กองทุน SPDR GOLD SHARES
ถือทองก่อนหน้า
ถือทองล่าสุด
0.00
*หน่วยตัน / ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ
สถิติกองทุน SPDR
ราคาทองคำแท่ง 96.5%
ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ
ครั้งที่
ราคาก่อนหน้า
ราคาล่าสุด
0
(หน่วย บาท*) / อัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2566 เวลา 13:04 น.
สถิติราคาทองคำ ไทย

ทำไมต้องลงทุน

  • 0 replies
  • 1,689 views
*

Numay

ทำไมต้องลงทุน
« เมื่อ: 19, กุมภาพันธ์ 2016, 03:30:20 PM »
Basic Lesson
ทำความรู้จักกับโลกของการลงทุน
ทำไมต้องลงทุน ?


ดูเหมือนคำถามที่ไม่น่าถาม แต่ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับการเริ่มต้น เพราะถ้าหากเราไม่เริ่มด้วยการตั้งคำถาม เราคงไม่รู้จะไปเริ่มจากอะไรอีก  ทำไมต้องลงทุนเป็นคำถามสำหรับผู้เริ่มต้นเข้ามาในวงจรทางด้านการเงินที่เหมาะสม หากท่านผู้อ่านไม่ได้อ่านบทความนี้ คงพลาดไปหลายจุดเพราะว่ามันทำให้ทัศนคติในการลงทุนของผู้อ่านแตกต่างออกไป
นี่คงเป็นบทความแรกในเว็บนี้ ซึ่งผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านที่เป็นทั้งหน้าเก่าเข้ามาในวงการมานานแต่แล้วกลับต้องมาวนเวียนกับคำว่าขาดทุนซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือหน้าใหม่ที่คิดว่านี่เป็นช่องทางที่จะทำให้ตัวเองลืมตาอ้าปากได้ ได้หลุดจากความเป็นมนุษย์เงินเดือน ให้ได้ทบทวนให้ดีอีกหลายรอบ มันจึงมีบทความ ทำไมต้องลงทุน หนึ่งใน Series บทความที่เผยแพร่บนเว็บบอร์ดนี้  Series บทความนี้กล่าวถึงรายละเอียดที่สำคัญในการเทรด Forex เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เนื้อหาก็ไม่ได้สามารถจะนำไปใช้ได้เพียงแค่ตลาด Forex เท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้ในตลาดอื่น ๆ อีก ซึ่งเนื้อหาก็เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นจนถึงผู้มีประสบการณ์ในระดับกลาง
สำหรับการเทรด Forex สิ่งแรกที่ต้องคิดคือ ธรรมชาติของการลงทุน หลายคนอาจจะบอกว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องมาพูดถึงเรื่องของธรรมชาติของการลงทุนเราจะมาพูดธรรมชาติของมันทำไมแค่บอกวิธีซื้อขายที่ทำกำไรให้ได้ง่าย ๆ มาก็จบถ้าหากมันมีสูตรลับคงมีคนรวยจากการซื้อขายออนไลน์นี้มากมายแล้ว
เราลองมาอ่านดูกัน บางท่านอาจจะคิดว่าการลงทุนกับการธุรกิจนั้นมีความเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความแตกต่างเล็กน้อยนี้ส่งผลมหาศาลในมุมมองเชิงปฏิบัติจริง หากเราไม่สามารถแยกแยะการลงทุนและธุรกิจออกจากกันได้ เราคงไม่รู้ว่า ความเหมาะสมและความพอดีของการลงทุนนั้นแตกต่างกัน เพราะมันส่งผลต่อการใช้ Leverage การปรับความเสี่ยง การหาความเป็นไปได้ในการทำกำไรตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์หน้าใหม่บางรายได้กำไร 50 % ในวันแรกสิ่งที่เขาต้องคิดคือ ทำไมเขาถึงได้กำไรขนาดนั้นแล้วจะขาดทุนในจำนวนเช่นนั้นได้หรือเปล่า  ไม่ใช่การคิดว่านี่จะเป็นหนทางไปสู่การลืมตาอ้าปากได้ หรือหนทางรวยเร็วได้อย่างแน่นอน


