กระทู้ Pantip แนวเขียนสรุปความรู้ โดยพี่ ต้าน Mudley Group นะครับลองอ่านเพื่อฝึกฝนเป็นเทรดเดอร์
คำถาม : คุณmudley group รบกวนช่วยเล่าประสบการ์ณด้วยครับMudleygroup : ก่อนอื่นต้องขอคารวะผู้รู้หลายท่านในห้องนี้ก่อนนะครับ เนื่องด้วยประสบการณ์ของผมอาจจะไม่มากเพียงพอ ถ้ายังไงก็อย่าถือสาหากมีข้อด้อยนะครับ
อืม..ถ้าท้าวความประวัติผมเอาคร่าวๆดีกว่านะครับ ส่วนแนวความคิดของผมเองผมอาจจะพูดมากหน่อย ผมได้เรียนรู้เรื่องหุ้นเพิ่มขึ้นมากมายก็เนื่องมาจากผมชนะเลิศแข่งหุ้นแล้วมีนักลงทุนฝรั่งมาสนใจจึงได้ศึกกษาและทำงานกับเค้าบ้าง แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นหลักหรอกใช่มั้ยครับ ผมว่าเอาเป็นผมได้เรียนรู้อะไรมาบ้างดีกว่า มาให้กำลังใจคนที่พยามครับ จะได้มีกำลังใจ
ความสามารถในการซื้อ-ขายหุ้น เราสามารถฝึกฝนได้ครับ เพราะเมื่อก่อนผมเป็นยิ่งกว่าแมงเม่าอีก เพราะยังไม่ทันบินเข้ากองไฟก็ตายเสียแล้ว อิอิ เรื่องขาดทุนเป็นเรื่องปกติครับเพียงแต่ว่าเราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มหรือเปล่าจากการขาดทุนครั้งนั้นๆ หากเราไม่เรียนรู้อะไรแล้วเอาแต่โทษสภาวะแวดล้อมรอบด้าน เช่น รัฐบาล ฝรั่ง การก่อการร้าย ราคาน้ำมัน เฮดจ์ฟัน กลต.(อิอิ) นั่นก็แสดงว่าเราไม่ได้มีความพร้อมอะไรเลยที่จะเข้ามาในสนามแห่งนี้ เพราะการกำไรขาดทุนจริงๆแล้วการตัดสินใจมันเริ่มอยู่ที่ตัวเราเองก่อนทั้งนั้นครับ ซึ่งเป็นธรรมดาถ้าเราไม่ได้เตรียมการอะไรเลยหากเกิดเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยเข้ามาผลกระทบก็ย่อมเกิดขึ้นกับตัวเราเต็มๆครับ เกริ่นมานานแล้วเข้าเรื่องเลยดีกว่าเนอะ สำหรับความพร้อมที่ผมคิดว่าต้องมีก่อนเข้าสู่เกมการเงินแบบนี้ นั้นมีแนวความคิดคร่าวๆดังนี้ครับ
1. การเข้ามาในตลาดหุ้น อย่าหวังเพียงเพื่อเป็นการเข้ามาหาเงินง่ายหรือเป็นการสร้างความร่ำรวยทางลัด หรือจะเรียกว่าอิสระทางการเงินอะไรก็แล้วแต่ปัจจุบันจะสรรหาคำพูดมา เพราะ เป้าล่อเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งดึงดูดเม็ดเงินของบรรดาเหล่านักล่า(ไม่พูดนะครับว่านักล่าเป็นพวกไหนบ้างละไว้แล้วกัน) ถ้าไม่มีผู้เล่นเข้ามามันจะล่าใครล่ะครับ ล่ากันเองนี่เหนื่อยนะครับ อย่างงนะครับว่าอ้าวถ้าไม่เข้ามาหาตังค์หรือทำเงินแล้วจะเข้ามาทำ....อะไร จริงๆแล้วที่ผมพูดมันมีผลทางจิตวิทยากับสมองหรือระบบความคิดของเรานะครับ เพราะ ยกตัวอย่างเช่นถ้าเรามุ่งแต่จะทำเงินอย่างเดียวสิ่งที่สมองเรามองหาก็คือการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในรูปแบบต่างๆที่จะทำเงินให้เราได้ เสร็จนักล่าล่ะครับ มันก็ทำรูปแบบต่างๆให้ดูว่าราคาหุ้นที่คุณจะซื้อดูทุกอย่างดี ข่าวก็เยี่ยม เทคนิคสวย(เรื่องเทคนิคเป็นเรื่องสำคัญ ไว้จะมาคุยต่อทีหลังนะครับ) ----> สรุปก็คือการมองแต่จะทำเงินอย่างเดียวมันกลับทำให้ระบบความคิดของสมองเราถูกจำกัดให้แคบลง เพราะเราเป็นคนไปโปรแกรมสมองมันเองว่าเป้าหมายจะทำเงิน ดังนั้น ระบบสมองซึ่งรับฟังคำสั่งโปรแกรมของเราก็จะมองอยู่ในกรอบเท่าที่เราโปรแกรมไว้ครับ ทำให้เราสงสัยว่าปัญหาเดิมๆทำไมเกิดขึ้นกับเราตลอดเช่น ขายขาดทุนปุ๊บขึ้นปั๊บ เป็นต้น ---> สำหรับผมเลยโปรแกรมสอมงมันใหม่ว่าเข้ามาเพื่ออยากจะดวลสมองหรือเล่ห์เหลี่ยม อ่านเกม กับคนเก่งๆหลายๆท่านในตลาด แล้วฝีมือของผมก็เริ่มพัฒนาขึ้นอย่างสังเกตุได้ครับ(เมื่อก่อนเคยคิดเหมือนกันว่าฝีมือระดับนี้คงพอแล้วตอนชนะเลิศหุ้น แต่พอได้เรียนรู้จากนักลงทุนฝรั่งทำให้รู้ว่าขีดความสามารถในการเทรดของคนเรานี่มันน่ากลัวจริงๆ จริงเป็นพวกมืออาชีพระดับตลาดอินเตอร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ให้ลองจินตนาการว่าผมเป็นแค่นักกีฬาชนะเลิศของจังหวัด แต่ ต้องเจอกับนักกีฬาโอลิมปิกอย่างนี้เป็นต้น (บางทีเราเวลาเราดูกีฬาระดับโลกเรายอมรับเพราะเห็นว่าระดับความแตกต่างของฝีมือมันมากเหลือเกิน แต่เวลาเกมตลาดเงินเรามักคิดเองว่าพวกนี้ไม่เท่าไร เห็นได้จากการไปดวลต่อสู้ต่างๆในเกมการเงินระดับนานาชาติที่เรามักต้องแบกรับความเจ็บปวดกลับมา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะสู้เค้าไม่ได้นะครับ ถ้าเราพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ผมเคยเห็นคนไทยในระดับนานาชาติเก่งๆเยอะเหมือนกัน)--->หลังๆนี่นอกเรื่องไปเยอะเอาเป็นว่าอย่ามุ่งแค่จะเอาเงินเค้านะครับ smile เดี๋ยวมาต่อนะครัพอดีเมื่อย ไม่เคยพิมพ์เยอะขนาดนี้
2. ต่อนะครับ หลังจากที่เราโปรแกรมสมองแล้ว ขั้นต่อมาคือ จิตใจครับ เพราะอะไรเรื่องนี้ถึงสำคัญ ก็ธรรมชาติของมนุษย์เองนั้นพออยู่ในสภาวะที่อารมณ์สุดโต่งเข้าครอบงำ (อารมณ์สุดโต่งคือภาวะที่อารมณ์ไม่ปกติหรือไม่สมดุล เช่นเวลาโกรธส่วนของอารมณ์ดีใจเราก็จะน้อยหรือแทบไม่มีเลย จะเรียกว่าเสียสมดุล หยิน-หยางก็ได้) ช่วงนี้เองที่สมองส่วนตรรกะจะหยุดทันงานทันที ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราเจอหมี เราเกิดอารมณ์กลัวและตกใจสุดๆ สมองส่วนสัญชาติญาณจะเริ่มทำงานทันที และหลั่งสารบางอย่าง แต่ถ้าจะให้เราคำนวนแคลคูลัสตอนนั้นคงจะยากมากครับเพราะสมองส่วนตรรกะและเหตุผลจะหยุดใช้ชั่วคราว ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ที่เวลาเราซื้อเรามานั่งนึกทีหลังว่ากดซื้อไปทำไมว่าตอนนั้น เนื่องจากตอนนั้นเราคาหุ้นที่เราเห็นอาจจะกำลังไหลสุดๆจนเราเกิดอารมณ์โลภหรืออยากจนเสียสมดุล จนเราตัดสินใจซื้อตามเข้าไป จนพอสภาวะอารมณ์ปกติเราถึงจะมานั่งนึกว่าเราทำไมตัดสินใจซื้อไปได้ไงน้า .. วิธีการฝึกจิตใจนั้นต้องแล้วแต่คนนะครับ เพราะตัวเราจะรู้ข้อเสียของตัวเราเองดีที่สุดว่าเป็นแบบไหน ยกตัวอย่างผมใช้วิธีนั่งสมาธิทุกวัน และเปิดเพลง rock , classic , hiphop เวลาเทรด เป็นต้น smile
