกไกลมากน้อยเพียงใด ถึงกระนั้นทองคำก็ยังถือว่าขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ แม้กระทั้งสกุลเงินเยนหรือสวิตฟรังก์ก็ตาม
หลังจากที่ทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์สำรองปลอดภัยมานาน ในที่สุดดัชนีดอลลาร์สหรัฐก็เจอแรงขายที่แย่ที่ตลอด 5 วันนับตั้งแต่ปี 2009
จากรูปของกราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐจะเห็นได้ว่านักลงทุนไม่รู้ว่าดอลลาร์ควรมุ่งหน้าไปทางไหนต่อไป ตอนนี้ราคายังคงวิ่งอยู่ในสามเหลี่ยมปากกว้างซึ่งจะเกิดขึ้นต่อเมื่อตลาดไร้ทิศทาง ยิ่งไปกว่านั้นรูปแบบนี้ยังเกิดในแนวโน้มขาขึ้นอีกด้วย
ราคาน้ำมันดิบร่วงลงเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกันแล้ว
แม้ว่าก่อนหน้านี้ในบทความ "กราฟเด่นประจำวันนี้" เราเคยคิดว่าราคาน้ำมันดิบจะแข็งแรงพอที่จะวิ่งขึ้นไปยัง $30 ก่อนแล้วค่อยร่วงลงมาอยู่ต่ำกว่า $20 แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้แม้แต่แรงจะพยุงตัวเองให้อยู่ในกรอบสามเหลี่ยมลู่ขึ้น ราคาก็ไม่มีแรงเสียแล้ว
ข่าวเศรษฐกิจที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ (เวลาทั้งหมดถูกคำนวณเป็น EDT)
วันจันทร์
10:00 (สหรัฐฯ) - ยอดขายบ้านที่รอปิดการขาย: คาดว่าจะลดลงจาก 5.2% เหลือ -1.0%
21:00 (ประเทศจีน) - ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 37.5 เป็น 45.0
วันอังคาร
02:00 (สหราชอาณาจักร) - รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าแบบปีต่อปีจะคงที่ 1.1% แต่อัตราการเติบโตจะลดลงจาก 0.5% เหลือ 0.0%
03:55 (เยอรมัน) - อัตราการว่างงาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -10K เป็น 28K
05:00 (ยูโรโซน) - ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): แบบปีต่อปีอาจจะร่วงลงจาก 1.2% เหลือ 0.8%
08:30 (แคนาดา) - ตัวเลข GDP: คาดว่าจะลดลงจาก 0.3% เหลือ 0.1%
10:00 (สหรัฐฯ) - ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจาก CB: คาดว่าจะลดลงจาก 130.7 เหลือ 112.0
19:50 (ญี่ปุ่น) - ดัชนีภาคการผลิตขนาดใหญ่จากการสำรวจของ Tankan: คาดว่าจะลดลงจาก 5 เหลือ -10
21:45 (ประเทศจีน) - ดัชนี PMI ภาคการผลิตจากมหาลัยไซซิน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 40.3 ขึ้นมาเป็น 45.8
วันพุธ
03:55 (เยอรมัน) - ดัชนี PMI ภาคการผลิต: คาดว่าจะลดลงจาก 45.7 หรือ 45.4
04:30 (สหราชอาณาจักร) - ดัชนี PMI ภาคการผลิต: คาดว่าจะลดลงเล็กน้อยจาก 48.0 เหลือ 47.0
08:15 (สหรัฐฯ) - ตัวเลขคาดการณ์การจ้างงานนอกภาคการเกษตรจาก ADP: คาดว่าจะลดลงจาก 183K เหลือ -154K
10:00 (สหรัฐฯ) - ดัชนี PMI ภาคการผลิตจาก ISM: คาดว่าจะหดตัวจาก 50.1 เหลือ 45.0
10:40 (สหรัฐฯ) - รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: ตัวเลขในคราวที่แล้วอยู่ที่ 1.623 ล้านบาร์เรล
วันพฤหัสบดี
04:30 (สหราชอาณาจักร) - ดัชนี PMI ภาคการก่อสร้าง: ตัวเลขในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 52.6
08:30 (สหรัฐฯ) - จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 3,000K จากตัวเลข 3,283K ในสัปดาห์ที่แล้ว
วันศุกร์
08:30 (สหรัฐฯ) - ตัวเลขการต้างงานนอกภาคการเกษตร: คาดว่าจะลดลงจาก 273K เหลือ -100K
08:30 (สหรัฐฯ) - อัตราการว่างงาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 3.5% เป็น 3.9%
10:00 (สหรัฐฯ) - ดัชนี PMI ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตโดย ISM: คาดว่าจะลดลงจาก 57.3 เหลือ 44.0
จาก:บทวิเคาระห์
Investing.com