นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า ตนมีกำหนดประชุมทวิภาคีกับนายหยี่ กัง ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน นอกรอบการประชุมสุดยอดของกลุ่ม G20 ที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย



นางเยลเลนกล่าวว่า การหารือกับนายหยี่จะเกี่ยวข้องกับประเด็นเศรษฐกิจโลก และตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน

การหารือดังกล่าวจะเป็นการประชุมแบบพบหน้ากันเป็นครั้งแรกของนางเยลเลนในฐานะรัฐมนตรีคลังสหรัฐกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านเศรษฐกิจของจีน

อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการเปิดเผยกำหนดเวลาที่ชัดเจนของการประชุมดังกล่าว


ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวแถลงว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน จะจัดการประชุมทวิภาคีที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในวันที่ 14 พ.ย. ก่อนที่การประชุมสุดยอดของกลุ่ม G20 จะมีขึ้นในวันที่ 15-16 พ.ย.

การประชุมดังกล่าวจะเป็นการประชุมแบบพบหน้ากันเป็นครั้งแรกของผู้นำทั้งสอง นับตั้งแต่ที่ปธน.ไบเดนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงต้นปี 2564

"ผู้นำทั้งสองจะหารือกันเกี่ยวกับความพยายามในการรักษาและเพิ่มการติดต่อสื่อสารระหว่างสหรัฐและจีน โดยจะทำการแข่งขันอย่างมีความรับผิดชอบ และทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะในเรื่องความท้าทายระหว่างประเทศซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาคมโลก" แถลงการณ์ระบุ
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า ปธน.ไบเดนจะแสดงความกังวลต่อปธน.สีเกี่ยวกับแนวปฏิบัติด้านเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมของจีน, การดำเนินการของจีนที่คุกคามสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน, การละเมิดสิทธิมนุษยชนของจีน รวมทั้งการที่จีนยังคงมีความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แม้ว่ารัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน



โดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

ทางไหน
เคธี วู้ด หัวเรือใหญ่แห่งกองทุนเทคโนโลยี "อาร์ก" อันลือลั่น ชี้ให้เห็นอนาคต 2 ทางของอเมริกา
1. ปี 1920 อุบัติมหันตภัย ทั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 และไข้หวัดสเปนระบาด (พอเทียบเคียงกับปัจจุบันได้ไหม? วันนี้สงครามเล็กกว่า แต่ระบาดใหญ่กว่า – สมรภูมิจำกัดวง แค่รัสเซีย-ยูเครน แต่โควิดจำพรากทั่วพิภพ)

ตอนโน้นเงินเฟ้อกระชากเกิน +20% (ตอนนี้ เฉียดๆ +10%)
"เฟด" แบงก์ชาติอเมริกา ขึ้นดอกเบี้ยเกือบๆ 2 เท่าในระยะเวลา 2 ปี (1919-1920)

ผลลัพธ์ : ปี 1921 อัตราเงินเฟ้อ กลายเป็น "ติดลบ" หรือคือภาวะ { เงินฝืด } นั่นเอง (มีช่วงที่บัดซบถึงขึ้น -15%)

แล้วยุคนี้ "เฟด" โขยกขึ้นไปเท่าไหร่รู้ไหมครับท่าน ... ล่อเข้าไป 16 เท่า!!! (ทั้งที่ ยังเฟ้อน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของตอนโน้น)
เพราะฉะนั้น เคธี วู้ด ฟันธง หากปี 2023 "เงินฝืด" ก็ไม่ได้แปลกใจเลย
.
แล้วถ้าเป็นงั้นจริง จะทำไง?
ดูอดีตก่อนเถิด ตอนปี 1921 ครานั้นเมื่อพลิกผันเป็น "เงินฝืด" ... เฟดก็ "ย้อนศร" ทันใด บิดไปลดดอกเบี้ย! ลดเกือบๆ 2 เท่า
(ขาขึ้น ขึ้นจาก 4.6% เป็น 7% / ขาลง ลงจาก 7% เหลือ 4%)