3. เมื่อเราอยู่ในสภาวะไร้จิตใจย่อมๆแล้ว เราก็เหมือนโมเดลเทรดที่มีระบบประมวลผลที่ซับซอนกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไป(จากที่ผมไปศึกษางานมาพวกฝรั่งมันนิยมใช้โมเดลในการเทรดครับ เพราะเพื่อเป็นการตัดปัญหาด้านอารมณ์สำหรับพวกเทรดเดอร์ที่ประสบการณ์ยังไม่มาก หรือ มันไม่รู้จักวิธีนั่งสมาธิก็ไม่รู้อันนี้ผมก็ไม่ทราบนะครับ) คราวนี้หล่ะจุดสำคัญที่เราจะต้องตัดสินใจว่าเราจะซื้อขายหุ้นโดยกลยุทธ์ไหน อืม...เกือบลืมบอกไว้ก่อน ผมเล่นหุ้นสไตล์ไหนก็ไม่รู้นะครับ เก็งกำไรก็ได้ รายนาที รายวัน ถือยาวก็ได้ ขึ้นอยู่กับโอกาสมากกว่า เรียกว่านักลงทุนสไตล์ฉวยโอกาสแล้วกันครับ ---> สรุปพอเราได้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเราเราก็เทรดตามกลยุทธ์นั้นไปเรื่อยๆ โดยเมื่อเราอยู่ในสภาวะไร้จิตใจ หากกลยุทธ์หรือรูปแบบเทคนิคที่เรา set ไว้มี%ผิดพลาดน้อย เราก็จะเทรดไปได้เรื่อยๆโดยไม่กังวลหากเกิดความผิดพลาด ซึ่งทำให้โมเดลเราต่อเนื่องโอกาสทำกำไรหรือประสบความสำเร็จก็มีสูงแล้วล่ะครับ smile อิอิ เอาไว้มาเทคนิคคัล พรุ่งนี้นะครับพอดีต้องไปทำอย่างอื่นต่อแล้วล่ะครับ เอ.มันเยอะไปหรือปล่าวหรือพอแค่นี้ครับ
ขออนุญาตต่อไว้หน้าเดิมนะครับจะได้ไม่ทำความรำคาญให้กับกระทู้อื่นมากเกินไป
4.เข้ามาต่อนะครับหลังจากสภาพของตัวเรามีความพร้อมที่จะเข้ามาทำการซื้อขายหุ้นแล้ว สิ่งที่สำคัญต่อมาก็คือเราจะตัดสินใจซื้อหรือขายตามขั้นตอนหรือหลักการอะไรดี ในที่นี้ผมจะยกตัวอย่างโมเดลที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมและง่ายๆ แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้โมเดลรูปแบบอื่นๆครับ นั่นก็คือโมเดลการตัดสินใจซื้อขายตามหลักการของเทคนิคคัล
หลักการของเทคนิคคัลที่ผมได้ไปเรียนรู้มานั้น มันไม่เพียงใช่เป็นแค่เรื่องของกราฟ หรือการตัดกันของเส้นต่างๆ (อันนี้ก็ถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของเทคนิคเหมือนกัน เหมือน การแตกสาขาของศาสตร์ต่างๆเลยครับ เช่น วิศวกรคอมพิวเตอร์ วิศวกรโยธา เครื่องกล เป็นต้น ) มาเข้าเรื่องต่อเลยนะครับ ที่เราพบบ่อยที่สุดในบ้านเรามักจะเป็น นักเทคนิค แบบ การทำนายอนาคต จาก รูปแบบ(patternต่างๆ) โดยมีการสร้าง indicator(ดัชนีชี้นำต่างๆแล้วแต่ความถนัดมาช่วย) วิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีแต่ผู้ใช้จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในตลาดมาช่วย สังเกตว่าเด็กใหม่ๆมักจะใช้วิธีกราฟเทรดสู้รุ่นเก๋าๆที่มีประสบการณ์ไม่ค่อยได้ ถ้าว่ากันตามหลัก ทฤษฏีแล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อไรที่เราจะพยามทำนายอนาคตมันจะมีปัจจัย(factor)หลายๆอย่างทั้งที่เราคาดการณ์ได้และคาดการณ์ไม่ได้ มาเป็นตัวประกอบทำให้เกิดค่าคลาดเคลื่อน(eror) ดังนั้นคนที่มีประสบการณ์เค้าจึงสามารถรับบรู้ได้โดยทันทีว่า รูปแบบเช่นนี้มันไม่ชอบมาพากล หรือไม่เป็นดังที่เค้าคิด จึงทำให้เค้าสามารถเอาตัวรอดได้ทันครับ