รูปแสดงแนวคิดของเงินสี่ด้านจากหนังสือ Cash Flow Quadrant ของ Robert Kiyosaki
ที่มา:
ในหลักการเงินสี่ด้านที่เป็นที่นิยมของ Robert Kiyosakiที่ผู้เขียนอ้างอิงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่กล่าวว่า การลงทุน ( Investment: I) แตกต่างจากธุรกิจ( Business: B) หนังสือเล่มนี้เขียนไว้ดีจนขึ้นเป็นหนังสือขายดีและยากที่จะไม่กล่าวถึงสำหรับคนที่อยากจะออกตามหาอิสระทางการเงินของตัวเอง บางกลุ่มเช่น กลุ่มที่ทำการตลาดแบบ MLM ก็ใช้หนังสือตัวนี้เป็นตัวอ้างอิงเพื่อชักจูงให้คนเห็นถึงความต่างของการเป็นมนุษย์เงินเดือนแล้วชูจุดแข็งของเขาก็นี่แหละคงเป็นเหตุผลที่เราก้าวเข้ามาลงทุนแบบผิด ๆ หลายคนอาจจะเริ่มจากตลาดหุ้นแล้วก้าวเข้ามาในตลาด Forex หรือหลายคนเริ่มคิดว่า Forex คือหุ้นของต่างประเทศ หรือหลาย ๆ คนโดนชักจูงชักชวนให้เอาเงินมาลงทุนอีกต่อหนึ่ง การที่ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างถึงหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เพราะว่าจะมาเล่าเนื้อหาในหนังสือดังกล่าวแต่จะละเลยไม่กล่าวเลยก็คงจะไม่ได้ แนวคิดของ Robert กล่าวถึงกระแสเงินหรือที่มาของเงินของกลุ่มอาชีพที่แตกต่างกัน กลุ่มอาชีพแรกกล่าวถึง  Employee หรือ E ซึ่งเป็นลูกจ้าง การได้เงินมาของลูกจ้างย่อมมาจากเงินเดือนเพียงลำพังและใช้กำลังทั้งกายสติปัญญาแลกมา ด้าน Self Employed (S) หรือเจ้าของกิจการ ซึ่งได้เงินมาจากการประกอบกิจการ เช่น ร้านขายก๋วยเตี๋ยว หากขายไม่ได้ก็ต้องรับภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นหากขายได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยตกเป็นของเขา แต่กระนั้นกลุ่มเหล่านี้ก็ยังต้องใช้แรงงานแลกมา ในส่วนของ Business Owner (B) ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจที่ทำการบริหารจัดการต้องไปดูแลอยู่ทุกวัน หากวันไหนไม่ไปลูกน้องย่อมเกียจคร้านงานการไม่เดินเพราะไม่มีคนคิดงานเป็นหัวเรือของธุรกิจ และสุดท้ายนักลงทุน หรือ Investor (I) ใคร ๆ ก็อยากเป็นนักลงทุน แต่การจะเป็นนักลงทุนต้องทำการบ้านด้านการลงทุน เช่นต้องรู้จักมองคนใช้คนให้เป็น หรือก็ต้องพัฒนาระบบที่สามารถทดแทนแรงงานคนได้ คือการใช้กลไกเชิงระบบทำงานให้เรา สิ่งเหล่านี้เชื่อมด้วยประเภทของรายได้ตัวเดียวที่สำคัญเรียกว่า Passive Income หรือเงินที่ได้มาจากการที่กลไกเหล่านั้นทำงานให้เราโดยไม่ต้องลงแรง หัวใจสำคัญตัวอย่างได้แก่ ขณะที่เราป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล หรือไปเที่ยว รายได้จากการเป็นลูกจ้าง  เจ้าของกิจการ เจ้าของธุรกิจจะหยุดลงทันที แต่ว่าการเป็นนักลงทุนจะยังได้รับรายได้อยู่ในรูปของการปันผลหรือส่วนต่างของราคาสินทรัพย์ การจะบอกว่าเป็นการลงทุนหรือการทำธุรกิจนั้นไม่ได้บอกได้จากลักษณะธุรกิจที่ทำ แต่บอกได้จากหลักการในการทำ เช่น ป้าคนหนึ่งบริหารหอพักโดยใช้เงินเก็บจากการเกษียณซื้อหอพัก แต่ป้าต้องมาทำความสะอาดเอง เรียกช่างซ่อมท่อน้ำ หาเด็กเข้าหอพักเอง  ขณะที่ลุงอีกคนจ้างผู้จัดการมาดำเนินการทุกอย่างและลุงไม่ต้องทำอะไรเลย ผู้อ่านจะเห็นว่ามันขึ้นอยู่กับว่าเรามองมันเป็นการลงทุนหรือธุรกิจ   แต่เรื่องนี้คงต้องขอหยุดไว้เท่านี้ ท่านผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ในหนังสือของ Robert Kiyosakiซึ่งวัตถุประสงค์ของการยกตัวอย่างแนวคิดเพียงแค่จะชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคำว่า ธุรกิจ กับ การลงทุนเมื่อมันมีคนละนิยาม สภาพและปัจจัยของมันย่อมแตกต่างกันอย่างชัดเจน รูปแบบของการทำงานของมันก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน ผู้เขียนได้มีโอกาสรู้จักกับผู้ทำร้านกาแฟท่านหนึ่งที่ต้องพบกับยอดขายที่น้อยและต้นทุนธุรกิจที่สูง ในการลงทุนในธุรกิจกาแฟ จะต้องเผชิญกับค่าเช่าร้าน ในพื้นที่ที่ผู้เขียนอาศัยอยู่การเช่าอาคารพาณิชย์ 1 หลังมูลค่าประมาณ 10,000 บาท ยังไม่รวมกับค่าตกแต่งร้านที่ต้องออกแบบให้สวย หรู มีความแปลกตา หรือเป็นที่ดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้าน  แม้กระนั้นการลงทุนในธุรกิจร้านกาแฟก็ต้องมีค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมายเช่นเครื่องชงกาแฟที่ราคาหลักแสนบาท ประมาณการเท่านี้คงไม่ได้ดูเกินจริงเพื่อเขียนเสือให้วัวกลัวแต่ประการใด ยังไม่นับค่าตกแต่ง ค่าวัตถุดิบอะไรอื่น ๆ ที่ต้องตามมาอีก  การขายกาแฟเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถดึงดูดคนเข้าร้านได้ ถ้าไม่มีวิวถ่ายรูปดีดี หรือไม่มีความพิเศษเฉพาะตัวมากจริงๆ ซึ่งตามมาด้วยต้นทุนทั้งสิ้นหากว่าเราตั้งราคาขั้นต่ำที่ประมาณแก้วละ 45 บาท กำไรของกาแฟต่อแก้วแบบหยาบ ๆ 150 % ซึ่งผู้เขียนก็ไม่สามารถรู้ได้  หรือก็คือ กำไร 30 บาทในกรณีของกาแฟเมื่อหักต้นทุนคงที่(เช่นค่าตกแต่งร้าน ราคาเครื่องทำกาแฟสด) ออกแล้ว  เรามาดูกันว่า ต้องขายได้เท่าไหร่ต่อเดือนถึงจะคุ้มค่ากับค่าเช่า 10,000 บาทต่อเดือน นั่นคือ 10,000 /30 หรือจำนวน 333 แก้ว ต่อเดือน หรือ 10 แก้วต่อวันโดยเฉลี่ย ธุรกิจมันคงไม่ยากเท่าไหร่ หากย่านที่ผู้เขียนอาศัยอยู่ มีร้านกาแฟถี่ถึงชนิดที่ว่า 10 เมตรต่อหนึ่งร้าน การขาย 10 แก้วต่อวัน ชักจะเริ่มเป็นงานที่ท้าทาย เมื่อวันนี้ขายไม่ถึง 10 แก้ว ส่วนที่เหลือจะทบยอดไปวันต่อไปทันที  ความหนักของมันคือ นี่เรากำลังหาเงินค่าเช่าให้คนอื่นเท่านั้นหน่ะหรือ? บางร้านก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า 200 – 300 แก้วต่อวันก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากยังมองไม่เห็นประเด็นขอเก็บไว้สรุปตอนท้ายค่ะ

