กองทุน SPDR GOLD SHARES
ถือทองก่อนหน้า
ถือทองล่าสุด
0.00
*หน่วยตัน / ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ
สถิติกองทุน SPDR
ราคาทองคำแท่ง 96.5%
ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ
ครั้งที่
ราคาก่อนหน้า
ราคาล่าสุด
0
(หน่วย บาท*) / อัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2566 เวลา 13:04 น.
สถิติราคาทองคำ ไทย

👽👽👽 EUR/USD FOREX ศุกร์ 11 กันยายน 2563 วันศุกร์ ก็ไม่หวั่นขึ้นยานบินต่อไป 🛸🛸🛸

  • 49 replies
  • 9,726 views
อ้างจาก: admin ที่ 12, กันยายน  2020, 01:00:25 PM
อ้างจาก: forcebewithyou ที่ 12, กันยายน  2020, 12:36:29 PM

แอดครับ โปรโม XM 100% bonus ต้องฝากทีเดียว $500 หรือสามารถแบ่งได้ทีละ $100 จนครบ 500 ครับ ผมจะแบ่งพอรตครับท่าน


ฝากทีเดียว 500$ ได้ครับ

จากนั้น ท่านเปิด พอร์ต XM เพิ่ม สามารถ โอนภายใน ไปเล่น แบบ แบ่ง ทีละ พอร์ต ได้ครับ โบนัส จะตามไปเป็นสัดส่วน ครับท่าน

เช่น ฝาก 500$ ได้ โบนัส 500$ รวมเป็น 1000$

โอนภายในไป 100$ โบนัส จะตามไป พอรต ใหม่ 100$ เป็น 200$ ครับผม
และจะเหลือในพอรตเดิม 400+400 ครับ รวมเป็น 800

จะเอาไปจัด sniper หรือ ทำอะไรก็ ตามแผนการเทรดเลย ครับ
**Hea** **Hea**

ok เข้าใจแล้วครับ

ขอบคุณมากครับท่าน

*

PoNgPk

  • 6,073
(Sep 12) ทำไม 'คนจีน' ถึงอยากให้ 'ทรัมป์' อยู่ต่ออีก 4 ปี : วิเคราะห์สถานการณ์ช่วงท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายน สำหรับมุมมองของจีนแล้ว ทำไมถึงอยากให้ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิดีต่อ ทั้งที่ผ่านมาจีนต้องเผชิญสงครามการค้าจากนโยบายของทรัมป์ ขณะเดียวกันไม่ค่อยต้อนรับไบเดนเท่าไรนัก

หากมองย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 ตอนเลือกตั้งประธานาธิบดีระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับฮิลลารี คลินตัน รัฐบาลจีนได้เตรียมแผนรับมือกับทางฮิลลารีไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะเขาคาดการณ์ว่าฮิลลารีจะชนะ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

เมื่อผ่านไป 4 ปี หลังจากเขาได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ทรัมป์ได้เปิดศึกสงครามการค้ากับทางจีนมาโดยตลอด นี่ยังไม่รวมถึงการตัดขาฝั่งจีนหลายๆ อย่าง ทั้งการแบนแอพ TikTok กับ WeChat ในตอนนี้ที่สหรัฐและการแบนบริษัทสมาร์ทโฟนของจีนอย่างหัวเว่ย ซึ่งได้สร้างความบาดหมางระหว่างจีนกับสหรัฐเป็นอย่างมาก

ยิ่งล่าสุดในการบีบให้ TikTok ต้องขายแอพในภูมิภาคอเมริกาเหนือให้กับบริษัทที่สหรัฐ จนทำให้ทาง CEO ที่เพิ่งแต่งตั้งล่าสุดของ TikTok อย่างเควิน เมเยอร์ ต้องลาออกแบบฟ้าผ่า ทั้งที่เพิ่งแต่งตั้งได้เพียงไม่ถึง 3 เดือนด้วยซ้ำ

กลับมาที่มุมมองของคนจีนกันบ้างนะครับ สมัยก่อนคนจีนเองอาจจะไม่ชอบรัฐบาลตัวเองที่กีดกันบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Facebook กับ Google เข้ามาทำตลาดในประเทศจีน แต่หลังจากที่ทรัมป์ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เขาได้ทำให้หลายๆ ประเทศในฝั่งตะวันตกรู้สึกกังขาและผิดหวังกับสิ่งที่สหรัฐทำมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สัมพันธภาพกับฝั่งตะวันตกลดลง และทรัมป์เองก็ไม่ได้เพิ่มสัมพันธภาพกับประเทศพันมิตรในแทบเอเชียอย่างเกาหลีกับญี่ปุ่นอีกด้วย

สิ่งที่รัฐบาลของทรัมป์ทำยังทำให้ทั้งโลกสงสัยว่าทรัมป์เป็นผู้นำที่เหมาะสมกับทางสหรัฐหรือไม่ ตั้งแต่การถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลกกลางคันในช่วงที่องค์การจำเป็นที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือและเยียวยามากที่สุด การที่เขาถอนตัวออกจาก Trans-Pacific Partnership ทำให้สัมพันธภาพกับประเทศในแปซิฟิกลดลง อย่างออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ การที่เขาข่มขู่ผู้นำฝั่งยุโรปเป็นการส่วนตัวจากทั้งการให้ตอบคำถามจากสื่อมวลชน และการที่เขาได้ทวีตส่วนตัวของเขา หรือการวิพากษ์วิจารณ์ NATO

สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบกับสหรัฐมากกว่าที่เกิดขึ้นกับจีน และเขาได้สร้างความเกลียดชังในหมู่คนจีนมากยิ่งขึ้น ทำให้คนทั้งประเทศจีนผนึกกำลังกันเพื่อต่อต้านสหรัฐ คนจึงชอบรัฐบาลของสี จิ้นผิง มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเขาคิดว่ามันทำให้จีนมีอำนาจในการต่อรองกับฝั่งตะวันตกมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนั่นทำให้จีนเริ่มมีช่องทางในยุโรปมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้ประเทศจีนมีอิทธิพลเหนือทวีปแอฟริกาและเอเชียอยู่แล้วด้วย

ดังนั้น หลายๆ คนจึงอยากได้ทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดีต่ออีก 4 ปี เพราะว่ามันอาจจะทำให้จีนมีอิทธิพลกับโลกได้มากยิ่งขึ้น และเผลอๆ อาจจะทำให้จีนชนะสงครามเย็นในครั้งนี้ได้ด้วยซ้ำ

แต่ถ้าโจ ไบเดน ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เขาอาจจะผนึกกำลังกับทางฝั่งยุโรปมากขึ้นเพื่อมาต่อกรกับประเทศจีน จะทำให้จีนลำบากมากขึ้นในการเป็นผู้นำของโลกในอนาคต เพราะตั้งแต่ที่ไบเดนได้ขึ้นมาเป็นผู้สมัครชิงประธานาธิบดี เขาได้ต่อกรกับทางรัฐบาลจีนและสี จิ้นผิงมากขึ้น โดยเริ่มจากเรียกการกระทำของสี จิ้นผิง ว่าเหมือน "นักเลง" กับสิ่งที่สีได้ทำกับชาวฮ่องกง และการจับขังชาวอุยกูร์เป็นจำนวนมากที่ฝั่งตะวันตกของเขตปกครองตนเองในมณฑลซินเจียง

ฝั่งเดโมแครตที่เป็นพรรคของไบเดน ได้ส่งเสริมให้ร่างกฎหมายใหม่กับทางฮ่องกง และส่งกองกำลังทหารมาช่วยเหลือไต้หวันอีกด้วย ทำให้ลดความได้เปรียบของทางประเทศจีนลง แต่ข้อดีของทางไบเดน ถ้าเขาได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เราอาจเห็นสหรัฐกลับเข้าสู่ความตกลงปารีส (Paris Agreement) การทำให้องค์การการค้าโลกเสมอภาคมากยิ่งขึ้น และการอาจจะกลับเข้าไปเข้าร่วม Trans-Pacific Partnership (TPP) ที่ตอนนี้ที่ไทยเข้าร่วมชื่อใหม่ที่ชื่อว่า CPTPP โลกในอนาคตอาจจะไม่หม่นหมองเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็เป็นได้

อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คนจีนอยากได้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีอีก 4 ปีคือ รัฐบาลจีนมองว่าตัวทรัมป์เอง "อ่านง่าย" จากการที่เขาชอบเปิดเผยความคิดของเขาในทวิตเตอร์ จึงทำให้ง่ายต่อการที่ประเทศจีนจะต่อกรกับเขา

ซึ่งในหนังสือล่าสุดของคุณจอห์น โบลตัน ที่เคยเป็นอดีตที่ปรึกษาทางความมั่นคงของทรัมป์ จอห์นบอกว่าตอนทรัมป์ร่วมกินอาหารค่ำกับสี จิ้นผิง ที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ทรัมป์บอกกับสี จิ้นผิง ว่าการสร้างที่กักกันชาวอุยกูร์ในเมืองปักกิ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และตอนที่เกิดการประท้วงที่ฮ่องกงตอนแรกทรัมป์ออกมาชื่นชมความพยายามของชาวฮ่องกงที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของพวกเขา แต่ตอนหลังเขาก็หันมาสนับสนุนรัฐบาลจีนแทน

ซึ่งถ้าเรามองตลอด 4 ปีที่ผ่านมาของทรัมป์ เราจะเห็นว่าเขาเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เกือบตลอดเวลา ซึ่งไม่เหมือนกับโจ ไบเดน ที่มีความชัดเจนกับสิ่งที่เขาจะทำมากกว่าโดนัลด์ ทรัมป์เป็นอย่างมาก ยังไงก็แล้วแต่