เทคนิคคัลนั้นตามหลักการแล้ว มันเป็นตัวช่วยให้เราเห็นภาพความคิดของผู้คนในตลาด ดังนั้นผมจึงหันมาสนใจศาสตร์เทคนิคคัลฉบับอ่านปัจจุบันมากขึ้น มากกว่าฉบับอ่านอนาคต แต่ก็ไม่ทิ้งนะครับเพราะเมื่อนำมารวมกันเราจะได้โมเดลที่เยี่ยมเลย เดี่ยวไว้ค่อยมาต่อเทคนิคเรื่อยๆนะครับว่าจะไปข้างนอกนิดนึงครับ
เอามาให้อ่าน คั่นเวลาค่ะ ช่วงรอคุณ MudleyGroup มาเล่าต่อ ก็เอาอันเก่าๆมาให้อ่านดู เพื่อนบางท่านยังไม่เคยอ่าน จากที่คุณ MudleyGroup เคยตอบไว้เมื่อหลายเดือนก่อน อ่านแล้วทึ่งค่ะ
***********************************
20-30 ล้านคงเวอร์ไปครับ ผมแค่ยกตัวอย่างให้คนตั้งกระทู้เข้าใจเฉยๆ แต่จริงๆผมมีเหลือราวๆ 10 ล้านได้(คิดรวมขาดทุนทางบัญชีตอนนี้เสร็จสิ้น) อิอิ เรื่องก็คือสมัยมัธยมต้น ผมต้องไปทำงานเป็นคนสวน และ คนดูแลเด็ก คุณพ่อกับแม่ ส่งไป (เข้าใจว่าคงตั้งใจสอนอะไรสักอย่าง) ก็ได้เริ่มรุ้สึกตั้งแต่ตอนนั้นว่า จริงๆแล้วชีวิตเนี่ยมันลำบากมากๆกว่าที่ตัวเองคิดตั้งเยอะ พอขึ้น ม.ปลาย ก็มีปัญหาต่างๆที่บ้านมากมาย จุดที่ผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่รบกวนเงินพ่อแม่ อีกตลอด ชีวิต คือได้ยินวันที่เค้าคุยปรึกษากัน และแม่ผมกำลังจะตัดสินใจนำทองคำ ที่เป็นของแต่งงาน ไปขายเพื่อนำเงินมาใช้ในครอบครัว และมีเรื่องอื่นๆอีกมากที่ทำให้ผมหลุดขั้วจากคนอื่นๆ เพราะผมสงสารพ่อกับแม่มาก จากนั้น ม.ปลาย ผมก็ได้งานที่ดีขึ้นหน่อย คือ สอนพิเศษเด็ก ม.ต้น ตอนแรกก็ไม่คิดจะสอนเป็นงานหรอกครับ เริ่มจากสอนการบ้านให้น้องๆแถวนั้นฟรีๆ ไปๆมาๆน้องเค้าเรียนดีขึ้น ปากต่อปาก ก็เลยได้สอนเต็มตัว ทุกๆเย็น การเรียนช่วง ม.ปลาย ก็แย่ลงเพราะ ผมกลับสนใจเปค้นคว้าเรื่องอื่นที่ห้องสมุดโรงเรียน เพื่อช่วยทำอย่างไรก็ได้ให้ชีวิตมันดีขึ้น ผมอ่านจิตวิทยาเยอะมาก แล้วก็ไล่มาอ่านพวก ทุนนิยมของ คาร์ล มาร์ก อ่านมันทุกอย่างเพราะอย่างรู้จริงๆว่าทำไงถึงจะประสบความสำเร็จได้ จะได้ช่วยพ่อกับแม่ได้ จนมาสอบ เอนทรานซ์ ก็พยามสอบเข้า วิศวะ เพราะตอนนั้นคิดว่าทำงานวิศวะก็น่าจะได้เงินเดือนดี ก็เลยเอนเข้ามาเรียนที่ลาดกระบัง ระหว่างเรียนทำงานมาโดยตลอด จนมีคนรู้จักมากขึ้น ส่วนเรื่องหุ้นนั้น จริงๆแล้วผมสนใจเรื่องหุ้นมานานมากจากการอ่านหนังสือ แต่ไม่มีโอกาสรวมทั้งทุนทรัพย์ ก็เลยเล่นในกระดาษมาโดยตลอด จนอายุ 20 ก็ตัดสินใจเข้ามาลงทุน เงินที่เก็บได้จากการทำงานตลอดก็มีพอสมควรเลยตัดสินใจลงทุนตอนแรกที่ระดับไม่กี่หมื่นก่อน เก็งกำไรไปๆมา ตลาดแย่มาก