ปฏิบัติการรุกรานยูเครนของรัสเซียส่อแววยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ โดยกองทัพรัสเซียยังคงเปิดฉากยิงถล่มเมืองใหญ่ๆ ของยูเครนต่อเนื่อง หลังการเจรจาระหว่างผู้แทน 2 ประเทศที่ชายแดนเบลารุส-ยูเครนรอบแรกไร้ผล ขณะที่กระแสคว่ำบาตรที่กว้างขวางและครอบคลุมจากนานาชาติส่งผลให้ค่าเงินรูเบิลรัสเซียอ่อนยวบลงไปแล้วถึง 1 ใน 3 ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่วนนักวิเคราะห์เริ่มออกมาคาดการณ์ทิศทางของการสู้รบครั้งนี้ว่าจะบานปลายจนถึงขั้นกลายเป็น "สงครามนิวเคลียร์" หรือไม่
.
ในขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เชื่อมั่นในแสนยานุภาพของทัพรัสเซียว่าสามารถที่เอาชนะยูเครนได้ไม่ยากเย็น ทว่าการตัดสินใจของเขาในวันนี้กลับทำให้รัสเซียต้องเผชิญกับ "สงครามเศรษฐกิจ" ครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งคู่ขัดแย้งไม่ใช่แค่เพียงสหรัฐฯ หรือยุโรป หากแต่เป็น "ประชาคมโลก" ที่รับไม่ได้กับการก่อสงครามครั้งนี้
.
สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรพร้อมใจกันประกาศมาตรการคว่ำบาตรที่พุ่งเป้าไปยังระบบเศรษฐกิจและการเงินของรัสเซีย รวมไปถึงตัว ปูติน และเหล่าคนวงในใกล้ชิด
.
ระหว่างการแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อค่ำวันที่ 1 มี.ค. ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ตราหน้า ปูติน ว่าเป็น "เผด็จการ" ที่จะต้องเผชิญกับมาตรการโดดเดี่ยวทั้งทางเศรษฐกิจและการทูต พร้อมเตือนว่าโลกกำลังเผชิญการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างประชาธิปไตยกับระบอบเผด็จการ
.
ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า ปูติน "ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด" ซึ่งทำให้ตอนนี้เศรษฐกิจรัสเซียกำลังทรุดหนัก ซึ่งความรับผิดชอบทั้งหมดตกอยู่ที่ ปูติน แต่เพียงผู้เดียว
.
"เขาหลงคิดว่าตัวเองจะสามารถบุกยูเครนโดยที่ทั่วโลกไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ตรงกันข้าม...เขากลับต้องเผชิญกำแพงอันแข็งแกร่งที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อน สิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าคือประชาชนชาวยูเครน... นับตั้งแต่ประธานาธิบดีเซเลนสกี เรื่อยลงมาจนถึงชาวยูเครนทุกคน ความไม่หวาดกลัว ความกล้าหาญ และความมุ่งมั่นของพวกเขา สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลก" ไบเดน กล่าว
.
ไบเดน ย้ำว่า ปูติน ละเลยความพยายามที่จะป้องกันสงคราม และการบุกยูเครนนั้นเป็นสิ่งที่ผู้นำหมีขาว "วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า" โดยปราศจากการยั่วยุ
.
"เขาปฏิเสธความพยายามทางการทูต เขาคิดว่าตะวันตกและนาโต้คงจะไม่ตอบโต้ และเขาคิดว่าจะสามารถทำให้พวกเราที่นี่แตกแยกกันได้... แต่ ปูติน คิดผิด พวกเรามีความพร้อม" ไบเดน ระบุ
.
ผู้นำสหรัฐฯ ยังเตือนว่ารัสเซียจะต้อง "จ่ายราคาแพงในระยะยาว" เนื่องจากสหรัฐฯ และพันธมิตรจะปิดกั้นไม่ให้รัสเซียเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งจะเป็นการบ่อนทำลายความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ และทำให้กองทัพรัสเซียอ่อนแอลงในอีกหลายปีข้างหน้า แต่ถึงกระนั้นก็ยืนยันว่าจะไม่ส่งทหารอเมริกันเข้าร่วมในสงครามที่ยูเครน
.
