กองทุน SPDR GOLD SHARES
ถือทองก่อนหน้า
ถือทองล่าสุด
0.00
*หน่วยตัน / ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ
สถิติกองทุน SPDR
ราคาทองคำแท่ง 96.5%
ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ
ครั้งที่
ราคาก่อนหน้า
ราคาล่าสุด
0
(หน่วย บาท*) / อัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2566 เวลา 13:04 น.
สถิติราคาทองคำ ไทย

How The Economic Machine Works by Ray Dalio "สำรวจกลไกการทำงานของเศรษฐกิจ" Part 1

  • 0 replies
  • 623 views
*

admin

  • 80,650
How The Economic Machine Works by Ray Dalio
"สำรวจกลไกการทำงานของเศรษฐกิจ"
Part 1



เรย์ ดาลิโอ เปรียบการทำงานของระบบเศรษฐกิจว่าเหมือนเครื่องจักรทั่วไป แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่เข้าใจและไม่รู้ว่ามันทำงานอย่างไร จนนำไปสู่สาเหตุของการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมาหลายครั้ง

1.   เศรษฐกิจเกิดจากการทำธุรกรรม

เศรษฐกิจคือผลรวมของการทำธุรกรรม และเราเป็นผู้ทำให้มันเกิดขึ้นตลอดเวลาโดยเมื่อผู้ซื้อให้เงินหรือเครดิตกับผู้ขายเพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือบริการ

เครดิตสามารถถูกใช้จ่ายได้เหมือนเงิน และหากเรารวมยอดเงินกับเครดิตที่ใช้ไปก็จะได้ยอดการใช้จ่ายรวม ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และหากนำยอดการใช้จ่ายรวมมาหารด้วยจำนวนสิ่งที่ขายไปทั้งหมดก็จะได้ออกมาเป็น "ราคา"



เมื่อผู้ซื้อและผู้ขายมารวมตัวกันเพื่อทำธุรกรรมในสินค้าชนิดเดียวกันเป็นจำนวนมากก็จะเกิดเป็น "ตลาด" ขึ้นมา เช่น ตลาดข้าว, ตลาดรถยนต์ และตลาดหุ้น ซึ่งเศรษฐกิจก็จะประกอบไปด้วยธุรกรรมทั้งหมดที่มาจากตลาดทั้งหมดที่มีอยู่

ภาคครัวเรือน, ภาคธุรกิจ, ภาคธนาคาร และภาครัฐ ต่างก็มีส่วนเกี่ยวพันกับธุรกรรมในแง่มุมต่าง ๆ จากการแลกเปลี่ยนเงินและเครดิตไปกับสินค้า, บริการ และสินทรัพย์ทางการเงิน

ภาครัฐถือเป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขายรายใหญ่สุดที่ประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ได้แก่ รัฐบาลกลางที่คอยเก็บภาษีและเป็นผู้ใช้จ่าย และธนาคารกลางที่ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมเงินและเครดิตทั้งหมดในเศรษฐกิจ ทั้งยังเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยและพิมพ์เงินเพิ่มเติม



2.   เครดิตคืออะไร

เครดิตถือเป็นส่วนที่สำคัญสุดของเศรษฐกิจและน้อยคนที่จะเข้าใจมัน เหตุผลที่เราควรให้ความสำคัญกับเครดิตมากที่สุดเพราะมันเป็นองค์ประกอบที่ใหญ่สุดและมีความผันผวนมากที่สุด

เครดิตเกิดขึ้นจากการมีผู้ยืมและผู้ให้ยืม โดยที่ผู้ยืมต้องการให้เงินนั้นงอกเงยขึ้น ในขณะที่ผู้ยืมก็หวังจะนำเงินเหล่านั้นไปหาซื้อสิ่งที่ต้องการ เช่น บ้านหรือรถยนต์ หรือนำไปลงทุน เช่น เริ่มสร้างธุรกิจของตนเอง

ผู้ยืมมีภาระผูกพันในการชำระคืนส่วนดั้งเดิมที่ยืมมาหรือ "เงินต้น" บวกกับส่วนที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมหรือ "ดอกเบี้ย" โดยปกติเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ผู้คนก็จะยืมน้อยลงเพราะค่าใช้จ่ายรวมสูงขึ้น และกลับกันเมื่อดอกเบี้ยต่ำ ผู้คนก็จะหันมายืมกันมากขึ้นเพราะค่าใช้จ่ายถูกลง




แม้การสร้างเครดิตอาจดูเป็นเรื่องง่ายหลังการตกลงกันระหว่าง 2 ฝ่าย แต่มันก็มีความซับซ้อนนิดหน่อยจากชื่อหรือสถานะของมัน โดยหลักจากเครดิตเกิดขึ้นมันจะถูกเปลี่ยนให้เป็น "หนี้" ที่กลายเป็น "สินทรัพย์" ของผู้ให้ยืมและกลายเป็น "หนี้สิน" สำหรับผู้ยืม

ในอนาคตหากผู้ยืมนำเงินต้นและดอกเบี้ยไปจ่ายคืนแก่ผู้ให้ยืม ความเป็นสินทรัพย์และหนี้สินของทั้ง 2 ฝ่ายก็จะหายไป และการทำธุรกรรมนั้นก็จะ "ถูกชำระ"

เหตุผลที่ทำให้เครดิตมีความสำคัญมาก เพราะเมื่อผู้ยืมได้รับเครดิตมาก็จะทำให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และเงินจำนวนนั้นก็จะส่งต่อไปเป็นรายรับของคนอื่น ซึ่งกลายเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ



จากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจนส่งผลต่อรายรับของใครบางคนที่สูงขึ้น ก็จะทำให้ผู้ให้ยืมเต็มใจที่จะให้คนเหล่านั้นยืมเงินได้มากขึ้นตาม "ความน่าเชื่อถือทางการเงิน" ที่เพิ่มขึ้น

ผู้ยืมที่มีความน่าเชื่อถือทางการเงินจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก คือความสามารถในการชำระคืนซึ่งมีความสัมพันธ์กับรายรับที่สูงขึ้น และหลักประกันซึ่งหมายถึงสินทรัพย์มีค่าที่พร้อมจะถูกขายออกไปเพื่อใช้ชดเชยในกรณีที่เขาไม่สามารถชำระหนี้คืนได้

3.   ผลิตภาพสำคัญไฉน

จากการใช้จ่ายของผู้คนที่กลายเป็นรายรับของอีกคนและทำให้เกิดการกู้ยืมเพิ่มขึ้น รูปแบบที่มีการเสริมแรงตนเองเช่นนี้จะนำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจ และทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "วัฏจักร"



ในการทำธุรกรรมคุณต้องแลกเปลี่ยนบางสิ่งเพื่อให้ได้บางสิ่งกลับคืนมา และจำนวนที่เราได้รับก็ขึ้นอยู่จำนวนที่เราผลิตขึ้นมา ด้วยการเรียนรู้ที่มากขึ้นตามกาลเวลาก็ช่วยยกระดับของมาตรฐานการครองชีพตามหลักการที่เรียกว่า "การเติบโตของผลิตภาพ"

ผู้ที่สามารถคิดค้นสิ่งใหม่หรือผู้ที่ทำงานหนักก็จะสามารถเพิ่มผลผลิตและยกมาตรฐานการครองชีพของตนเองได้เร็วกว่าผู้ที่ขี้เกียจ แต่มันจะเห็นผลได้ชัดเจนในระยะยาว ในขณะที่เครดิตจะส่งผลมากที่สุดได้ในช่วงเวลาระยะสั้น

เพราะโดยส่วนใหญ่ผลิตภาพไม่ได้ส่งผลต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจเท่ากับหนี้ เนื่องจากหนี้จะทำให้เราใช้จ่ายมากกว่าผลิตในตอนที่เราอยากได้สิ่งต่าง ๆ และทำให้เราใช้จ่ายน้อยกว่าที่ผลิตในตอนที่เราต้องชำระหนี้



วงจรของหนี้มีอยู่ 2 รูปแบบหลักคือวงจรระยะสั้นในช่วงเวลา 5-8 ปีและวงจรระยะยาวในช่วงเวลา 75-100 ปี ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักมองไม่เห็นวงจรนี้จากการเฝ้ามองในระยะใกล้ชิดเกินไป แบบวันต่อวัน หรือสัปดาห์ต่อสัปดาห์

ให้ลองจินตนาการถึงสภาพเศรษฐกิจที่ไม่มีเครดิต ทางเดียวที่จะเพิ่มการใช้จ่ายก็คือต้องเพิ่มรายรับที่เข้ามา นั่นจึงส่งผลให้ต้องมีการทำงานมากขึ้นเนื่องจากการใช้จ่ายของคนหนึ่งก็คือรายรับของอีกคนหนึ่ง

เศรษฐกิจจะเติบโตขึ้นทุกครั้งเมื่อมีใครเพิ่มผลผลิตมากขึ้น ซึ่งหากการทำธุรกรรมทั้งหมดเดินตามรอยแนวทางดังกล่าว เราก็ได้จะเห็นแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นไปตามรูปแบบการเติบโตของผลิตภาพ



แต่เนื่องจากเรามีการกู้ยืมเราจึงมีวัฏจักร ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากผลทางกฎหมายหรือนโยบาย แต่เกิดจากพฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์และกลไกการทำงานของเครดิต

การที่เราจะซื้อบางสิ่งที่เอื้อมไม่ถึงจำเป็นที่จะต้องใช้เงินมากกว่าที่หามาได้ในปัจจุบัน เราจึงต้องยืมเงินตัวเองจากอนาคต พร้อมกับสร้างข้อผูกมัดให้กับตนเองว่าจะใช้เงินน้อยกว่าที่หามาได้ในภายหน้าเพื่อมาใช้หนี้

โดยพื้นฐานแล้วเมื่อมีการกู้ยืมก็จะเกิดวงจรขึ้น นั่นจึงทำให้เราควรทำความเข้าใจเครดิต เพราะมันเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลไกที่สามารถคาดเดาถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้



นี่ยังทำให้เครดิตแตกต่างจากเงิน เพราะเงินคือสิ่งที่เราใช้ชำระการทำธุรกรรม เปรียบกับการที่เราซื้อเบียร์จากบาร์เทนเดอร์ด้วยเงินสดที่การทำธุรกรรมจะถูกชำระในทันที แต่หากเราซื้อเบียร์ด้วยเครดิตก็เหมือนกับการที่เราได้ดื่มก่อนแล้วค่อยจ่ายทีหลัง

ในความเป็นจริงเงินที่คนส่วนใหญ่ใช้กันอยู่แท้จริงแล้วมันก็คือเครดิต ยอดรวมของเครดิตในสหรัฐฯอยู่ที่ประมาณ $50 ล้านล้าน ในขณะที่ยอดรวมของเงินมีอยู่เพียงแค่ $3 ล้านล้าน

ดังนั้นเศรษฐกิจที่มีเครดิตจะช่วยให้เราใช้จ่ายได้มากขึ้นด้วยการกู้ยืม ซึ่งเป็นผลทำให้รายรับขยับตัวสูงขึ้นกว่าปัจจัยด้านผลิตผลในระยะสั้น แต่ไม่ใช่กับในระยะยาว



How The Economic Machine Works by Ray Dalio

"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"