ไม่คุ้มเวลา ก็เลยนำเงินที่มีอยู่อีกส่วนทั้งหมดมา ซื้อหุ้นเพิ่มเข้าไปอีก โดยสัญญาจะเปลี่ยนรูปแบบตัวเองใหม่ คือ ถ้าจะลงทุนในหุ้น ต้องทำยังไงก็ได้ให้หุ้นตัวเองมีเพิ่มขึ้น ไม่ใช่จ้องเก็งกำไรไให้เงินเพิ่ม จากนั้นสไตล์เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ผมไม่เคยสนใจต้นทุนเลย คิดว่าผมเป็นผู้บริหารบริษัทนั้นเสียเลย มีเงินเท่าไรซื้อหุ้นหมด มีซื้อขายปรับเปลี่ยนพอร์ตพอร์ต บ่อยเหมือนกัน แต่จะเล่นหุ้นอยู่ 2 ตัวเท่านั้น จนหุ้นในมือเพิ่มๆขึ้น + เงินที่ทำงานพิเศษก็ทำให้หุ้นเพิ่มขึ้นไปอีก ไปๆมากลยุทธ์นี้เรียกได้ว่าเหมาะกับผมมากทีเดียว เพราะตามความคิดผมหุ้นเป็นทรัพยกรที่มีจำกัด (ผมจะถือว่าหุ้นเป็นทรัพยกรอย่างหนึ่ง หากบริษัทนั้นมีกำไรตลอด โดยกำไรไม่ต้องโตตลอดก็ได้ ขอให้มีกำไร และไม่มีการเพิ่มทุนเลย หรือถ้าจะเพิ่มขอให้สมเหตุสมผล) พอคร่าวๆนะครับ ผมเองพูดมากไปเดี่ยวจะโดนว่าอ่ะ
*********************************
จากข้างบนความคิดของผมที่เป็นมวยวัด คราวนี้มาพูดถึงหลัก ที่มันดูวิชาการหน่อยตามที่ไปเรียนมา การที่จะเพิ่มปริมาณเงินลงทุนนั้น ต้องดูหลายอย่างครับ ทั้ง สัดส่วนเม็ดเงินการลงทุนที่มีเข้ามาในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดบ้านเรา ซึ่งเป็นตลาดเก็งกำไรเสียส่วนใหญ่ หลายคนคงรู้เกี่ยวกับเรื่องเม็ดเงินในตลาดดี (กำไรมีให้ในวงจำกัดเท่านั้นถ้าเราได้กำไรแล้วยังไปวิ่งหากำไรอีกระวังกำไรในมือเราจะหมดไป มันสนุกตรงเวลาเก้งกำไรนี่ไม่รู้เมื่อไรเค้าจะเลิกแจกกำไรกันสินะครับ)แต่บางคนก็ยังเพิ่ม power ลงไปโดยการเติมเงินเข้าไปในตลาด ซื้อเฉลี่ยบ้าง ถ้าลงทุนระยะยาวก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ถ้าระยะสั้นการถือเราซื้อหุ้นแล้วขาดทุนแสดงว่า เม็ดเงินในหุ้นที่เราเล่นนั้น flow out แล้ว มันไม่ควรซื้อเพิ่มเพราะยิ่งซื้อมันก็ยิ่งลงเพราะเงินมัน out ออก แต่ถ้าซื้อแล้วกำไรนั่นสิครับเรียก flow in ในหุ้นตัวนั้น บางทีหลักการนี้ผู้เล่นรายใหญ่บางคนเค้าก็เรียก หุ้นขึ้นในซื้อต่อ หุ้นลงให้ขายต่อ ผมก็ตอบไปตามประสบการณ์นะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆบ้างไม่มากก็น้อย มือเก๋าๆอย่าถือสานะครับหากความคิดผมเด็กๆ
..โอ ขอบคุณครับ มีข้อความเก่าให้นึกถึงความหลังด้วย smile ต้องขอโทษที่เข้ามาช้าหน่อยนะครับ เพราะมัวทำอะไรเพลินไปหน่อย
4. สำหรับเทคนิคคัลนั้นเมื่อก่อนผมคิดว่าต้องยากๆซับซ้อนถึงจะดี แต่ไปๆมาๆขนาดไปเรียนรู้ถึงระบบtrackหุ้นก็แล้ว อีเลียตเวฟชั้นสูงก็แล้ว (คลื่นแทรกใน A B C เค้าเรียกดับเบิ้ล หรือไม่ก็ทริบเปิ้ล wave เช่น A(B(C)) อันนี้ไม่มีในหนังสือtextขายนะครับเพราะพวกนี้ต้องเข้าคอร์ส ) ไปๆมาๆถึงได้รู้ว่าระบบพวกนี้ที่ซับซ้อนเค้ามีไว้เพื่อให้โมเดลเทรดสู้กับมนุษย์ได้ เวงกรรม .... สุดท้ายความเข้าใจพื้นฐานธรรมชาติดีสุดครับ แต่เนื่องด้วยมนุษย์ลึกๆแล้วอยากให้มีคนชื่นชมหรือเข้าใจว่าเราเก่งอย่างนั้นอย่างนี้(ตัวอย่างเช่นผมก็ไม่พ้นธรรมชาติมนุษย์ทั่วไปมีคนชมในเว็ปบอร์ดก็แอบชอบใจลึกอยู่เหมือนกันนะครับ) มันเลยเกิดการเรียนหรือนำเสนอสร้างระบบซับซ้อนขึ้นมาซึ่งทำความเข้าใจยาก ตย.มีให้เห็นเยอะในเรื่องต่างๆเช่นโมเดล เศรษศาสตร์ที่ซับซ้อน แต่ถ้าศึกษาจากประวัติบุคคลที่ประสบความสำเร็จหลายๆคนผมเห้นเค้าล้วนใช้วิธีเบสิกมากๆ เช่น อลันกลีน สแปน บางที่คาดการณ์เศรษฐกิจโดยดูปริมาณคลิปกระดาษ หรือ โซรอสขายหุ้นตอนปวดหลังเป็นต้น ผมเลยสรุปและคิดเห็นว่า บางทีการที่เราไม่นำระบบที่ยากซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะเข้าใจหรือจะเข้าใจต้องกินเวลานานมาใช้เนี่ย ก็ไม่เห้นเป็นปัญหาเลยจริงมั้ยครับ ตลาดหุ้นเนี่ยเราไม่ต้องไปแสดงให้ใครเห็นว่าเก่งก็ได้ บางคนคิดว่าคนเก่งต้องเล่นได้ขาขึ้นและขาลง เลยพยามเล่นมันหมดเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่สำหรับผมแล้วถ้าไม่มีโอกาสหรือผมไม่แน่ใจผมก็จะไม่เล่นครับ ผมยอมให้คนว่าผมว่าเล่นหุ้นไม่ได้ทุกจังหวะหรือจะว่าอะไรก็แล้วแต่ ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งเหมือนกันตามธรรมชาติลึกๆของมนุษย์ที่พยามจะพิสูจน์ตัวเอง จึงทำให้เกิด error ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวทั้งที่ถ้าตัวเองทำตามระบบหรือแผนการที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เช่น การพยามเอาคืนเวลาพลาดพลั้งไปแล้วเป็นต้น แล้ว loop อารมณ์ตอนต้นก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เกิดผลกระทบต่อเป็นลูกโซ่กับการตัดสินใจครั้งต่อไป บางทีผู้คนที่เก๋าๆมีประสบการณ์ในตลาดก็จะใช้วิธีแก้เช่นออกจากตลาดสักระยะหนึ่ง ไปหากิจกรรมอย่างอื่นทำแล้วค่อยกลับมาเป็นต้น
สรุปก็คือ พื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญครับ หากเราเข้าใจพื้นฐานแท้จริง ไม่ต้องกลัวว่าเราจะแก้ไขปัญหาไม่ได้ เพราะสมองมนุษย์นั้นน่าทึ่งจริงๆครับ ท่าเราเข้าใจรากฐานมันแล้วเราก็สามารถต่อยอดความคิดไปแก้ไขปัญหาที่มันซับซ้อนขึ้นไปได้
5. (โมเดลอื่นเช่นปัจจัยพื้นฐานนี่ผมไม่พูดนะครับเพราะน่าจะพอทำความเข้าใจกันได้และมีหลายท่านในที่นี้มีประสบการณ์สูง เช่น ถือหุ้นต่อสู้กับเจ้าของมานักต่อนักแล้ว) หลังจากเรารู้ว่าเทคนิคคัลมีอะไรบ้าง แล้วเราไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้ถึงขั้น high class เราก็น่าจะมีกำลังใจขึ้นมาบ้างแล้วใช่มั้ยครับ
เทคนิคคัลพื้นฐานวางกระบวนการเรียนรู้ไว้ดังนี้ครับ
ศึกษาอดีต<---->เรียนรู้ปัจจุบัน<---->ป้องกันอนาคต
เริ่มเห็นภาพมั้ยครับว่าเดี๋ยวนี้มันจะกลายเป็นแบบนี้ไปแทน ศึกษาอดีต ------> คาดการณ์อนาคต ....
5. ว่ากันทีและตัวแล้วกันนะครับ, ศึกษาอดีต---->ก็คือการพยามทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่ผ่านมาผีผลอย่างไรก่อให้เกิดภาพกราฟแบบไหน (กราฟจะเป็นเหมือนวิดีโอบันทึกถึงการกระทำและความรู้สึกของมนุษย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา) , เรียนรู้ปัจจุบัน (มองดูนะปัจจุบันว่ามันเกิดสถานการณ์แบบไหน มีปัจจัยอะไรบ้าง ก็ให้เกิดภาพกราฟอะไร พอเทียบเคียงกับภาพกราฟในอดีตได้ไหม ),ป้องกันอนาคตคือ ปัจจุบัน เมื่อ เทียบ กับอดีต แล้วมันจะเกิดเหตุการณ์แบบไหนได้บ้าง เราควรจะทำอย่างไรเมื่อเกิดแต่ละเหตุการณ์(กลายเป็นศาสตร์ใหม่ของฝรั่งขึ้นมาอีกเรียกว่าหลักการบริหารความเสี่ยง) ต่างกับหลักการเทคนิคคัลฉบับคาดการณ์อนาคตคือ เราเห็นอดีตแบบนี้ ปัจจุบันแบบนี้ เราจึงตัดสินใจซื้อหรือขายในแบบที่ควรจะเกิดจากอดีตทันที ซึ่งระบบจะง่ายและรวดเร็ว แต่ error จะมีมากกว่า และ บุคคลที่ใช้จำเป็นต้องมีระเบียบวินัยสูง เช่นการเน้นระบบ cut loss เมื่อตัดสินใจพลาด (จริงๆระบบcut loss มีความจำเป็นในหลายๆระบบ แต่ระบบนี้จะเน้นมากหน่อย เพื่อให้กลับมาสู่ loop การตัดสินใจวิเคราะห์ใหม่ได้) ... เหนื่อยเหมือนกันนะครับเนี่ยการเล่นหุ้น ผมยินดีแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ เพราะ การจะที่บุคคลนั้นจะเรียนรู้และสำเร็จได้นั้นต้องมีความพยามค่อนข้างสูง ผมถือว่ามันเป้นสิ่งที่ดีที่ที่เราจะบอกสิ่งที่เราพอรู้บ้างให้กับบุคคลที่มีความพยามเป็น ไกด์ไลน์ คร่าวๆได้ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการให้กำลังใจเล็กๆน้อยสำหรับคนที่ต้องเจอมาหนักแล้วกันนะครับ smile ปล. อย่าถามผมนะครับว่าหุ้นตัวไหนดี ซื้อเมื่อไร ขายเมื่อไร ผมเจอคำถามนี้มาเยอะจริงๆตั้งแต่เป็นวิทยากรเทคนิคคัล เพราะผมจะตอบอยู่เสมอว่าผมไม่รู้อ่ะ งวดนี้พักไว้แค่นี้ก่อนเนอะครับยังนึกไม่ออกเลยจะอธิบายกราฟไงดี เอาแต่หลักการไปก่อนเนอะ หยวนๆน่า ไว้ค่อยมาต่อกัน มีไรก็แลกเปลี่ยนความรู้กันผ่านกระทู้ได้ครับ ขอบคุณมากครับที่ทนอ่านมาขนาดนี้
อ่อ เกือบลืม ที่โซรอสที่เค้าบอกว่าขายหุ้นตอนปวดหลังนั่นเค้าแฝงปรัชญาไว้ให้เรานะครับ ว่าเค้าเนี่ยซื้อขายหุ้นไม่มีความซํบซ้อนและไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเลย เค้าอยากจะซื้อก็ซื้ออยากจะขายก็ขาย โดยตัดสินใจตามโมเดลของเค้าที่เค้าคิดไว้นั่นเอง (ตย. ทฤษฎีสิ่งเค้านำเสนอมันมีชื่อว่า The Theory of Reflexivity ) และสิ่งที่ช่วยเตือนใจให้ผมต้องพยามพัฒนาและฝึกฝนอยู่สม่ำเสมอ เพราะว่าตลาดหุ้นมันเป็นตลาดopen ไม่มีการต่อ handicap หรือกำหนดรุ่นช่วยเรานะครับ ยกตัวอย่างเหหมือนเราเข้าไปแข่งกีฬาพวกรายการ open เลยครับ เจอมือเก๋าๆแน่นอนอยู่แล้วอ่อ..ฝากอีกนิดหน่อยนะครับ สำหรับคนที่กลัวโดนเทคนิคหลอกจากฝ่ายผู้ชี้นำ ถ้าเราเปิดใจแล้วไม่มีความรู้สึก โดยสมมุติง่ายๆเกิดเราไม่มีเครื่องมืออย่างอื่นมาจับจริงๆเราก็หาอินดิเคเตอร์ที่แม่นเทรนด์นี่หล่ะ โดยที่การขัดแย้งต่างๆในตัวมันเองจะเป็นตัวบอกเราเองว่ามนุษย์นี่หล่ะกำลังพยามชี้นำให้เป็นแบบนี้ เสร็จเราหล่ะครับ เพราะหุ้นมันไม่ขึ้นก็ลงเราก็จะรู้ถึงความต้องการของเค้า --->ภาพประกอบคำอธิบายเป็นตัวอย่างง่ายๆนะครับ
ปรัชญาและปัจจัยแห่งความสำเร็จขั้นพื้นฐาน ในการเล่นหุ้นด้วยเทคนิคเคิล
1. อาวุธ (เครื่องมือสัญญาณทางเทคนิค)
2. กลยุทธ์ และ ความเข้าใจในสมรภูมิ (ตลาดหุ้น) ตลอดจนยุทธศาสตร์ ระยะสั้น กลาง ยาว