            ในการลงทุน มุมมองมันช่างแตกต่างกันอย่างมาก ผู้ใหญ่ที่รู้จักที่เคารพของผู้เขียนได้ลงทุนในธุรกิจสถาบันสอนพิเศษ เขากู้เงินมาเพื่อซื้ออาคารพาณิชย์แทนที่จะเช่าซึ่งเป็นที่ที่มีทำเลดีพอสมควรในตลาด ขณะที่ผู้ใหญ่ท่านนี้มีธุรกิจร้านขายยา ขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร  ร้านค้ามือถือ ธุรกิจปั๊มน้ำมันในจังหวัดเล็ก ๆ ทางภาคตะวันตกติดกับชายแดน ทุกเช้าผู้เขียนจะรับรู้ว่าผู้ใหญ่ท่านนี้ออกไปทำงานโดยการเดินทางไปเยี่ยมกิจการของแกทุกร้าน และที่สถาบันสอนพิเศษก็เช่นกัน ผู้ใหญ่ท่านนี้ซื้อตึกต่อจากเจ้าของเดิมมาในราคา 3.6 ล้านบาท ราคาราวกับตึกใหม่เลยทีเดียวแต่เนื่องจากทำเลที่ดีแกจึงค่อนข้างกล้าลงทุน แกได้นำมาทำการปรับปรุงหมดไปกว่าครึ่งล้านทั้ง 3 ชั้นให้เหมาะสำหรับการสอนพิเศษ และแกก็จ้างลูกน้องที่ไว้ใจได้เข้ามาบริหารจัดการโรงเรียน บริหารจัดการครู การรับเด็กนักเรียน ผู้เขียนได้มีโอกาสไปสอนที่สถาบันแห่งนี้จึงพอรู้เรื่องราวบ้าง  นักเรียนประมาณ 8 ห้อง ห้องละ 10 – 20 คน โดยสอนเป็นชั่วโมงตามกำหนดและจ่ายค่าเรียนเดือนละ 2,500 บาทต่อคน หากนับกันคร่าว ๆ แล้วรายได้ต่อเดือนก็ประมาณ 200,000 เฉพาะวันจันทร์ – ศุกร์ มีครูจำนวน 5 คน ครูบางคน สอน 2 ห้อง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับครูโดยประมาณ 50,000 บาทต่อเดือนค่าเงินเดือนผู้จัดการ 25,000 บาทรวมแล้วกำไรประมาณ 100,000 บาทแบบไม่ต้องว่ากันละเอียดมาก  นั่นคือผลตอบแทนต่อปีเท่ากับ 1,200,000 บาทต่อปี