"ผมขอพูดชัดๆ ตรงนี้ว่าทหารของเราจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมทำสงครามกับกองกำลังรัสเซียในยูเครน" ไบเดน กล่าว
.
สภาแอตแลนติก (Atlantic Council) เผยแพร่บทความของ อินนา ซอฟซุน (Inna Sovsun) นักการเมืองหญิงชาวยูเครน ซึ่งระบุว่า ปูติน กำลังตกเป็นเหยื่อ "การโฆษณาชวนเชื่อ" ของตัวเอง และหลงคิดไปว่าชาวยูเครนคงจะเป็นประชากรที่เฉื่อยชาและไม่ใส่ใจการเมืองเช่นเดียวกับคนรัสเซียส่วนใหญ่ เขาเชื่อว่ารัสเซียสามารถทำสงครามเพื่อโค่นล้มผู้นำทางการเมืองของยูเครนอย่างเฉพาะเจาะจงได้ และเชื่อว่าการข่มขู่หรือถอดถอนผู้นำยูเครนแค่ 2-3 คนก็คงจะช่วยให้สามารถ "เทกโอเวอร์" ประเทศนี้ได้ไม่ยาก ทว่าในความเป็นจริง ปูติน กลับพบว่าเขาจะต้องสู้กับประชากรยูเครนทั้ง 40 ล้านคน
.
ประธานาธิบดีเซเลนสกี ออกมาเรียกร้องให้ชาวต่างชาติร่วมสมัครเป็น "กำลังพลอาสาสมัครนานาชาติ" เพื่อช่วยยูเครนต่อสู้กับกองกำลังรัสเซียผู้รุกราน ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่าพลเมืองญี่ปุ่น 70 คน ซึ่งรวมถึงอดีตสมาชิกกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น 50 คน และอดีตสมาชิกกองทหารต่างด้าวของฝรั่งเศส 2 คน ได้ยื่นใบสมัครที่จะไปช่วยยูเครนรบ ส่วนที่ประเทศไทยก็มีผู้ใช้ทวิตเตอร์เผยแพร่ภาพคนไทยที่เดินทางไปติดต่อสถานทูตยูเครนประจำประเทศไทย เพื่อสมัครเป็นทหารอาสาเช่นกัน
.
สื่อเดลีเมลของอังกฤษรายงานว่า ทหารอาสาต่างชาติที่เข้าร่วมรบกับยูเครนจะได้รับค่าตอบแทน 100,000 ฮริฟเนีย หรือราวๆ 108,800 บาทต่อเดือน ส่วนค่าใช้จ่ายในการเดินทางนั้นต้องออกเอง โดยขณะนี้การเดินทางเข้ายูเครนมีอยู่เพียงวิธีเดียวคือต้องบินไปลงที่โปแลนด์ ก่อนจะเดินข้ามพรมแดนทางบกฝ่าคลื่นผู้อพยพยูเครนเข้าไป
.
ขณะเดียวกัน รัฐบาลและบริษัทชั้นนำทั่วโลกก็ทยอยคว่ำบาตรและตัดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับรัสเซีย โดยสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักรได้ประกาศตัดรัสเซียออกจากระบบ SWIFT ซึ่งเป็นเครือข่ายการเงินที่เชื่อมโยงธนาคารและสถาบันกว่า 11,000 แห่งในกว่า 200 ประเทศ โดยมาตรการนี้จะส่งผลให้ภาคธุรกิจรัสเซียไม่สามารถทำธุรกรรมการเงินได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ สหรัฐฯ และพันธมิตรอีกหลายชาติยังได้ประกาศมาตรการ "ปิดน่านฟ้า" ห้ามเครื่องบินรัสเซียผ่านเข้าออกด้วย
.