3. อารมณ์ (การควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ปฏิบัติตามแผน ตามระเบียบวินัยการลงทุน ตามเป้าหมายระยะสั้น ยาว ให้เป็นไปและสอดคล้องกันกับยุทธ์ศาสตร์ที่วางเอาไว้)
ปัจจัย ทั้ง 3 ตัวมีความสำคัญ เรียงตามลำดับ เพราะถ้าไม่เลือกหาอาวุธที่เหมาะมือไว้ก่อน ก็ต่อสู้กับเขาไม่ได้ แต่ถ้ามีแต่อาวุธ แต่ไร้กระบวนท่า ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน เพราะอาวุธแต่ละประเภทมีข้อจำกัด ตามสถานการณ์และสมรภูมิ (ไม่มีสัญญาณเทคนิคที่ให้ความแม่นยำถูกต้อง 100%) ดังนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าอาวุธในมือเรา มันจะแผงฤทธิ์ ได้ดีในตอนไหน (สัญญาณลวงทางเทคนิคมักจะเกิดขึ้นในตลาดขาลง 50-60% แต่เครื่องมือทางเทคนิคจะทำหน้าที่ได้ดี (ให้สัญญาณจริง 70-80%) ในตลาดขาขึ้น เพราะฉะนั้น เซียนเทคนิคจึงผุดขึ้นมากมายในตลาดกระทิง แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะว่าสถานการณ์มันอำนวยชัยมากกว่า
น้อยคนที่จะมีอาวุธคู่ใจหลายๆอัน ดังนั้นแล้ว จงหาอันที่เหมาะมือไว้สัก 2-3 อันไว้ก่อน ก็พอ แต่เอาให้ชำนาญยุทธ์ ปิดช่องโหว่งซึ่งกันและกัน และสุดท้ายคือ ปัจจัยเรื่องอารมณ์ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด กระบวนท่าต้องสัมพันธ์กับใจ อารมณ์เป็นสิ่งที่จับต้องได้ยากเพราะฉะนั้น จึงเข้าถึงและเข้าใจได้ยากเหมือนกัน แต่ถ้ายอมรับในอิทธิพลของมันแล้ว ก็จะให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด นักรบที่เก่งทั้งหลายในสมัยก่อนที่รบแพ้ส่วนใหญ่ มิใช่เพราะว่าตนไร้ฝีมือ ไร้ยุทธวิธี แต่เป็นความเย่อหยิ่ง ลำพอง ประมาทคู่ต่อสู้ มิฟังคำทัดทานจากผู้อื่น จึงต้องพ่ายแพ้ และบางทีก็ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีก
ดังนั้น อาวุธ กลยุทธ์ และ อารมณ์ ต้องให้สัมพันธ์กันตามสถานการณ์ การเคลื่อนไหวที่ไร้ทิศทางสะเปะสะปะ ไร้กระบวนท่า ก็จะได้เป้าหมายแบบลมๆแล้งๆ เช่นกัน
ใครถนัดจะเล่นแบบไหน ใช้สัญญาณอะไร อย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่บอกว่าเราได้มาถูกทางแล้ว คือ การที่เราได้ทำอะไรที่เราเห็นอยู่ทุกๆวัน เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ได้ผล ยิ่งทำยิ่งง่ายขึ้นแต่เข้าใจ ไม่ใช่ยิ่งทำยิ่งคิดยิ่งยุ่งยากซับซ้อนออกไป มากไป จนสับสน เพราะว่าในตลาดหุ้นมันมีความสับสนเป็นสมมุติฐานอยู่แล้ว เรายังไปสับสนต่อเนื่องกับมัน จึงต้องติดกับดับอารมณ์ และกับดับสัญญาณทางเทคนิค ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ในกราฟหนึ่งรูปสามารถอธิบายอะไรๆ ได้มากมาย ถ้าเราซื่อตรงต่อมัน เข้าใจมันโดนปราศจากอคติ เพราะมันคือความเป็นจริงที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ความจริงที่กำหนดทิศทางของตลาด ออกมาจากจิตวิทยามวลชน สัญญาณแต่ละตัวมัน สะท้อนอารมณ์ความรู้สึก ของมวลชน ทุกอย่างอยู่ในนั้น และ ถ้าอดีตบอกปัจจุบันได้ ปัจจุบันทำนายอนาคตได้ กราฟนี้ก็จะทำหน้าที่อันนี้เช่นกัน และมันก็บอกว่าอะไรได้เกิดขึ้นแล้ว และทำให้คนสำเร็จและล้มเหลวต่างกันอย่างไร
ด้วยความเคารพ อยากให้ทุกท่านลองไปอ่านกันดูนะครับ เผื่อจะได้ฝึกฝันตัวเองและเป็นเทรดเดอร์ที่ เก่งเหมือนพี่ ต้านได้ แต่ระดับแรกต้องเทรดให้เลี้ยงชีพให้ได้ก่อน ครับ แล้วค่อยไปในระดับที่สูง
อ่านเพิ่มเติม จาก Pantip อาจจะได้ อรรถรส มากกว่า นะครับ คลิกเลย :
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3108092/I3108092.html?fbclid=IwAR0-yWX9esG3VA_EPYNxhl24Y4VjJ6Gs06Tn71qwaC3DDw3BCl_Dtw9dlDECredit : Panntip ห้องสินธร เขียน โดย Mudleyworld