การเข้าใจตลาดเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเทรด บทความนี้จะอธิบายเรื่องของการเทรดแบบระยะสั้น - การเทรดแบบระยะสั้นหมายถึงการเปิดเทรดในช่วงเวลาอันสั้น ส่วนมากที่พูดคำว่า short-term trading จะหมายถึงการเปิดออเดอร์และปิดเทรดภายในวันเดียว ไม่มีการถือข้ามวัน  เพราะเทรดเดอร์ส่วนมากเชื่อว่าการเทรดระยะสั้นไม่เสี่ยงมากเกินไป หรือจัดการการสูญเสียได้ดีกว่าเพราะไม่ได้อยู่ในตลาดนาน จริงๆ แล้วการเทรดไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาวล้วนเกี่ยวกับความเสี่ยงทั้งหมด ความเสี่ยงหรือการสูญเสียเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

การเทรดไม่ว่าจะเทรดระยะสั้นหรือระยะยาว ไม่มีการเทรดแบบไหนไม่เสี่ยง แต่แค่อย่างแรกคือการเทรดระยะสั้นเสี่ยงน้อยกว่าเท่านั้นเอง ถ้าเทรดตามสัดส่วนไม่ได้โอเวอร์เทรด เพราะการเทรดแบบระยะสั้นไม่ได้อยู่ในตลาดนาน เน้นหา trade setup แต่ละวันและหาจังหวะที่สัมพันธ์กัน เช่นเรื่องของ volatility ที่ราคาของคู่เงินที่จะเทรดมักจะเกิดช่วงไหน แล้วกำหนดเงื่อนไขการเทรดแบบไม่เกินวัน เลยเป็นการจำกัดความเสี่ยงไปในตัว และไม่ต้องมากังวลถ้าถือออเดอร์ที่เปิดเทรดข้ามวัน เรื่องของ volatility ที่เกิดแต่ละวันไม่เหมือนกัน  การเทรดแบบระยะสั้นถือว่าเป็นการทดสอบความสามารถในการโฟกัส โต้ตอบตลาด ว่าได้ทันจังหวะหรือเปล่าด้วย

กลยุทธ์การเทรดสำหรับการเทรดระยะสั้น


เหมือนกับรูปแบบการเทรดทั่วไป จะมีทั้งการเทรดแบบ technical analysis หรือแบบการเทรดอิงข้อมูลพื้นฐานหรือ fundamental analysis ที่เกี่ยวกับค่าเงินนั้นๆ ดูปัจจัยที่ส่งผลกระทบเช่น ตัวเลขอัตราการจ้างงาน GDP ค่าเงินเฟ้อ หรือพวกอัตราดอกเบี้ย เดี๋ยวนี้พวกข้อมูลพื้นฐานที่กระทบต่อคู่เงินหาดูได้ง่าย เช่นจากเว็บ forexfactory หรือที่แบบเดียวกัน ที่บอกถึงผลกระทบต่อคู่เงินไหนและระดับไหนด้วย เทรดเดอร์สามารถดูย้อนหลังที่ชาร์ตประกอบได้ว่ามีผลกระทบต่อการวิ่งของราคาอย่างไร หรือแม้แต่โบรกเกอร์เองก็มีบริการเสริมให้ลูกค้า ส่วนมากการเทรดระยะสั้นที่ใช้ข้อมูลด้านพื้นฐานเห็นการใช้ประโยชน์จากการที่ volatility เกิดขึ้นตอนมีการประกาศตัวเลขเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานที่กระทบต่อค่าเงิน ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวเร็ว เลยเป็นโอกาสการเทรดระยะสั้นเพราะไม่ต้องถือรอนานและวิ่งเร็วด้วย ยกตัวอย่างคู่เงิน GBPUSD ช่วงวันที่ 2019.12.13-18 เปิดใช้ H1 แล้วใช้ Period separators กำกับเท่ากับการแสดงผลของการเคลื่อนไหวแต่ละวันพอดี เมื่อมองใช้ชาร์ตของ Metatrader 4 และได้มีการคำนวณ pips การเคลื่อนไหวแต่ละวันประกอบ


ยิ่งเมื่อลงมาดูที่ timeframe ย่อยลงมา เช่นที่ M15 จากชาร์ตเดียวกันที่มองจาก H1 ด้านบน ก็จะเห็นโอกาสการเทรดที่เกิดขึ้นมาก แต่อย่างที่บอก การเทรดระยะสั้น ข้อดีคือการจำกัดความเสี่ยงน้อย เพราะกรอบที่ใช้เทรดแต่ละวัน ดูกรอบเป็นวันๆ ไป ยิ่งมีการทำความเข้าใจเรื่องของช่วงเวลาตลาดหรือ market sessions ประกอบ ที่แบ่งออกเป็น 4 ช่วงหลักๆ คือ ช่วงตลาด Sydney (เวลา 05.00-14.00), ช่วงตลาด Tokyo (เวลา 07.00-16.00), ช่วงตลาด London (เวลา 15.00-24.00)และช่วงตลาด New York หรืออเมริกา  (เวลา 20.00-05.00) เทรดเดอร์ที่เทรดระยะการถือออเดอร์สั้นหรือ short-term trading จะสนใจรายละเอียดพวก ช่วงเวลาตลาด หรือข่าวพวกข้อมูลพื้นฐานที่เกิดขึ้นแต่ละวัน ถ้าเป็นการเทรดอิงข้อมูลพื้นฐาน ก็จะเห็นการเทรดเพื่อใช้ประโยชน์เรื่องของ volatility ที่เกิดขึ้น ช่วงข่าวเพราะทำให้ราคาเคลื่อนไหวเร็ว ก็จะเปิดโอกาสให้เทรดแบบระยะสั้นๆ ได้ง่าย

การเทรดแบบ Scalping  เน้นเก็บกำไรสั้นๆ ไม่กี่ pips เข้า-ออกตลาดเร็วและแม่น

การเทรดแบบ scalping น่าจะเป็นตัวอย่างการเทรดแบบระยะสั้นที่ชัดเจนสุด เพราะเน้นการทำกำไรไม่กี่ pips รูปแบบการเทรดเน้น risk:reward ไม่มากเช่น 1:2 หรือ 1:3 หรือ 1:5 เป็นต้น หลักการเทรดคือเน้นการเข้าออกภาพในกรอบการเคลื่อนไหวเดียวเป็นหลัก ส่วนมากจะเป็นการเทรดตาม momentum ทั้งตอนเกิดเพราะราคาทำการเบรคและตอนราคากลับมาเทส ส่วนมากก็จะเทรดใน timeframe สั้นๆ ไม่เกิน timeframe M15


การเทรด scalping มีหลายวิธีต่างกันออกไป แต่ที่ยกตัวอย่างคือการเทรดตาม momentum เมื่อเห็นว่าขาใหญ่เปิดเทรดแล้วก็เทรดตาม เช่นอย่างภาพด้านบน การเทรดแรกเป็นการเทรดแบบ sell stop เมื่อราคาเบรค ด้วยการอ่านความต่อเนื่องของราคาต่อ support และอย่างที่สองเป็นแบบราคากลับมาเทสเมื่อเห็น การเทรดจะเป็นการกลับมาเทสอย่างเร็ว ต้องดู momentum ให้เป็น ข้อดีที่เห็นชัดคือการกำหนด stop loss ได้น้อย อย่างที่บอกตอนแรกว่าข้อดีของการเทรดแบบระยะสั้นคือ การจัดการความเสี่ยงน้อย และถ้าอ่าน momentum เป็นว่าเป็นการเข้าเทรดของขาใหญ่ ก็จะเข้าออกตลาดได้เร็ว เพราะไม่กี่นาที ก็สามารถทำกำไรได้ และโอกาสสำหรับเปิดเทรด เกิดขึ้นหลายครั้งต่อวัน ข้อเสียมีอย่างเดียวคือต้องหัดอ่านว่า momentum เป็นการเข้าเทรดของขาใหญ่จริง

การเทรดแบบเข้า-ออกตาม price structrue แต่ละวัน

วิธีการนี้น่าจะเป็นที่นิยมสุดเพราะเป็นการเทรดอ่าน price structure และเพราะการเคลื่อนไหวราคาเมื่อวิ่งไปทางใดทางหนึ่ง ไม่ได้วิ่งแค่ไม่กี่ pips มากพอที่จะทำกำไรยาวๆ ได้ และในแต่ละวันเรื่องของ volatility ก็ไม่เท่ากัน เลยต้องดูเป็นวันๆ ไป อย่างที่ยกตัวอย่างมา GBPUSD จะเห็นว่าวันที่ 1 และ 3 มีการเคลื่อนไหวประมาณ 200 pips ได้ และอีกอย่างการเคลื่อนไหวราคาแต่ละช่วงมากพอที่จะทำกำไรเกินกว่าการเทรดแบบ scalping ได้ถ้าเข้าใจ บริหารความเสี่ยงได้ดี และอดทนปล่อยให้กำไรวิ่งมากได้ เทรดเดอร์ส่วนมากเมื่อเทรดทำกำไรได้ จะมีความอดทนระดับหนึ่งที่ทนให้กำไรวิ่งได้ ก็จะเทรดแบบนี้ไม่กี่ออเดอร์ แต่ปล่อยให้กำไรวิ่งยาวๆ แทนที่เข้า-ออกเร็วแบบแรก เพราะการเปิดเทรดยิ่งเปิดเทรดมากก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้นไปได้


อย่างการเทรดในวันที่ 3 เป็นตัวอย่างการเทรดแบบระยะสั้น แต่ระยะเวลาถือออเดอร์ที่เปิดนานกว่าแบบ scalping เป็นการเทรดแค่ออเดอร์เดียวก็พอที่จะทำกำไรได้มากกว่า scalping และที่สำคัญการจัดการความเสี่ยงได้ดีกว่าหลายเท่าด้วย เพราะว่าปล่อยกำไรให้วิ่งยาว ขณะที่เปิดเทรดน้อยแต่ปิดออเดอร์เป็นวันๆ ไป ส่วนมากการเทรดแบบนี้ จะทำได้ด้วยเทรดเดอร์ที่มีความเข้าใจตลาดดีพอ ความอดทนมากพอ และเข้าใจการบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะเรื่องของการเปิดเทรดมากไปก็เป็นการเสี่ยงมากไปด้วย
นี่คือตัวอย่างของการเทรดที่เรียกว่าการเทรดแบบระยะสั้นหรือ short-term trading จะเน้นที่ปิดออเดอร์ที่เปิดเทรดภายในวันนั้นๆ รูปแบบมีหลากหลายต่างกันออกไปแล้วแต่วิธีการที่เทรดเดอร์แต่ละคนถนัดต่างกันออกไป