           ผู้อ่านหลายท่านอาจจะพอทราบประเด็นที่กำลังจะสื่อ ผลตอบแทนของการลงทุนของเขานั้นไม่มากไม่มายแค่ 30 % ต่อปี หากว่าเขาเก็บจ่ายเต็มก้อนนี้เวลา 3 ปี เขาจะจ่ายค่าตึกได้ทั้งหมดแล้ว ถ้าไม่นับปิดเทอมที่เด็กจะต้องเพิ่มขึ้นมาก แต่เราคิดคงที่เพียง 10 คนต่อปี แต่สิ่งที่คุณน้าท่านนี้ที่ผู้เขียนได้สังเกตุเห็นคือ ความเอาใจใส่ การให้ความสำคัญกับคนที่บริหาร เพราะว่า คนนั้นจะเป็นคนที่มาทำงานแทนเรา ผู้อ่านสามารถเปรียบเทียบกับร้านกาแฟได้ว่า  อัตรากำไรต่อแก้ว 150 % นั้นอาจจะดูต่ำไป เราอาจจะให้ถึง 200 % เลยก็ได้แต่ความยากอยู่ที่คู่แข่งและความเป็นไปได้ในการรอด ยิ่งอัตราส่วนกำไรที่สูงยิ่งทำให้ธุรกิจเสี่ยงมากขึ้น ธุรกิจนั้นไม่ได้เสี่ยงด้วยตัวของมันเองแต่เป็นเพราะอัตรากำไรที่สูงก็เป็นธรรมดาที่คนอื่นเขาก็อยากจะโดดมาร่วมวงแจมกับเราด้วยเงินทุนเพียง 2-3 แสน ขณะที่การลงทุนในอะไรสักอย่างต้องใช้เงินก้อนใหญ่ พวกที่ทำ Start Up บางรายที่ไม่สามารถจะหาทุนสนับสนุนได้ถึงก็จะต้องพบกับอุปสรรค์ของการเข้าสู่ธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่ทำให้คู่แข่งของการลงทุนค่อนข้างน้อยกว่า แต่แน่นอน สัตว์ใหญ่ก็ต้องเคลื่อนไหวช้า กำไรก็ไม่ได้หวือหวา  ผู้เขียนได้มีโอกาสได้มีโอกาสคุยกับคุณน้าเจ้าของธุรกิจสอนพิเศษ ใจความสำคัญกล่าวว่า "น้าไม่ได้เปิดโรงเรียนสอนภาษา  แต่น้าทำธุรกิจปล่อยตึกให้เช่านะ"นั่นคือ การให้ธุรกิจสอนพิเศษนั้นเช่าตึกอีกต่อหนึ่ง  น้าได้แบ่งธุรกิจชัดเจน ค่าเช่าตึกไม่ได้กำไรมากมาย เพราะนักลงทุนต้องแบ่งค่าใช้จ่ายกับการที่เขาต้องออกมาเยี่ยมผู้จัดการร้านแต่ละร้านนั่นเป็นทั้งค่าใช้จ่ายของการเป็นเจ้าของธุรกิจ และหมวกของนักลงทุนที่ได้ผลตอบแทนเรื่อย ๆ จากการลงทุนปล่อยเช่าตึก เมื่อหักเงินเดือนของการเป็นผู้บริหารกิจการของคุณน้าออก กำไรคงจะไม่ถึง 30 % เสียแล้ว  สิ่งเหล่านี้พอบอกได้อย่างหนึ่งว่า ลักษณะของการลงทุนนั้นผลตอบแทนไม่ได้หวือหวา แต่ว่าจำนวนเงินที่มีขนาดใหญ่
ย้อนกลับมาที่ตัวผู้อ่านทุกท่าน การเข้ามาในตลาดค่าเงินนี้จึงเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การถามว่า "ทำไมต้องลงทุน" เพราะคำว่า "ลงทุน" อาจจะไม่ได้เป็นดังที่ผู้อ่านคิดไว้เสมอไป บางคนอาจจะเข้ามาในตลาดหุ้นที่สามารถทำกำไรจากส่วนต่างราคาได้มากมายกว่าที่ผู้เขียนกล่าวไว้มากนัก  แต่พอต้องเจอกับช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติกับตลาด ถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลยทีเดียว นั่นไม่ใช่เพราะว่าตลาดมันยาก หรือว่าตลาดมันมีความผันผวนซับซ้อนจนยากจะเข้าใจ  แต่มันเป็นเพราะว่ามุมมองและสิ่งที่เราคาดหวังจากตลาดนั้นแตกต่างกันระหว่างการลงทุน และธุรกิจ และเช่นกัน คนเราสามารถมีหมวกได้หลายใบ กลางวันบางคนอาจจะเป็นพนักงานออฟฟิศตกเย็นมาก็ไปขายก๋วยเตี๋ยวขณะที่เงินเก็บจากก๋วยเตี๋ยวก็นำมาลงทุนในตลาดหุ้นก็เป็นได้

