อินดิเคเตอร์ On Balance Volume (OBV) เป็นอินดิเคเตอร์อีกตัวที่อยู่ในกลุ่มของ Volumes ของ Metatrader เพราะว่าใช้ข้อมูลจาก Volumes เป็นตัวสำคัญในการนำเสนอ  โดย OBV เป็นอินดิเคเตอร์บอกข้อมูลทาง Momentum ด้วยวิธีการเอา Volume ไปสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงราคาเพื่อหาว่า trading pressure เป็นอย่างไร หลักการอินดิเคเตอร์ตัวนี้ ที่พัฒนาโดย Joseph Granville ง่ายมาก คือดูราคาปิดของแท่งเทียนปัจจุบัน เทียบกับแท่งเทียนก่อน แล้วดู Volumes ประกอบเพื่อหาค่า OBV ดังนี้

• ถ้าราคาปิดแท่งเทียนปัจจุบันสูงกว่าราคาปิดแท่งเทียนก่อนนี้  เท่ากับ OBV(i) = OBV(i-1)+VOLUME(i) หรือค่า OBI ปัจจุบัน  =  ค่า OBI ก่อน + Volumes ของแท่งเทียนปัจจุบัน
• ถ้าราคาปิดแท่งเทียนปัจจุบันต่ำกว่าราคาปิดแท่งเทียนก่อนนี้  เท่ากับ OBV(i) = OBV(i-1)-VOLUME(i) หรือค่า OBI ปัจจุบัน  =  ค่า OBI ก่อน - Volumes ของแท่งเทียนปัจจุบัน
• ถ้าราคาปิดแท่งเทียนปัจจุบันเท่ากับราคาปิดแท่งเทียนก่อนนี้  เท่ากับ OBV(i) = OBV(i-1) หรือค่า OBI ปัจจุบัน  =  ค่า OBI ก่อน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

จากหลักการคำนวณจะเป็นว่า ราคาปิด หรือการเปลี่ยนแปลงราคา ใช้สำหรับ Volumes อย่างไร ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นตาม OBV คือว่า การเปลี่ยนแปลง OBV จะนำหน้า การเปลี่ยนแปลงราคา ดังนั้น  หลักการคือว่า เช่นเราสามารถบอกได้ว่าขาใหญ่เข้า Buy เพราะว่า OBV กำลังขึ้น จากนั้นเมื่อเทรดเดอร์ทั่วไปเห็นว่ากำลังขึ้นก็จะเข้าเทรด ก็จะยิ่งทำให้ราคาและ OBV ยิ่งพุ่ง ดังนั้นทั้งราคาและ OBV ไปทางเดียวกัน แต่ถ้าเราเห็นว่าราคาไปก่อน OBV นั้นต้องระวัง ส่วนมากก็จะเกิดที่ Market Top หรือ Market Bottom เพราะว่าต่างฝ่ายต่างไม่ยืนยันไปทางเดียวกัน เพราะว่าถ้าราคาวิ่งเป็นเทรน หลักการพัฒนาการ highs/lows ท่านต้องเห็นทั้งส่วนของราคาและ OBV ไปทางเดียวกัน แต่ถ้า OBV เคลื่อนไหวแบบ sideway เรื่องของเทรนก็มีผลเช่นกัน

การใช้งาน OBV


การใช้งาน OBV ไปที่เมนู Insert -> Indicators -> Volumes แล้วเลือก On Balance Volume  ดูค่าที่ใช้ในการกำหนดตัวแปรเดียวคือ Apply to : Close ที่เป็นมาตรฐานของ OBV ที่อิงราคาปิดเป็นหลัก แต่มีตัวเลือกอื่นคือ Open, High, Low, Median Price (HL/2), Typical Price (HLC/3) หรือ Weighted Close (HLCC/4)  รูปแบบที่นำเสนอ ง่ายต่อการตีความและใช้งานมาก แค่มีเส้น OBV กับค่าเท่านั้นเอง หลักสำคัญที่กล่าวไว้ก่อนนี้ว่า ตามหลักการของ OBV ให้ความสำคัญว่า การเปลี่ยนแปลงของ OBV นำหน้าหรือเกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงราคา ดังนั้นเมื่อเห็น OBJ ขึ้น ก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงราคาไปทางขึ้น เช่นเดียวกัน หรือถ้าการเปลี่ยนแปลงของเส้น OBV ไปทางลง ก็ควรเป็นการเปลี่ยนแปลงของราคาไปทางลงเช่นเดียวกัน

การตีความ OBV เพื่อการเทรด


การตีความเป็นไปตามหลักการว่า OBV เสนออย่างไร หลักการคือว่า เป็นตัวบอก trading pressure ด้วยการให้ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง OBV สำคัญกว่าการเปลี่ยนแปลงราคา ดังนั้น เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เช่น การขึ้นหรือการลงของ OBV บอกถึงการเข้าเทรด และสามารถทำให้ OBV เปลี่ยนแปลงชัดเจนได้ บอกว่า Volumes การเข้าเทรดทางนั้นมากกว่า เลยทำให้ได้ข้อมูลว่า trading pressure ทางนั้นมากกว่า  ด้วยการเข้าใจแบบนี้ การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงด้วยการดูการพัฒนาการ highs/lows ที่เกิดขึ้น เราสามารถตีความสำหรับการเทรด Trend Following หรือ Trend Break ได้ 