ผลลัพธ์ : ปลายปี 1921 จวบไปจนถึงปลายปี 1929 เรียกขานเป็นยุค Roaring Twenties "หุ้นคำราม" --- ดัชนีดาวน์ โจนส์ ขึ้นเฉลี่ยปีละ 25%! (ย้ำว่าเฉลี่ยต่อปีนะครับท่าน)
---   
2. ที่ว่ามาข้อแรก หมายถึง "เจ็บแล้วจบ จบแล้วเปลี่ยน เปลี่ยนแล้วจึ้ง"
แต่หากเฟดยังดื้อด้าน อาจบังเกิดดั่งในปี 1929

ครั้งกระโน้น เฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดการเก็งกำไรเกินงามในตลาดหุ้น และคล้อยหลังไม่นานนัก ปี 1930 รัฐบาลก็ตั้ง "กำแพงภาษี" กีดกันทางการค้า จำนวนสินค้ากว่า 2 หมื่นรายการ! (เอ๊ะ คุ้นๆ คล้ายๆ ตอนนี้ไหม)
ไม่ช้าเลย ... ความวินาศก็มาเยือน เกิด Great Depression เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลวงในประวัติศาสตร์
จากอเมริกา ลากไปทั้งโลก
.
วันนี้ รัฐบาลอเมริกาเดินไปในทางที่สุ่มเสี่ยงคล้ายจะเป็นเยี่ยงนั้น
มิใช่เพียง "สงครามการค้า" ที่ซัดกับจีนต่อเนื่องตั้งแต่ยุค โดนัลด์ ทรัมป์ เท่านั้น ... ยุค โจ ไบเดน ก็กีดกันด้านเทคโนโลยี จัดหนักใส่เพิ่มเข้าไปไม่ยั้ง โดยเฉพาะ "ชิป" เมื่อเร็วๆ นี้ (แถมลงมือไม่ใช่แค่จากอเมริกาเจ้าเดียว แต่ไปต้อนพรรคพวกมาช่วยคว่ำบาตรจีนอีกต่างหาก)
ส่อแววนะครับท่าน

รัฐบาลคงไม่รามือง่ายๆ ... ดึงดันจะลุยต่อแน่ๆ
ลุ้นได้แต่เฟด จะม้วนตัว กลับหลังหันหรือไม่ ... มิฉะนั้น อาจซ้ำรอยวิกฤติในวันวาน
.
หมายเหตุ
บริบทในปัจจุสมัย กับเมื่อศตวรรษที่แล้ว นับร้อยปี อาจจะเปรียบทาบกันไม่ได้ซะทีเดียว
อีกหมายเหตุ
ที่แคธี วู้ดมาสาธยาย มิใช่เป็นห่วงบ้านเมืองหรือโลกหล้าขนาดนั้น แต่พยายามจูงมือล่อใจ ให้นักลงทุนมาเข้ากองทุน "อาร์ก" ของเจ้าตัว
จงใจจะโยงเพื่อให้เห็นภาพอนาคต (สำหรับหุ้นเทคโนโลยี) อาจเรืองรองกู่ก้องดั่งยุค Roaring Twenties
จึงต้องมีวิจารณญาณในการคิดตาม

สำนักข่าว CNN คาดการณ์ว่าเดโมแครต ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลสหรัฐจะรักษาเสียงข้างมากในวุฒิสภาไว้ไปได้อีก 2 ปี หลังจากชนะเลือกตั้งไปแบบเฉียดฉิวในรัฐเนวาดาและแอริโซนา โดยขณะนี้เดโมแครตได้ที่นั่งในวุฒิสภาไป 50 ที่นั่ง ส่วนพรรครีพับลิกันได้ไป 49 ที่นั่ง