แอปเปิล อิงค์ แถลงเมื่อวันอังคาร (1 มี.ค.) ว่าได้หยุดจำหน่ายไอโฟนและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในรัสเซีย พร้อมถอดแอปสื่อรัสเซียอย่าง Sputnik News และ RT ออกจากแอปสโตร์ ขณะที่ Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก Alphabet Inc บริษัทแม่ของกูเกิล Youtube รวมไปถึง TikTok ต่างมีมาตรการบล็อกแอปของสื่อ RT และ Sputnik ในสหภาพยุโรป
.
โบอิ้ง ค่ายอากาศยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ประกาศระงับให้บริการด้านอะไหล่ การบำรุงรักษาและการสนับสนุนทางเทคนิคให้แก่สายการบินของรัสเซีย ขณะที่ค่ายยานยนต์ระดับโลกไม่ว่าจะเป็นฟอร์ด บีเอ็มดับเบิลยู ฮอนด้า มาสด้า รวมถึงฮาร์เลย์-เดวิดสัน พร้อมใจสั่งระงับการปฏิบัติงานในรัสเซีย และหยุดส่งออกยานพาหนะไปยังรัสเซีย
.
บทลงโทษจากนานาชาติเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของรัสเซียอย่างหนัก โดยค่าเงินรูเบิลนั้นร่วงหนักถึง 30% แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 110 รูเบิลต่อดอลลาร์เมื่อวันที่ 2 มี.ค. จากเดิมซึ่งเคยอยู่ที่ระดับ 75 รูเบิลต่อดอลลาร์ ก่อนที่รัสเซียจะประกาศรับรองเอกราชให้แก่ 2 แคว้นกบฏยูเครนตะวันออก
.
ผู้นำรัสเซียเองก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะบรรเทาผลกระทบจากบทลงโทษของตะวันตก เช่น ออกกฤษฎีกาห้ามประชาชนนำเงินสดสกุลต่างชาติออกนอกประเทศเกินกว่า 10,000 ดอลลาร์ โดยเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค. บังคับให้ผู้ส่งออกรัสเซียต้องเทขาย 80% ของรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ห้ามมิให้ประชาชนทำสัญญาปล่อยกู้เงินตราต่างประเทศให้แก่บุคคลที่ไม่ได้เป็นผู้พำนัก (non-residents) รวมถึงนำเงินตราต่างประเทศเข้าไปฝากไว้กับบัญชีธนาคารต่างชาติ เป็นต้น
.
รัฐบาลยูเครนได้ออกมาเรียกร้องเมื่อวันที่ 2 มี.ค. ให้มีการพิจารณาถอดถอนความเป็น "สมาชิกถาวร" ของรัสเซียในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งจะทำให้มอสโกสูญเสียสิทธิ์ "วีโต้" เพื่อปัดตกร่างมติต่างๆ โดย ดมิโตร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน ชี้ว่ารัสเซียนั้น "หมดความชอบธรรมที่จะอยู่ในคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นต่อไป"
.
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้มีมติท่วมท้นเมื่อวันพุธ (2) "คัดค้าน" การที่รัสเซียใช้กำลังทหารรุกรานยูเครน โดยเรียกร้องให้มอสโกยุติการสู้รบและถอนกำลังทหารทันที โดยมตินี้ได้รับเสียงสนับสนุนจาก 141 ชาติจากทั้งหมด 193 สมาชิกของสมัชชาใหญ่ยูเอ็น และมี 5 ประเทศโหวตคัดค้านได้แก่ รัสเซีย เบลารุส ซีเรีย เอริเทรีย และเกาหลีเหนือ ขณะที่อีก 35 ประเทศรวมถึงอินเดียและจีนงดออกเสียง
.
ทั้งนี้ ร่างมติซึ่งถูกเสนอโดยกลุ่มชาติยุโรปและยูเครนได้ถูกปรับแก้เนื้อหาตามที่คาดการณ์กันไว้ โดยแทนที่จะ "ประณาม" ก็เปลี่ยนมาใช้คำว่า "คัดค้านด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สุดต่อการรุกรานยูเครนโดยสหพันธรัฐรัสเซีย"
.