ภาพประกอบ ดูทางที่บอกเทรนลงก่อน ดูการพัฒนาการ highs/lows ทั้ง OBV และราคาจะไปทางเดียวกัน สำหรับเทรนลง หลักการคือว่า ราคาต้องทำ Lower Low ได้ แล้วตามด้วย Lower High และตามด้วย Lower Low อีกและ Low High ต้องไม่โดนเบรค เพราะ Lower High ถือว่าเป็นแนวต้านไปในตัวที่เกิดขึ้นด้วย การพัฒนาการแบบนี้ต้องต่อเนื่องกัน  จนกว่า Higher Low โดนเบรคขึ้นมา ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนเทรนเป็นเทรนขาขึ้น ตามภาพประกอบ  การเปิดเทรดตามเทรนด้วย การใช้ OBV เป็นตัวยืนยันเทรน เปิดเทรดตรงที่ราคากลับมาทดสอบจากที่เบรคลงไป สำหรับเทรนลงเปิด Sell พื้นที่ราคากลับมาทดสอบ ที่เป็นพื้นที่ทำ Lower High พอดี ให้ดูรูปแบบ Price action ประกอบในการเปิดเทรดจะได้กำหนด stop loss ได้แคบ ส่วนสำหรับเทรนขาขึ้นตรงกันข้าม เปิด Buy ตรงพื้นที่ราคาลงมาทดสอบตรงที่เบรคหรือพื้นที่ ราคาได้ทำ Higher Low สิ่งสำคัญต้องเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงราคาและการเปลี่ยนแปลง OBV ต้องเป็นไปทางเดียวกัน

การใช้เพื่อเทรด Trend break ต่อเนื่องจากการเทรดแบบ Trend following หลักการเทรดเทรน ไม่ว่าจะเป็น Trend Following หรือ Trend Break ต้องเข้าใจว่ากำหนดเทรนอย่างไร ส่วนมากจะเป็นการกำหนดด้วยการดูการพัฒนาการของ swing highs/lows ยิ่งถ้าใช้อินดิเคเตอร์ประกอบด้วย แม้การพัฒนาการของอินดิเคเตอร์ เช่น OBV ในที่นี้ การพัฒนา highs/lows ต้องเป็นไปทางเดียวกัน เช่นเดียวกันประกอบ แต่ดูเส้นที่ตีสีแดง เป็นพื้นที่ราคาและ OBV ทำ Lower Highs ตอนทำเทรนลง แต่ต่อมาโดนเบรคขึ้น ในช่วงตอนที่ราคาเริ่มทำเทรนขึ้น ราคาสามารถเอาชนะ 2 จุดนี้ได้ แล้วขึ้นไปทำ New High หรือ Higher High ต่อเนื่องกันได้ ดูที่เกิดขึ้นนกับการเปลี่ยนแปลงของ OBV และการเปลี่ยนแปลงของราคา เป็นไปทางเดียวกันหมด นี่คือการใช้ OBV สำหรับกลยุทธ์ Trend Break


การใช้เพื่อ Divergence เพราะว่าเป็นเรื่องปกติ ราคาไม่สามารถวิ่งไปทางเดียวได้ เพราะการทำงานของตลาด การเปิดเทรดกับการเพิ่มเทรดเรื่อยๆ แรงเข้าไปทางนั้นๆ ถ้าการเปิดเทรดทางนั้นๆ มากกว่าการเปิดเทรดอีกฝั่ง ราคาก็จะวิ่งไปทางนั้นๆ เทรดเดอร์ที่ถือ positions ทางนั้นๆ ก็จะกำไร ส่วนที่ตรงกันข้ามก็จะติดลบ เมื่อปิดออกจากตลาด เท่ากับว่า เปิดเทรดทางตรงข้าม การเปิดเทรดและการปิดออกเพื่อจำกัดความเสี่ยงหรือปิดทำกำไร เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด ยิ่งเป็นขาใหญ่ด้วย จำนวนออเดอร์ยิ่งเยอะ ยิ่งต้องการออเดอร์ฝ่ายตรงข้ามเยอะ เงื่อนไขพวกนี้เลยทำให้เกิด Divergence เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นกับตลาด 

ภาพประกอบเป็นตัวอย่าง Bullish Divergence ดูช่วงหลังของ OBV ท่านจะเห็นว่าราคายังทำ Lower Low ส่วนตรงพื้นที่เดียวกัน ราคาทำ Higher Low [ถ้าเป็น Bearish Divergence ราคาทำ Higher High แต่ OBV ทำ Lower High] หลักการทำความเข้าใจเรื่องของ Divergence ไม่ยาก ถ้าเข้าใจการพัฒนาการเรื่องของท่านที่กล่าวไว้ก่อนนี้ ถ้าการเปลี่ยนแปลงราคาในการทำเทรน และการเปลี่ยนแปลง OBV  ขัดแย้งกัน นั่นคือ Divergence โอกาสการเปลี่ยนเทรนก็จะเกิดตามมาทางที่ OBV พัฒนาการ การเปลี่ยนเทรนหรือ Divergence ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยเพราะเทรนไม่ได้เปลี่ยนแปลงง่าย จนกว่าวิ่งไปทางหนึ่งมากพอที่ฝ่ายทางที่เทรนทำเปิดเทรดกำไรได้ เริ่มปิดทำกำไร ดังนั้นหลักการเปิดเทรด รอให้เห็นการเปลี่ยนแปลงราคา และการเปลี่ยนแปลง OBV  เกิดก่อนเพื่อยืนยัน ค่อยใช้หลักการเทรดตามเทรนเข้าเทรดตามกลยุทธ์การเปิดเทรด