ในรัฐเนวาดา ส.ว.แคทเธอรีน คอร์เตซ มาสโต จากพรรคเดโมแครต อดีตอัยการและอัยการสูงสุดของรัฐ คาดว่าจะเอาชนะนายอดัม ลัคซอลท์ จากพรรครีพับลิกัน ผู้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดต่อจากส.ว.มาสโต โดย ณ เวลา 10.17 น. ตามเวลาประเทศไทย ส.ว.มาสโตมีคะแนนนำอยู่เพียง 4,982 เสียง หลังจากนับคะแนนไปแล้วทั้งสิ้น 96%

ในรัฐแอริโซนา ส.ว.มาร์ค เคลลี จากพรรคเดโมแครต อดีตนักบินอวกาศ คาดว่าจะเอาชนะนายเบลค มาสเตอร์ จากพรรครีพับลิกัน นักลงทุนในธุรกิจเงินร่วมลงทุน (VC) ผู้ได้รับการสนับสนุนจากอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ โดย ณ เวลา 8.49 น. ตามเวลาประเทศไทย ส.ว.มาร์คมีคะแนนนำอยู่ถึง 131,080 เสียง หลังจากนับคะแนนไปแล้วทั้งสิ้น 89%

ทั้งนี้ การครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้จะเป็นปัจจัยบวกอย่างมากต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในช่วงการดำรงตำแหน่งอีก 2 ปีที่เหลือ เนื่องจากพรรคเดโมแครตจะสามารถดำเนินการรับรองบุคคลที่ปธน.ไบเดนเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุด นอกจากนี้ วุฒิสภาพรรคเดโมแครตยังสามารถปฏิเสธร่างกฎหมายที่ผ่านโดยสภาผู้แทนราษฎรได้อีกด้วย



โดย พสิษฐ์ อุ่นเมตตาจิต

รอยเตอร์ - ผู้นำรัฐบาลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้จัดการเจรจาหารือเมื่อวันเสาร์ (12) กับผู้นำระดับโลกที่เดินทางมาเยือน ซึ่งรวมถึงประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ที่ได้กล่าวยกย่องถึงข้อตกลงใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และอาเซียนว่าเป็นขั้นตอนสำคัญในการแก้ไข 'ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในยุคของเรา'
.
ในการเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดี ไบเดน กล่าวว่าภูมิภาคนี้เป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของฝ่ายบริหารของเขา และวอชิงตันพร้อมที่จะจัดสรรทรัพยากร ไม่ใช่เพียงแค่วาทศิลป์ ภายใต้ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ครอบคลุมรอบด้านฉบับใหม่
.
"เราจะร่วมกันจัดการกับปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในยุคของเรา ตั้งแต่สภาพอากาศ ไปจนถึงความมั่นคงด้านสุขภาพ เพื่อป้องกันภัยคุกคามต่อกฎระเบียบของภูมิภาค" ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวเปิดการประชุมในกัมพูชาร่วมกับผู้นำของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
.
"เราจะสร้างภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง มั่นคงและมั่งคั่ง ยืดหยุ่นและปลอดภัย" ไบเดน กล่าวเสริม
.
อาเซียนกำลังมีส่วนร่วมกับบรรดาผู้นำต่างๆ เช่น ประธานาธิบดีไบเดน นายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเบซี ของออสเตรเลีย และประธานาธิบดียุน ซ็อกยอล ของเกาหลีใต้
.
งานนี้ถือเป็นงานแรกในชุดการประชุมสุดยอดที่จัดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในอีก 7 วันข้างหน้า คาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับปัญหาระดับโลกที่ยุ่งยาก ตั้งแต่สงครามยูเครน สภาพภูมิอากาศ และความตึงเครียดระดับภูมิภาคเหนือช่องแคบไต้หวัน ทะเลจีนใต้ และการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ.
-------------------------------
แหล่งข่าว
https://mgronline.com/indochina/detail/