(Sep 6) บิ๊กเอเชียเร่งดัน 'อาร์เซป' ภูมิภาคผนึกกำลังต่อกร 'ทรัมป์' : การประชุมระดับรัฐมนตรีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ "อาร์เซป" (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ครั้งที่ 6 ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อ 30-31 ส.ค.ที่ผ่านมา ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 50 ส่อเค้าความเป็นเนื้อเป็นหนังมากขึ้น
หลายฝ่ายออกมาบอกตรงกันว่า ประสบความสำเร็จ เพราะเป็นครั้งแรกที่ระดับรัฐมนตรี 16 ประเทศ สามารถ ตกลงกันในประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อ อนาคตได้สำเร็จ โดยสรุปออกมาเป็น 6 ประเด็นหลัก ทั้งเรื่องการจัดทำข้อผูกพันการเปิดตลาดสินค้า บริการ และ การลงทุน การจัดทำข้อตกลงเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา การแข่งขัน และ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
อาร์เซปถือเป็นข้อตกลงความร่วมมือ ที่จีนหนุนหลังอย่างหนัก เพราะมีผลเชิงบวกอย่างมากต่อยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศของจีนที่กำลังก่อร่างสร้างโครงการวันเบลต์วันโรด (OBOR) ทั้งนี้ ข้อตกลงอาร์เซปประกอบด้วยอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ บวกกับจีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และเกาหลีใต้
ก่อนหน้านี้ หลายประเทศอาเซียนอกหักครั้งใหญ่ จากข้อตกลง "ทีพีพี" (Trans-Pacific Partnership : TPP) หรือข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ที่มี บารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ เป็น หัวหอก และถูกล้มไปโดย โดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งแต่วันแรก ๆ ของการรับตำแหน่ง
อาร์เซปกลายเป็นความหวังใหม่ของการค้าระดับภูมิภาค แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่คืบหน้าเท่าไหร่ ตลอด 1 ปีกว่า ๆ ที่ทรัมป์รับตำแหน่งผู้นำประเทศสหรัฐอเมริกา กระทั่งการประชุมครั้งล่าสุด โลกได้เห็นอะไรเป็นรูปธรรมจากอาร์เซปเสียที
"ชาน ชุน ซิง" รัฐมนตรีการพาณิชย์ และอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ ได้กล่าว ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นว่า คณะกรรมการจะสรุปข้อตกลงสำคัญ ๆ อีกครั้ง ภายหลัง "ผู้นำ" แต่ละประเทศได้พบหน้ากันในการประชุมครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้
ไม่ใช่แค่ทิศทางจาก "สิงคโปร์" ประธานกลุ่มประเทศอาเซียนเท่านั้นที่ชัดเจนขึ้น อีกหนึ่งสัญญาณที่เปลี่ยนไปในครั้งนี้มาจากมหาอำนาจในเอเชียตะวันออกเช่นกัน โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สื่อญี่ปุ่นอย่าง "ซันเคอิ" ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ นายกรัฐมนตรี "ชินโซ อาเบะ" แห่งแดนอาทิตย์อุทัย ที่กล่าวว่า ณ ตอนนี้ ความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นและจีนกลับสู่ปกติแล้ว
ตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ของ อาเบะระบุว่า "จากที่นายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง ของจีน ได้เดินทางเยือนญี่ปุ่น เมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา และความสัมพันธ์ของจีน-ญี่ปุ่นได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว"
หลังจากที่นโยบายปกป้องการค้า ของโดนัลด์ ทรัมป์ แผลงฤทธิ์สั่นสะเทือนไปทั่วโลก ญี่ปุ่นและจีนได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ จีนโดนเล่นงาน ภาษีนำเข้าจากสหรัฐอย่างหนัก ขณะที่ ญี่ปุ่นต้องเสียโอกาสครั้งใหญ่จากการ ที่สหรัฐประกาศถอนตัวจากข้อตกลงทีพีพี
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อาเบะ แสดงความต้องการในการผลักดัน อาร์เซประบุว่า "การก่อตัวของลัทธิกีดกันทางการค้าในระดับโลก ทำให้พวกเราเอเชียต้องผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว" และเมื่ออาเบะส่งสัญญาณอีกรอบไล่เลี่ยช่วงเวลาเดียวกันกับการประชุมระดับรัฐมนตรี อนุมานได้ว่า การผลักดันข้อตกลงอาร์เซปสำหรับญี่ปุ่น เป็นเรื่อง "จำเป็น" เช่นกัน"หัว เจียนกัว" อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัย ภายใต้กระทรวงพาณิชย์จีน ให้สัมภาษณ์เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ว่า ปัจจุบันจีนเองก็ร้อนใจเช่นกัน เพราะอยากให้อาร์เซปบรรลุเสียที เพื่อเป็นหนึ่งเครื่องมือที่จะใช้ต่อกรกับรัฐบาลวอชิงตันได้
"อาร์เซปใช้เวลานานกว่าที่จีนคิด ผมคิดว่ารัฐบาลจีนไม่น่าจะยอมให้ อาร์เซปดีเลย์ไปอีกปีหนึ่งได้" พร้อมระบุว่า การผลักดันอาร์เซปต้องมีจีน และญี่ปุ่นเป็นผู้นำทางข้อตกลง ว่า ต้องการจะไปในทิศทางไหน ในฐานะ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจ 2 และ 3 ของ โลกตามลำดับ
สอดคล้องกับ "เจียง รุ่ยผิง" ผู้เชี่ยวชาญด้านญี่ปุ่นศึกษา จากมหาวิทยาลัยด้านการต่างประเทศของจีน ที่มองว่า ญี่ปุ่นเริ่มเคลื่อนไหวกับอาร์เซปมากขึ้น
"ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นค่อนข้างเป็น ผู้ตามในข้อตกลงอาร์เซป แต่ตอนนี้ จะเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นแอ็กทีฟในข้อตกลง เพิ่มขึ้นเยอะมาก" เจียงกล่าว ทั้งนี้ทั้งนั้น นักวิเคราะห์มอง ร่วมกันว่า เมื่อญี่ปุ่นเห็นด้วยกับจีน การผลักดันอาร์เซป หรือข้อตกลงการค้าจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะทั้ง 2 ประเทศต่างมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก
และจะดีที่สุด คือ ดึง "อินเดีย" ให้เห็นด้วยในแนวทางเดียวกันให้ได้ เพราะอินเดียถือเป็นตลาดเกิดใหม่ที่โตเร็วที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน และจะกลายเป็นโมเมนตัมหลักทางการค้าของโลกในอนาคตอย่างแน่นอน แต่ปัจจุบันอินเดียค่อนข้างเห็น "ค้าน" กับประเทศอื่นในการเปิดเสรี เพราะขณะที่ญี่ปุ่นเรียกร้องให้อาร์เซปเปิดเสรีระดับสูง แต่อินเดียยังไม่ต้องการไปถึงจุดนั้น
การบรรลุข้อตกลงแบบเห็นพ้องกัน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะนั่นหมายถึง อนาคตการค้าของทุกประเทศ และอนาคตของ "เอเชีย" ด้วยเช่นกัน
Source: ประชาชาติธุรกิจ