(Oct 22) รายงานพิเศษ: บาดแผลจากสงครามการค้าเริ่มปูด: ขึ้นชื่อว่า "สงคราม" แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสงครามอะไร ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี โดยเฉพาะ "สงครามการค้า" ที่กำลังสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลกในขณะนี้ และหลักฐานล่าสุดที่ชี้ว่าสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เริ่มจะบั่นทอนเศรษฐกิจจริง ๆ แล้วคือ ตัวเลข "จีดีพีของจีน"
สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนแถลงเมื่อวันศุกร์ว่า เศรษฐกิจจีนโต 6.5% ในช่วงไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อัตราการเติบโตนี้ต่ำกว่าไตรมาส 2 และยังต่ำกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์ ซึ่งจากการสำรวจของรอยเตอร์ได้คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 6.6%
ตัวเลขจีดีพีที่ 6.5% นี้ถือเป็นการเติบโตรายไตรมาสที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบปีต่อปีนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤติการเงินโลกรุนแรงสุด และเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสแล้ว การเติบโตของจีนในช่วงไตรมาส 3 ลดลงเหลือ 1.6% จาก 1.7% ในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับที่ได้คาดการณ์เอาไว้
อย่างไรก็ดี ตัวเลขจีดีพีนี้น่าจะเป็นผลกระทบก่อนที่จะเก็บภาษีและผลกระทบของสงครามการค้ายังไม่ได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ผลกระทบจริง ๆ น่าจะยังไม่รู้จนกว่าจะถึงปีหน้า
ไรอัน เฟลแมน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของคอมมอนเวลธ์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลีย กล่าวว่า หากสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าจีนทั้งหมด 505,000 ล้านดอลลาร์ มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจีนจะโตต่ำกว่า 6% และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด จีดีพีจีนจะโตแค่ 5.4% ในปีหน้า ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับจีน
แม้แต่สหรัฐฯ เองก็น่าจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าไม่ย่อหย่อนไปกว่าจีน
ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 100 คนล่าสุดของรอยเตอร์เมื่อวันที่ 10-18 ตุลาคมชี้ว่า ภาวะการเงินที่ตึงตัวและสงครามการค้ากับจีนจะเริ่มทำให้การเติบโตของสหรัฐฯ ชะลอตัวลงในเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่โต 4.2% ในช่วงไตรมาสสอง มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสูญเสียแรงส่งลงมาโตแค่ 3.3% ในช่วงไตรมาสสามและจากนั้นจะโต 2.7% ในช่วงไตรมาสสี่ ประมาณการเหล่านี้สูงกว่าผลสำรวจเมื่อเดือนกันยายนเล็กน้อย แต่ภายในปลายปี 2562 คาดว่าการเติบโตของสหรัฐฯ จะลดลงเหลือ 2.1%
ขณะเดียวกันบทวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า มีโอกาสมากกว่า 50-50 ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงสองปีหน้า โดยมีโอกาสเกือบ 28% ที่จะถดถอยภายใน 1 ปี และมีโอกาสมากกว่า 60% ที่จะถดถอยในช่วงสองปีข้างหน้า และมีโอกาสมากกว่า 80% ที่จะถดถอยในช่วงสามปีข้างหน้า
ในการคาดการณ์นี้ เจพีมอร์แกนได้พิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น ความเชื่อมั่นของธุรกิจและผู้บริโภค การเข้าร่วมในตลาดแรงงานของผู้ชายวัยหนุ่ม การเติบโตของค่าชดเชย และสินค้าคงทนและโครงสร้างในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของจีดีพี เกณฑ์การวัดภาวะถดถอยของเจพีมอร์แกนจัดว่ามองในแง่ลบมากกว่าตัวติดตามภาวะถดถอยที่ธนาคารกลางสหรัฐในนิวยอร์กใช้อยู่ ซึ่งชี้ว่ามีโอกาสเพียง 14.5% ที่จะเกิดภาวะถดถอยตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
แม้แต่ญี่ปุ่นซึ่งไม่ได้ทำสงครามการค้ากับจีนและสหรัฐฯ ด้วย ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากผลกระทบที่เกิดจากสงครามการค้าของสองชาตินี้ได้
กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า การส่งออกของญี่ปุ่นลดลง 1.2% ในเดือนกันยายนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 สาเหตุเป็นเพราะว่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลง 0.2% และการส่งออกไปยังจีนลดลง 1.7% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 7 เดือน
ข้อมูลข้างต้นนี้น่าจะเป็นเพียงสัญญาณเบื้องต้นที่เริ่มแพลมออกมาให้เห็น และน่าจะมีผลกระทบในวงกว้างขึ้นตามมาอีกอย่างต่อเนื่อง
โรเบอร์โต อาเซเวโด ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) เตือนว่า สงครามการค้าสร้างความเสี่ยงอย่างแท้จริงต่อเศรษฐกิจโลก โดยมีแนวโน้มว่าจะคุกคามต่อตำแหน่งงานหลายร้อยล้านตำแหน่ง
นักเศรษฐศาสตร์ของดับเบิลยูทีโอคำนวณว่า ความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศจะทำให้ภาษีเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงซึ่งจะทำให้การค้าทั่วโลกโตลดลง 17% และทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกโตลดลง 1.9% ผลกระทบเหล่านี้จะสร้างปัญหามากให้กับคนงานบริษัท และชุมชนเนื่องจากต้องปรับตัวต่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใหม่นี้
ผู้อำนวยการดับเบิลยูทีโอบอกว่า ปัญหานี้จำเป็นต้องหาทางออกทางการเมืองและได้เรียกร้องให้ผู้นำต่าง ๆ แก้ปัญหานี้เมื่อมีการประชุมสุดยอดกลุ่มจี 20 ที่อาร์เจนตินาในเดือนหน้า
..ยังไม่มีอะไรการันตีว่า ข้อมูลและเสียงเตือนต่าง ๆ ที่ออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้จะเข้ารูหูผู้นำต่าง ๆ หรือไม่ โดยเฉพาะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ความหวังที่ดีที่สุดในยามนี้คือ การประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์และสีในเดือนพฤศจิกายนนี้ อาจจะได้ข้อตกลงบางอย่างก็ได้
Source: ข่าวหุ้น