"Dow Theory" คืออะไร? สอนวิธีเทรดด้วยทฤษฎีดาวแบบง่ายๆทฤษฎีดาว (Dow Theory) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือเทรดที่นักเทรดยังคงใช้ในการ
วิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค ในปัจจุบัน โดยเมื่อนำทฤษฎีนี้ไปใช้ร่วมกับกราฟราคา ท่านก็จะเข้าใจมุมมองภาพรวมต่างๆ ของตลาดอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มราคาหรือความเคลื่อนไหวในตลาด
แม้ว่าทุกวันนี้นักเทรดสายเทคนิคจะมีวิธีการหรือเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ตลาดประกอบการตัดสินใจในการเทรดแบบที่แตกต่างไปจากในอดีต แต่รู้ไหมว่าทฤษฎีวิเคราะห์การเทรดที่มีการคิดค้นและใช้กันเมื่อนานมาแล้ว ยังคงมีประโยชน์และใช้เทรดได้จริงในปัจจุบัน หนึ่งในนั้นก็คือ Dow Theory นั่นเองครับ ในบทความวันนี้เราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับทุกสิ่งที่ท่านควรรู้เกี่ยวกับทฤษฏีดาว พร้อมวิธีการเทรดด้วยทฤษฎีนี้
จุดเริ่มต้นของ Dow Theoryทฤษฎี Dow ถูกคิดค้นขึ้นโดยนาย Charles Dow ระหว่างที่เขากำลังศึกษาและเรียบเรียงงานเขียนเกี่ยวกับการเทรดในปี 1900 อย่างไรก็ตาม นาย Dow ได้เสียชีวิตลงก่อนที่ทฤษฎีนี้จะสำเร็จ ทำให้ทฤษฎีดังกล่าวตกมาอยู่ในมือของนาย Robert Rhea ที่ได้พัฒนาต่อและนำมาใช้กันทั่วไปในปี 1932
อธิบายเกี่ยวกับทฤษฎี Dowว่าแต่ Dow Theory คืออะไร? และทฤษฎีนี้มีหลักการอย่างไร? มาเริ่มกันเลยครับ! ทฤษฎี Dow ทำให้นักลงทุนทราบว่าจะนำตลาดหุ้นมาวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ทางเศรษฐกิจอย่างไร เช่น การคาดการณ์ภาวะธุรกิจ เป็นต้น เรียกได้ว่าทฤษฎี Dow เป็นทฤษฎีแรกๆ ที่อธิบายความเคลื่อนไหวของตลาดเป็นเทรนด์ โดยถึงแม้ทฤษฎีนี้จะถูกคิดค้นขึ้นมาเนิ่นนานในอดีต แต่ก็ยังมีผลสำคัญต่อมุมมองต่างๆ ในปัจจุบัน ดังนี้:
1. ตลาดหุ้นสะท้อนภาพข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆหลักการนี้เข้าใจไม่ยากเลยครับ ท่านสามารถคาดการณ์ข่าวและข้อมูลสำคัญต่างๆ จากความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้น สิ่งสำคัญคือท่านจะต้องติดตามตัวเลขดัชนีตลาดหรือราคาหุ้นให้ดี เนื่องจากตัวเลขเหล่านั้นจะบ่งบอกได้ถึงผลประกอบการของบริษัท, การเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ, ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และอื่นๆ อีกมากมาย
2. เทรนด์ตลาดที่สำคัญ 3 แบบอย่างที่เราทราบกันดีว่าตลาดนั้นเคลื่อนไหวแบบมีเทรนด์ โดยเทรนด์สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่:
- เทรนด์ใหญ่ (Primary or Major trend) ซึ่งเป็นเทรนด์ที่บ่งบอกความเคลื่อนไหวของตลาดในระยะยาว (อาจเป็นระยะเวลาหลายปี)
- เทรนด์รอง (Secondary trend) เป็นเทรนด์ที่ตรงกันข้ามกับเทรนด์ใหญ่ คือ ถ้าหากเทรนด์ใหญ่เป็นเทรนด์ขาขึ้น (Bullish) เทรนด์กลางก็จะเป็นเทรนด์ขาลง (Bearish)
- เทรนด์เล็ก (Minor trend) จะเป็นเทรนด์ที่มีความผันผวน โดยเทรนด์ลักษณะนี้จะมีระยะเวลาตั้งแต่ไม่กี่วันไปจนถึงหลายสัปดาห์
3. ระยะเทรนด์แบ่งเป็น 3 ช่วงหลักๆตามทฤษฎี Dow เราสามารถแบ่งเทรนด์ออกเป็น 3 ระยะหลักๆ ดังนี้:
ช่วงสะสมหุ้น (Accumulation phase) เป็นช่วงที่เทรดเดอร์กำลังเข้าตลาดเพื่อเปิดคำสั่งซื้อขาย
ช่วงมหาชนมีส่วนร่วม (Public participation) เป็นช่วงที่ตลาดมีความเชื่อมั่นและมีนักลงทุนให้ความสนใจมาลงทุนมากขึ้น
ช่วงตื่นตระหนก (Panic phase) เป็นช่วงที่ตลาดอยู่ในสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ซึ่งมีนักลงทุนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก (มีการเก็งกำไรเพิ่มมากขึ้น)
4. ดัชนีตลาดทั้งหมดมีความสอดคล้องกันทฤษฎี Dow ยืนยันว่าดัชนีตลาดทั้งหมดมีความสัมพันธ์กันและสะท้อนภาพรวมของตลาดแบบเดียวกัน โดยหากดัชนีตัวใดตัวหนึ่งอยู่ในขาขึ้น (ตัวอย่างเช่น Sensex) ดัชนีอื่นๆ ก็จะอยู่ในเกณฑ์บวกเช่นกัน
5. วอลุ่มเป็นตัวยืนยันเทรนด์ปริมาณการซื้อขายในตลาด (วอลุ่ม) มีผลต่อความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้น โดยวอลุ่มการซื้อขายที่สูงในช่วง Uptrend ส่งผลให้ราคาปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
6. เทรนด์ยังคงดำเนินต่อจนกว่าจะมีสัญญาณหยุดท่านจะต้องระลึกไว้เสมอว่าเทรนด์จะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าท่านจะเห็นสัญญาณว่าเทรนด์นั้นอาจมาถึงจุดสิ้นสุด พูดง่ายๆ ก็คือท่านควรมองข้ามสัญญาณรบกวน (Noise) ในตลาด และตัดสินใจเทรดตามการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคของตลาดอย่างละเอียด
สรุปสั้นๆ เกี่ยวกับ Dow TheoryDow Theory เป็นทฤษฎีที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว แต่นักลงทุนก็ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันเนื่องจากทฤษฎีนี้ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพความเคลื่อนไหวในตลาดได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ท่านควรทำความเข้าใจทฤษฎี Dow อย่างละเอียดเพื่อติดตามเทรนด์ของตลาดอย่างรวดเร็วและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ
บทความนี้ไม่มีและไม่ควรถูกพิจารณาว่ามีคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านการลงทุน รวมถึงข้อเสนอหรือการชักชวนในการทำธุรกรรมใดๆ ในตราสารทางการเงิน ทั้งนี้ นักลงทุนควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน