(Dec 15) แบงก์ชาติทั่วโลกขานรับ เฟดขยับขึ้นดอกเบี้ย : นับว่าไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้สำหรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 1.25-1.50% หลังการประชุมเมื่อวันที่ 12-13 ธ.ค.ที่ผ่านมา และในการประชุมครั้งนี้ เฟดยังได้เปิดเผยคาดการณ์ของบรรดาสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ด้วย โดยสมาชิกส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 2.00-2.25% ซึ่งหมายถึงการขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง หากปรับทีละ 0.25%
นอกจากนี้ เฟดยังคงคาดการณ์จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปี 2019 เป็น 2.50-2.75% และอาจขึ้นดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งในปีถัดไป ซึ่งเฟดยังได้คงคาดการณ์เงินเฟ้อไว้ด้วย โดยจะถึงเป้าหมายของเฟดที่ 2% ภายในปี 2019
ความเคลื่อนไหวของเฟดทำให้ธนาคารกลางชาติอื่นๆ เริ่มขยับตัวตาม โดยไม่กี่ชั่วโมงหลังการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ได้ขยับตัวตามด้วยการขึ้นดอกเบี้ยของสัญญาซื้อคืนระยะสั้น 7 วัน และระยะ 28 วัน ชนิดละ 0.05% และยังขึ้นดอกเบี้ยของกลไกกู้ยืมระยะกลาง (เอ็มแอลเอฟ) อีก 0.05%
เฉินจี้ นักวิเคราะห์ของธนาคารแบงก์ออฟคอมมิวนิเคชั่นของจีน เปิดเผยกับรอยเตอร์สว่า อัตราในการขึ้นดอกเบี้ยของพีบีโอซีน้อยเกินกว่าที่จะสร้างผลกระทบต่อตลาดได้ และเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้สอดคล้องกับเฟดเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางฮ่องกงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.75% โดยฮ่องกงจำเป็นต้องเคลื่อนไหวตามเฟด เนื่องจากผูกค่าเงินเอาไว้กับดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับประเทศแถบตะวันออกกลางที่ตรึงค่าเงินไว้กับดอลลาร์ ทั้งซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน ต่างขึ้นดอกเบี้ยตาม 0.25%
ด้านธนาคารกลางฟิลิปปินส์ คงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ 3% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ตามความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ 17 คน จาก 19 คน ในการสำรวจของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก โดยแม้จะธนาคารกลางฟิลิปปินส์จะคงดอกเบี้ยเอาไว้ในการประชุมครั้งนี้ แต่บลูมเบิร์กรายงานว่า บรรดานักเศรษฐศาสตร์ต่างคาดการณ์จะได้เห็นการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า เนื่องจากฟิลิปปินส์จำเป็นต้องเข้มงวดนโยบายการเงินเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
อีซีบี-อังกฤษคงนโยบาย
ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ 0.50% โดยก่อนหน้านี้บีโออีปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2007 ไปเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นนับตั้งแต่การตัดสินใจออกจากสหภาพยุโรป (อียู) โดยอยู่ที่ 3.1% เมื่อเดือน พ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 1975
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยหลักไว้ที่ -0.40% เช่นเดียวกับดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ 0% และดอกเบี้ยปล่อยกู้ให้สถาบันการเงิน 0.25% ขณะที่มาตรการซื้อคืนสินทรัพย์วงเงินเดือนละ 6 หมื่นล้านยูโร (ราว 2.3 ล้านล้านบาท) จะสิ้นสุดลงในเดือนนี้ โดยอีซีบีจะลดวงเงินเหลือเดือนละ 3 หมื่นล้านยูโร (ราว 1.1 ล้านล้านบาท) ในเดือน ม.ค. 2018 จนถึงเดือน ก.ย. 2018 หรืออาจจะขยายไปมากกว่านั้นหากจำเป็น และอัตราเงินเฟ้อยังไม่ถึงเป้าหมายที่อีซีบีตั้งไว้
ตรึงการเงินเสี่ยงหนี้เอเชีย
บลูมเบิร์กรายงานอ้างบรรดานักลงทุนว่า การตรึงนโยบายการเงินของเฟดและบรรดาธนาคารกลางอื่นๆ จะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสถานการณ์หนี้ในเอเชีย โดยนักลงทุนต่างจับตาว่าอาจเกิดการเทขายตราสารหนี้ในเอเชียเช่นเดียวกับในปี 2013 ที่เฟดส่งสัญญาณเลิกนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี)
จากผลสำรวจบรรดาธนาคาร นักวิเคราะห์ และนักลงทุนของบลูมเบิร์ก พบว่า ในปีนี้เอเชียออกตราสารหนี้เป็นสกุลดอลลาร์มากถึง 3.19 แสนดอลลาร์ (ราว 10 ล้านล้านบาท) และปีหน้ามีแนวโน้มจะก่อหนี้ในลักษณะเดียวกันเพิ่มอีก 3.5 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 11 ล้านล้านบาท)
รายงานระบุว่า จีนเป็นผู้ก่อหนี้ส่วนใหญ่มากถึง 60% ของทั้งหมด โดยจีนต้องใช้ตลาดหุ้นกู้ดอลลาร์นอกประเทศเป็นแหล่งเงินทุนแทนในประเทศ เนื่องจากมีดอกเบี้ยถูกกว่าหลังนโยบายการลดหนี้ของรัฐบาลจีนที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยในจีนปรับสูงขึ้น
ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน 0.9% ภายหลังการเปิดเผยของเฟด กดดันให้ดัชนีดอลลาร์ สปอตของบลูมเบิร์กปรับตัวลง 0.7% ก่อนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยระหว่างการซื้อขายเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่วนทองคำปรับตัวแข็งค่าขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์
โดย ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์
Source: Posttoday
https://www.bloomberg.com/news/articles/2017-12-13/fed-ecb-and-china-pose-key-dangers-for-asia-s-dollar-bond-boom