3 กลยุทธ์การเทรดคู่เงินที่ดีที่สุด เทรดง่าย ได้กำไรจริง!กลยุทธ์ในการเทรดคู่เงิน Forex เป็นเทคนิคที่เทรดเดอร์ใช้ในการหาจังหวะที่ดีที่สุดในการซื้อหรือขายคู่เงินต่างๆ โดยนักเทรดแต่ละท่านอาจมีกลยุทธ์ในการทำกำไรที่แตกต่างกัน แล้วแต่ว่าใครจะถนัดใช้อินดิเคเตอร์เชิงเทคนิคประเภทไหน และให้ความสำคัญกับข่าวปัจจัยพื้นฐานใดเป็นหลัก แต่การวางกลยุทธ์ไว้ก่อนล่วงหน้าก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเทรดให้ประสบความสำเร็จและได้กำไรตามที่ตั้งใจ รวมถึงสามารถเตรียมความพร้อมในการรับมือและจัดการความเสี่ยงในตลาดได้
บทความวันนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับกลยุทธ์เด็ดในการเทรดพิชิตกำไร รวมถึงข้อดี-ข้อเสียของแต่ละกลยุทธ์, องค์ประกอบของกลยุทธ์ต่างๆ อย่างละเอียด และปัจจัยสำคัญทุกอย่างในการวางกลยุทธ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในหมู่นักเทรดมือใหม่ไปจนถึงนักเทรดมืออาชีพ
ปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในการวางกลยุทธ์การเทรดต้องบอกว่าการเทรดคู่เงิน Forex มีองค์ประกอบหลายอย่างที่นักเทรดจะต้องพิจารณาและไตร่ตรองให้ดี เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าเทคนิคการเทรด Forex มีหลายแบบ หลายวิธี แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือนักเทรดจะต้องเลือกเทคนิคหรือสไตล์การเทรดที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุดตามเป้าหมายการลงทุนของท่าน ด้วยเหตุนี้เองทำให้ท่านต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญต่างๆ ในการเลือกกลยุทธ์การเทรด ได้แก่:
- ระยะเวลาในการเทรด และเครื่องมือต่างๆ ที่ต้องใช้ประกอบการเทรด
- มีโอกาสหรือจังหวะดีๆ ในการเทรดเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน
- เส้นทางในการพิชิตกำไรตามเป้า
ที่สำคัญมากๆ คือ ท่านต้องไม่ลืมที่จะทำความเข้าใจความเสี่ยงในการเทรด และลองคำนวณ "อัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง" หรือ "Risk-Reward ratio" ให้ดี เพราะต้องยอมรับว่าการเทรดแต่ละครั้งก็มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป โดยนักเทรดจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวได้เช่นกัน
หากท่านชอบเทรดสั้นๆ แต่เน้นเทรดถี่ๆ เช่น
กลยุทธ์ Scalping ท่านจะต้องใช้เวลาในการเทรดและเครื่องมือประกอบการเทรดมากพอสมควร
เอาล่ะครับ มาลองดูกันดีกว่าว่ามีเทคนิคการเทรดคู่เงินแบบใดบ้างที่เหมาะกับนักเทรดมือใหม่มากที่สุด
#1 กลยุทธ์การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action Strategy)เทคนิคนี้จะอาศัยข้อมูลราคาย้อนหลังเป็นหลัก และมีการนำเครื่องมือทางเทคนิคต่างๆ มาปรับใช้ร่วมด้วย โดยท่านอาจนำกลยุทธ์นี้ไปใช้แบบเดี่ยวๆ หรือจะใช้ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ ร่วมกับ
ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค หลายๆ แบบก็ได้เช่นกัน
หากท่านไม่ถนัดที่จะเรียนรู้หรือศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้หนักสมอง กลยุทธ์การเทรดตามพฤติกรรมราคาก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากไม่ต้องคอยติดตามข่าวปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ก็สามารถเทรดได้ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ เราขอแนะนำให้นักเทรดทำความคุ้นเคยกับปัจจัยต่างๆ ในตลาด,
ข้อมูลการวิเคราะห์ตลาด และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ทางในเศรษฐกิจที่จะมีผลต่อตลาดต่อไป ซึ่งจะช่วยให้ท่านเข้าใจพฤติกรรมของตลาดได้ดียิ่งขึ้น
ลักษณะของกลยุทธ์นี้:
- ระยะการเทรด – กลยุทธ์นี้ใช้ได้กับการเทรดทั้งระยะสั้น (Short term) ระยะกลาง (Medium term) ไปจนถึงระยะยาว (Long term) ทำให้กลยุทธ์นี้เหมาะกับสไตล์การเทรดหลายๆ แบบ
