จะวิ่งตาม GBPUSD ทำไมเนี่ย เจ๊ากันเฉย ปวดหัวเลย

โดน sl ไปตามระเบียบ
ผมรอจบแท่ง H4 ก่อน ถ้ายืนเหนือ 1.0578 ได้ ผม buy ถ้า ต่ำกว่าผม sell ครับ

อ้างจาก: kaloachep ที่ 03, มกราคม  2023, 04:19:02 PM
โดน sl ไปตามระเบียบ
ผมรอจบแท่ง H4 ก่อน ถ้ายืนเหนือ 1.0578 ได้ ผม buy ถ้า ต่ำกว่าผม sell ครับ

ครับผม หลุดมาขนาดนี้ผมหาจังหวะ Sell ล่ะครับ

อ้างจาก: admin ที่ 03, มกราคม  2023, 04:41:17 PM

อ้างจาก: kaloachep ที่ 03, มกราคม  2023, 04:19:02 PM
โดน sl ไปตามระเบียบ
ผมรอจบแท่ง H4 ก่อน ถ้ายืนเหนือ 1.0578 ได้ ผม buy ถ้า ต่ำกว่าผม sell ครับ

ครับผม หลุดมาขนาดนี้ผมหาจังหวะ Sell ล่ะครับ

รอQM ไม้ทุบก่อนปีใหม่อย่างเยอะไม่ลง พอเสียสละขายหมู ปั้บ!! ตามนั้นละครับ

ราคาทองฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 1,840 ดอลลาร์ในวันนี้ ขณะที่ตลาดจับตาทิศทางของราคาทองคำในปีนี้



ณ เวลา 19.32 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. บวก 14.30 ดอลลาร์ หรือ 0.79% สู่ระดับ 1,840.50 ดอลลาร์/ออนซ์

ราคาทองสปอตพุ่งขึ้นราว 9% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว โดยดีดตัวขึ้นเกือบ 200 ดอลลาร์ หลังจากดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปีในเดือนก.ย.

นักวิเคราะห์คาดว่าราคาทองจะดีดตัวขึ้นในปี 2566 จากคาดการณ์เกี่ยวกับการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และแรงหนุนจากคำสั่งซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ธนาคารกลางชาติต่างๆ ยังคงซื้อทองเข้าสู่ทุนสำรอง




นายเยิร์ก คีเนอร์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุนของบริษัทสวิส เอเชีย แคปิตอล กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ราคาทองคำอาจพุ่งสูงถึง 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ในปี 2566 เนื่องจากหลายประเทศอาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนในทองคำ

นอกจากนี้ ราคาทองยังได้ปัจจัยบวกในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ซึ่งแม้มีการคาดว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลาง

นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดประจำเดือนธ.ค.ที่จะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐประจำเดือนธ.ค.ในวันศุกร์


โดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)



ณ เวลา 20.04 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 3.739% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 3.846%

นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดประจำเดือนธ.ค.ที่จะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐประจำเดือนธ.ค.ในวันศุกร์

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี



ทั้งนี้ เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 7 ครั้งในปีที่แล้ว โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้ง, 0.50% จำนวน 2 ครั้ง และ 0.75% จำนวน 4 ครั้ง ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4.25%

ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 และจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 โดยเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ในปีหน้า ก่อนที่จะสิ้นสุดวัฏจักรปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยระดับดังกล่าวเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2550

นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในเดือนก.พ.2566 ซึ่งเป็นการประชุมนโยบายการเงินนัดแรกของเฟดในปีนี้ หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในปีนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 71.3% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.2566 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ให้น้ำหนักเพียง 27%




โดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

นักค้าเงินเปิดเผยว่า ธนาคารกลางอินเดียมีแนวโน้มเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราผ่านทางธนาคารของรัฐในวันนี้ โดยได้เทขายดอลลาร์เพื่อสกัดรูปีไม่ให้ดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 83 เทียบดอลลาร์

รูปีร่วงลงสู่ระดับ 82.94 เทียบดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดระหว่างวัน ก่อนที่จะฟื้นตัวสู่ระดับ 82.88 จากการที่ธนาคารของรัฐหลายแห่งทำการซื้อรูปี และเทขายดอลลาร์
ทั้งนี้ รูปีถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน พุ่งขึ้น 1.21% ในวันนี้ หลังจากทะยานขึ้น 8% ในปีที่แล้ว โดยได้แรงหนุนจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
รูปีเป็นสกุลเงินของเอเชียที่ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในปีที่แล้ว โดยดิ่งลง 11% เทียบดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่ปี 2556 โดยได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลให้อินเดียประสบภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 3 ของปี 2565

โดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลักในวันนี้ ต่อเนื่องจากที่พุ่งขึ้นในปีที่แล้ว



ณ เวลา 18.40 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 1.21% สู่ระดับ 104.77 ขณะที่ดอลลาร์พุ่งขึ้น 1.257% สู่ระดับ 1.053 เทียบยูโร และขยับขึ้น 0.01% สู่ระดับ 130.74 เยน

ดอลลาร์ปรับตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2565 โดยได้แรงหนุนจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน พุ่งขึ้น 8% ในปีที่แล้ว โดยเป็นการปรับตัวดีที่สุดในรอบ 7 ปี



เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีที่แล้วเพื่อสกัดเงินเฟ้อ หลังจากที่รัสเซียประกาศบุกโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ. ทำให้สหรัฐและชาติตะวันตกออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ส่งผลให้ทั่วโลกเกิดการขาดแคลนพลังงานและอาหารอย่างหนัก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้น

นักลงทุนจับตารายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดประจำเดือนธ.ค.ที่จะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี

ทั้งนี้ เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 7 ครั้งในปีที่แล้ว โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้ง, 0.50% จำนวน 2 ครั้ง และ 0.75% จำนวน 4 ครั้ง ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4.25%

ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 และจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 โดยเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ในปีหน้า ก่อนที่จะสิ้นสุดวัฏจักรปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยระดับดังกล่าวเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2550



โดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

ดาวโจนส์เปิดปี 66 แดนบวก "เทสลา" ร่วงสวนทางตลาด

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในวันนี้ ซึ่งเป็นการซื้อขายวันแรกของปี 2566



ณ เวลา 21.33 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,226.61 จุด บวก 79.36 จุด หรือ 0.24%

อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นของบริษัทเทสลา อิงค์ ร่วงลง 5% สวนทางตลาด หลังบริษัทส่งมอบรถยนต์ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 4/2565

ทั้งนี้ เทสลาส่งมอบรถยนต์ 405,278 คันในไตรมาส 4 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 308,600 คันในช่วงเดียวกันของปี 2564 แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 409,000-433,000 คัน



นอกจากนี้ ราคาหุ้นเทสลายังได้รับผลกระทบจากการที่เกาหลีใต้สั่งปรับบริษัทเป็นจำนวนเงิน 2.85 พันล้านวอน (2.2 ล้านดอลลาร์) หรือราว 76 ล้านบาท เนื่องจากเทสลาได้โฆษณาเกินจริงเกี่ยวกับระยะการขับขี่ของรถยนต์จากการชาร์จเพียงครั้งเดียว โดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ซื้อทราบว่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของเทสลาจะมีระยะการขับขี่สั้นกว่าปกติในสภาพอากาศหนาวเย็น โดยมีระยะสั้นลงถึง 50.5% เมื่อเทียบกับที่บริษัทได้โฆษณา

สำหรับการซื้อขายในปีที่แล้ว ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททำสถิติดิ่งลงมากที่สุดเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่ปี 2551 หลังจากที่ดีดตัวขึ้น 3 ปีติดต่อกัน โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 8.8% ส่วนดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ทรุดตัวลง 19.4% และ 33.1% ตามลำดับ โดยเป็นครั้งแรกที่ดัชนีทั้ง 3 ร่วงลงเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่ปี 2561

หุ้นกลุ่มสื่อสารเป็นกลุ่มที่ทรุดตัวลงหนักที่สุดในปีที่แล้ว โดยดิ่งลงกว่า 40% ขณะที่กลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มเดียวที่ปรับตัวขึ้น โดยพุ่งขึ้นเกือบ 58%

สำหรับทิศทางของตลาดในปี 2566 นักวิเคราะห์แสดงความเห็นว่าตลาดยังคงถูกกดดันจากเงินเฟ้อ ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งในช่องแคบไต้หวัน รวมทั้งแนวโน้มการกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังจากที่จีนผ่อนคลายมาตรการโควิดเป็นศูนย์ และกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง

"สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2565 ถูกผลักดันโดยเฟดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปรับลดขนาดงบดุล ส่วนในปี 2566 ผมคิดว่าเฟดจะไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาด แต่จะเป็นเรื่องของบริษัทจดทะเบียน และปัจจัยพื้นฐาน โดยบริษัทที่มีผลประกอบการดีจะดีดตัวขึ้น" นายแพทริก อาร์มสตรอง หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Plurimi Wealth LLP กล่าว

นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำเดือนธ.ค.ที่จะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐประจำเดือนธ.ค.ในวันศุกร์



โดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