            สรุปแล้วประเด็นที่ผู้เขียนได้พยายามชี้ให้เห็นคือ ในการทำกิจการอะไรอย่างหนึ่งเราสามารถมองมันได้หลายแง่ ขึ้นอยู่กับเรามองหาและทำความเข้าใจในการเทรดนั้น เราสามารถมองได้ทั้งสองรูปแบบ การซื้อขายหุ้นที่มองในฐานะการลงทุนก็ยังได้ การซื้อขายค่าเงินที่มองในแง่ของธุรกิจก็สามารถทำได้เช่นกัน และแน่นอนว่าผลลัพธ์ของมุมมองทั้งสองนั้นส่งผลแตกต่างกันอย่างชัดเจน ผู้เขียนเคยพบเจอผู้คนในตลาดค่าเงินมาหลายประเภทบางคนเข้ามาในตลาด 1 เดือนแรกโดยไม่มีประสบการณ์ ทำกำไรได้ 50 % ในวันแรกก็คิดว่าตัวเองจะรวย รีบขนเงินมาฝากเพิ่มเสียเต็มประดา ท่านผู้อ่านทั้งหลายไม่ต้องรีบรวย ความรวยนั้นเหมือนกับสัตว์  ยิ่งมันตัวใหญ่มันก็จะยิ่งช้า หากอยากรวยมากก็ต้องใช้เวลานานในการเดินทาง หากมันตัวเล็ก มันก็เดินทางมาด้วยความเร็วมันก็จะอยู่กับท่านเพียงไม่นานเช่นกันและที่สำคัญท่านต้องมีมุมมองที่ถูกต้องในตลาดด้วย

อ้างอิง : Kiyosaki, R.T. and S.L. Lechter (2001) Richdad , Guide to investing :What the rich invest In,that the poor and middle Class do not!Business Plus