อีก 52 วันหลังจากนี้ ไม่ว่าใครจะขึ้นไปเป็นประธานาธิบดีคนถัดไปของสหรัฐ ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐยังไงก็สูงขึ้นอย่างแน่นอน

โดย ทิวัตถ์ ชุติภัทร์ | คอลัมน์ คุยให้...คิด

Source: กรุงเทพธุรกกิจออนไลน์
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,073
(Sep 13) สหรัฐขาดดุลงบประมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์: รัฐบาลวอชิงตันรายงานมูลค่าการขาดดุลในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณปัจจุบัน ว่าอยู่ที่เกือบ 100 ล้านล้านบาท สูงสุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ โดยวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 คือหนึ่งในปัจจจัยสำคัญ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ว่ากระทรวงการคลังของสหรัฐออกรายงานเมื่อวันศุกร์ เรื่องการขาดดุลงบประมาณเป็นมูลค่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 93.8 ล้านล้านบาท ) ในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณปัจจุบัน ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. นี้ ถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

สถิติดังกล่าวทำลายสถิติการขาดดุล 1.37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 42.84 ล้านล้านบาท ) ในช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ 2552 อย่างขาดลอย โดยในช่วงเวลานั้นรัฐบาลวอชิงตันอัดฉีดงบประมาณรักษาสภาพคล่องให้กับภาคการธนาคารและอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง เพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤติการเงินโลกเมื่อช่วงปลายปี 2551

ขณะที่สำนักงบประมาณของสภาคองเกรสประเมินแนวโน้มการขาดดุลของประเทศในปีนี้อาจสูงถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 103.19 ล้านล้านบาท ) เนื่องจากรัฐบาลวอชิงตันยังคงเดินหน้าใช้งบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรส เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทุกระดับและทุกภาคส่วน ซึ่งทรุดหนักจากวิกฤติโรคระบาดโควิด-19

ทั้งนี้ ตลอด 11 เดือนของปีงบประมาณปัจจุบัน หรือระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2562 ถึง 30 ส.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลกลางใช้เงินไปแล้ว 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 187.62 ล้านล้านบาท ) จากจำนวนดังกล่าวราว 1 ใน 3 เป็นงบประมาณสำหรับโครงการช่วยเหลือประชาชนฝ่าฟันวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะผู้ที่ต้องตกงาน และ "ว่างงานระยะยาว" ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 30 ล้านคน หรือประมาณ 20% ของแรงงานในตลาดสหรัฐ.

Source: เดลินิวส์ออนไลน์
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,073
(Sep 12) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) แสดงความกังวลถึความเสี่ยงจากการแข็งค่าของเงินยูโรที่อาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อยูโรโซนยังคงอยู่ในระดับต่ำ : นาย Philip Lane - Executive Board member และ Chief Economist ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึง นาย Francois Villeroy de Galhau ผู้ว่าการธนาคารกลางฝรั่งเศส และ Governing Council member ของ ECB ได้กล่าวแสดงความกังวลในทิศทางเดียวกันถึง ความเสี่ยงจากการแข็งค่าของเงินยูโรที่อาจส่งผลกระทบต่อแรงกดดันด้านราคา และอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อยูโรโซนยังคงอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ นาง Isabel Schnabel - Executive Board member ของ ECB อีกท่าน กล่าวเตือนว่า ECB ควรระมัดระวังที่จะไม่ขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนจากวิกฤต COVID-19 ซึ่งยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ด้วยการถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินขนาดใหญ่ที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เร็วเกินไป

นาย Lane กล่าวว่า ตัวเลขเศรษฐกิจยูโรโซนที่จะประกาศออกมาต่อไปจากนี้ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยบ่งชี้ถึงแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB ในระยะต่อไป และมีความเป็นไปได้ที่กลุ่มนักลงทุนในตลาดเงินจะคาดการณ์ถึงการขยายขนาดมาตรการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) วงเงิน 1.35 ล้านล้านยูโร ของ ECB ในเดือน ธ.ค. นี้ ส่วนทางด้าน นาย Villeroy ยังคงย้ำว่า ECB ไม่ได้ดำเนินนโยบายการเงินโดยอิงกับอัตราแลกเปลี่ยน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อและนโยบายการเงิน โดยในช่วงต้นเดือน ก.ย. เงินยูโรได้ปรับแข็งค่าขึ้นไปแตะระดับ 1.20 เทียบดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นระดับที่ ECB เคยแสดงความกังวลในอดีต

ทั้งนี้ ในตอนท้าย นาย Lane และ นาย Villeroy ระบุในทิศทางที่สอดคล้องกันว่า ECB พร้อมจะดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม หากมีความจำเป็น

Source: BOTSS
TRADE RIDER

*

admin

  • 80,416
สวัสดีเช้า วันจันทร์ ครับผม

**Hip** **Hip** **Hip**
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"