แม้มติของที่ประชุมสมัชชาใหญ่ยูเอ็นจะไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมาย แต่มีน้ำหนักทางการเมืองในระดับโลกอยู่บ้าง และผลการลงมติในวันพุธ (2) ถือว่าเป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์สำหรับยูเครน และเป็นการโดดเดี่ยวมอสโกในเวทีนานาชาติมากยิ่งขึ้น
.
วาเลนติน รีบาคอฟ เอกอัครราชทูตเบลารุสซึ่งเป็นอดีตรัฐโซเวียตและประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับรัสเซีย ออกมาปกป้องการกระทำของมอสโกแบบสุดลิ่มทิ่มประตู และวิจารณ์การคว่ำบาตรของตะวันตกว่าเป็น "ตัวอย่างอันเลวร้ายที่สุดของการก่อการร้ายทางเศรษฐกิจและการเงิน" ขณะที่ทูตซีเรียก็ประณามตะวันตกว่า "ใช้สองมาตรฐาน" ทั้งที่พวกตัวก็เคยรุกรานลิเบีย อิรัก และอัฟกานิสถานมาก่อนเช่นกัน
.
ญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์เป็นหัวหอกทางฝั่งเอเชียที่กล่าวประณามรัสเซียในเวทียูเอ็น ขณะที่มหาอำนาจอย่าง "จีน" และ "อินเดีย" ซึ่งมีสายสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นกับรัสเซียมานาน คงจุดยืนงดออกเสียงตามเคย โดยปักกิ่งนั้นย้ำว่า "โลกจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสงครามเย็นครั้งใหม่"
.
ในความเคลื่อนไหวที่ยิ่งกระพือความหวาดหวั่นสงครามนิวเคลียร์ สำนักข่าว RIA ของรัสเซียได้เผยแพร่ถ้อยแถลงของ เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งระบุเมื่อวันพุธ (2) ว่า หากสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นสงครามที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจะก่อให้เกิดการทำล้ายล้างอย่างรุนแรงต่อมวลมนุษยชาติ
.
ลาฟรอฟ ย้ำว่า รัสเซียเองจะเผชิญ "อันตรายอย่างแท้จริง" หากปล่อยให้เคียฟได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์จากตะวันตก
ผู้นำรัสเซียมีคำสั่งเมื่อวันอาทิตย์ (27) ให้กองกำลังป้องปรามทางนิวเคลียร์ของรัสเซียเตรียมพร้อมในระดับสูง ซึ่งความหมายในทางปฏิบัติยังไม่เป็นที่ชัดเจน เพราะโดยปกติแล้วกองกำลังนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียและสหรัฐฯ ต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ที่ติดตั้งประจำการทางภาคพื้นดินและในเรือดำน้ำ ซึ่งมีการระมัดระวังและเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบตลอดเวลาอยู่แล้ว
.
รัฐมนตรีกลาโหม เบน วอลเลซ ของอังกฤษ เชื่อว่าประกาศดังกล่าวของ ปูติน เป็นเพียง "การขู่" เท่านั้น ขณะที่ กอร์ดอน โคเรรา ผู้สื่อข่าวสายความมั่นคงของ BBC ออกมาวิเคราะห์ว่า ไม่ว่า ปูติน จะมีเจตนาเพียงแค่ขู่ หรือตั้งใจจะนำอาวุธทำลายล้างสูงออกมาใช้งานจริง ล้วนแต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการ "เข้าใจผิด" ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายจนถึงขั้นควบคุมไม่ได้
.
สิ่งที่น่ากังวลอีกประการหนึ่งคือ เวลานี้ ปูติน กำลังถูกโดดเดี่ยวอย่างหนัก และอาจมีที่ปรึกษาเพียงแค่ไม่กี่คนที่พร้อมจะ "พูดความจริง" ด้วย นั่นอาจทำให้การตัดสินใจของผู้นำรัสเซียเป็นไปอย่างหลงทิศหลงทาง แต่ถึงกระนั้น โคเรรา ยังเชื่อว่ามีความเสี่ยงไม่มากนักที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นจริงๆ
-------------------------------
แหล่งข่าว
-
https://mgronline.com/around/detail/9650000021965