- จุดเข้า/ออก – นักเทรดจะต้องวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านในการหาจุดเข้าและจุดออก โดยใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคต่างๆ เช่น ฟีโบนักชี (Fibonacci retracement), กราฟแท่งเทียน และเครื่องมือ Oscillators เป็นต้น
#2. กลยุทธ์การเทรดตามกรอบราคา (Range Trading Strategy)ในการใช้กลยุทธ์นี้ เทรดเดอร์จะต้องหาแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจน เนื่องจากจะต้องวางเทคนิคในการเทรดตามราคาที่แกว่งตัวในกรอบแนวรับ-แนวต้านเหล่านั้น โดยกลยุทธ์นี้เหมาะนำไปใช้ในช่วงที่ตลาดมีเทรนด์ที่พอสังเกตุเห็นได้ และตลาดมีความผันผวนต่ำ นั่นหมายความว่าท่านจะต้องมีการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคให้ดี
ลักษณะของกลยุทธ์นี้:
- ระยะการเทรด – กลยุทธ์การเทรดตามกรอบราคาอาจไม่สามารถบ่งบอกระยะเวลาการเทรดได้ชัดเจน พูดง่ายๆ ก็คือสามารถใช้ได้กับหลายๆ กรอบเวลา ซึ่งก็ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการเทรดได้ อย่างไรก็ตาม นักเทรดจะต้องจัดการความเสี่ยงในการเทรดให้ดี หากราคามีการวิ่งทะลุกรอบราคาที่ท่านกำหนด
- จุดเข้า/ออก – ในการหาจุดเข้า-ออก เทรดเดอร์จะต้องใช้เครื่องมือต่างๆ ที่มีระยะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็คือเครื่องมือ Oscillator เช่น RSI และ CCA นั่นเองครับ
กลยุทธ์การเทรดตามกรอบราคา มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนี้:
ข้อดี:
- มีจังหวะหรือโอกาสในการเทรดเยอะมากๆ
- มีอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดี
ข้อเสีย:
- อาจต้องอาศัยการเทรดระยะยาว
- ทิศทางการเทรดขึ้นอยู่กับการเลือกใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
#3. กลยุทธ์การเทรดตามเทรนด์ (Trend Trading Strategy)กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ง่ายและซับซ้อนน้อยที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นกลยุทธ์ที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เลือกใช้ ไม่ว่าจะมีประสบการณ์ในตลาดมากน้อยแค่ไหนก็ใช้ได้ โดยสิ่งสำคัญคือนักเทรดจะต้องศึกษารูปแบบความเคลื่อนไหวในตลาด, ทิศทางโมเมนตัมตลาด และหาตำแหน่งในการตั้งออเดอร์ซื้อขาย พูดง่ายๆ ก็คือท่านจะต้องติดตามทิศทางของเทรนด์ให้ดีนั่นเอง
ลักษณะของกลยุทธ์นี้:
- ระยะการเทรด – กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับการเทรดระยะกลางและระยะยาว แต่ท่านสามารถนำไปใช้กับการเทรดในกรอบเวลาสั้นๆ ก็ได้เช่นกัน ยังไงก็ลองพิจารณาดูความผันผวนของเทรนด์ให้ดีๆ นะครับ
- จุดเข้า/ออก – นักเทรดจะต้องใช้เครื่องมือ Oscillator ในการหาจังหวะที่ดีที่สุดในการเข้าออเดอร์ และอาศัยหลักการคำนวณอัตราส่วน Risk-Reward ratio ในการคำนวณผลตอบแทนที่คุ้มค่าเพื่อกำหนดเป้าในการทำกำไร
จริงอยู่ว่ากลยุทธ์นี้นำไปใช้เทรดได้ไม่ยาก แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียบางอย่างที่เทรดเดอร์ควรศึกษาให้ดี
ข้อดี:
- มีจังหวะและโอกาสในการเทรดทำกำไรมาก
- มีอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่คุ้มค่า
ข้อเสีย:
- เหมาะสำหรับการเทรดระยะยาวเป็นหลัก
- ต้องมีความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค
ไม่ว่าท่านจะเลือกเทรดคู่เงินโดยใช้กลยุทธ์การเทรดแบบใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือท่านจะต้องไตร่ตรองดูให้ดีว่ากลยุทธ์นั้นๆ เหมาะกับสไตล์การเทรดของท่านมากน้อยแค่ไหน ที่พลาดไม่ได้คืออย่าลืมประเมินความเสี่ยงในการเทรด และอย่าลืมนำเทคนิคหลายๆ แบบมาปรับใช้ร่วมกัน พร้อมศึกษาเครื่องมือประกอบการเทรด, อินดิเคเตอร์เชิงเทคนิค, ติดตามข่าวปัจจัยพื้นฐานต่างๆ และใช้เครื่องมือจัดการความเสี่ยง เพื่อเพิ่มโอกาสในการเทรดให้ประสบความสำเร็จ
บทความนี้ไม่มีและไม่ควรถูกพิจารณาว่ามีคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านการลงทุน รวมถึงข้อเสนอหรือการชักชวนในการทำธุรกรรมใดๆ ในตราสารทางการเงิน ทั้งนี้ นักลงทุนควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน