(Oct 15) จีนสกัดทุนไหลออกรับมือสงครามการค้า : ความพยายามหลายครั้งล่าสุดของจีนในการจำกัดเงินลงทุนไหลออก แสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้กำหนดนโยบายในเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลกตื่นตัวถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดเงินทุนไหลออกซึ่งได้แรงกระตุ้นมาจากการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ
ในปีนี้ รัฐบาลปักกิ่งค่อย ๆ ผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลัง เนื่องจากกำลังหาทางควบคุมทิศทางเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นช่วงเวลาของการเติบโตภายในประเทศชะลอตัวและตลาดหุ้นทรุดลงท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กับรัฐบาลวอชิงตัน
แม้ธนาคารกลางจีนได้คุมเข้มการถือครองเงินทุนสำรองของตน ซึ่งลดลงราว 10% นับตั้งแต่สงครามการค้าระลอกแรกปะทุขึ้นในเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา แต่ธนาคารกลางยังคงเลี่ยงที่จะแทรกแซงโดยตรงเพื่อพยุงเงินหยวน
อย่างไรก็ดี จีนได้หันมาควบคุมเงินทุนไหลออกด้วยวิธีการที่ไม่ชัดแจ้งนัก ผ่านช่องทางการลงทุนในต่างประเทศที่มีอยู่ไม่มากนักสำหรับบรรดานักลงทุนในแผ่นดินใหญ่
"สิ่งสุดท้ายที่รัฐบาลจีนต้องการเห็นคือเงินทุนจำนวนมหาศาลไหลออกจากประเทศ" ถัง เสียงปิน นักวิเคราะห์ด้านเงินตราต่างประเทศของธนาคารหมินเซิง กล่าว
แม้ขณะนี้ยังมีข้อจำกัดหลายด้านเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ธุรกิจจีนและนักลงทุนรายย่อยสามารถย้ายไปต่างประเทศ แต่ตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นของนครเซี่ยงไฮ้ยังคงเข้าถึงได้ง่ายกว่าสำหรับชาวต่างชาติมาตั้งแต่ปี 2558 อานิสงส์จากนโยบายเชื่อมโยงที่อนุญาตให้มีกระแสเงิน 2 ทางระหว่างตลาดหลักทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกง
ขณะเดียวกัน ยอดการได้เปรียบดุลการค้าที่ยักษ์ใหญ่การส่งออกของโลกอย่างจีนมีต่อประเทศที่เหลือทั่วโลก ได้เริ่มหดตัวลงแล้ว
วิคเตอร์ ชิห์ รองศาสตราจารย์ภาควิชาเศรษฐกิจการเมืองแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเมืองซานดิเอโกของสหรัฐ กล่าวว่า การอ่อนค่าลงของเงินหยวนอาจเป็นทางเลือกที่น่าดึงดูดมากกว่าสำหรับจีน ในการชดเชยผลกระทบจากสงครามการค้า
อย่างไรก็ตาม ชิห์เตือนว่า กลยุทธ์นี้มีข้อจำกัด เนื่องจากอาจสร้างความแตกตื่นเกี่ยวกับเงินหยวนซึ่งเริ่มควบคุมได้ยาก
บรรดานักวิเคราะห์ ระบุว่า สงครามการค้าอาจทำให้เกิดแรงกดดันหนักขึ้นต่อเงินหยวน หากการได้เปรียบดุลการค้าของจีนหดตัวลง และแนวโน้มเศรษฐกิจที่ซบเซาเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนข้ามชาติในจีน
ชิห์ คาดการณ์ว่า การลดการส่งออกไปสหรัฐลง 20% อาจส่งผลให้ยอดได้เปรียบดุลการค้ารายเดือนลดลง 8,000 ล้านดอลลาร์มาอยู่ที่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 1 ใน 3 ของค่าเฉลี่ย
นอกจากนั้น การลดลงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) ที่ดึงดูดเงินเข้าจีน 1.36 แสนล้านดอลลาร์เมื่อปีก่อน อาจจะทำให้กระแสไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศร่วงลงอย่างหนัก
ขณะเดียวกันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนเริ่มลดลง ธนาคารกลางจีน เผยเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ว่า เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของจีน ลดลง 2.269 หมื่นล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ 3.087 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. เทียบกับในเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 3.11 ล้านล้านดอลลาร์ และการคาดการณ์เฉลี่ยของบรรดานักวิเคราะห์ที่สำรวจโดยบลูมเบิร์ก 3.105 ล้านล้านดอลลาร์
สำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศของจีน (เอสเอเอฟอี) ระบุว่า การลดลงเล็กน้อยในเงินทุนสำรองของจีน เป็นผลจากความเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของเงินสำรองระหว่างประเทศและราคาสินทรัพย์ และว่า การถือครองเงินทุนสำรองของประเทศจะยังคงมีเสถียรภาพ แม้เกิดความผันผวนอยู่บ้างก็ตาม
นอกจากนั้น ชิห์ระบุว่า มาตรการควบคุมเงินทุนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันของจีนมีความเข้มงวดมาก
"แม้แต่กลุ่มมหาเศรษฐียังเผชิญกับข้อจำกัดที่เข้มงวดขึ้นในแง่ของแหล่งที่พวกเขาสามารถลงทุนได้ แต่ยังมีทางเลือกอื่นอีกหลายทาง และมีแนวโน้มว่าการทุจริตจะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้มาตรการควบคุมเงินทุนของจีนเสื่อมประสิทธิภาพลง"
Source: กรุงเทพธุรกิจ