กองทุน SPDR Gold Shares

ประจำวันที่

เวลา ครั้งที่ ก่อนหน้า ถือล่าสุด เปลี่ยนแปลง
- - - - -
รวมวันนี้-
เดือนนี้ - : 
ปีนี้  : 
*หน่วยตัน
*อ้างอิงจาก SPDR Gold Share

ราคาทองตามประกาศสมาคมค้าทองคำ

ประจำวันที่ ครั้งที่ เวลา น.

ชนิดทองคำ รับซื้อ ขายออก
ทองคำแท่ง 96.5% - -
ทองรูปพรรณ 96.5% - -
รวมวันนี้-
เปลี่ยนแปลงล่าสุด-
*หน่วยเงินบาท
*ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ

✅✅ EUR/USD แนวโน้ม กราฟ พฤหัสบดี 16 กันยายน BUY ต่อเนื่อง>>>เดินเครื่องไป NEW HIGH 🛸🛸

  • 19 replies
  • 6,562 views
*

PoNgPk

  • 6,490
(Sep 16) สหรัฐฯ-จีน กับ ศึกสร้างพันธมิตรในเอเชียที่ร้อนแรงขึ้น : ศึกชิงความเป็นผู้นำโลกระหว่างสหรัฐฯ และจีน ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกจับตาดูอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ทั้งสองประเทศเดินหน้าผูกสัมพันธ์สร้างพันธมิตรในเอเชียอย่างแข็งขัน ด้วยการดำเนินนโยบายเดินทางเยือนและหยิบยื่นความช่วยเหลือต่างๆ มากมาย

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ออกเดินสายเยือนหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย หลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งจะเสร็จสิ้นการเยือนภูมิภาคนี้ไปเมื่อก่อนหน้า ซึ่งทำให้หลายฝ่ายมองว่า เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของสองประเทศมหาอำนาจในการช่วงชิงแรงหนุนจากรัฐบาลต่างๆ ที่เริ่มรุนแรงขึ้น ขณะที่

นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า ประเทศที่มีขนาดเล็กทั้งหลายน่าจะมีโอกาสได้รับความช่วยเหลือทั้งจากจีนและสหรัฐฯ ต่อไปได้ ตราบใดที่ยังสามารถหลีกเลี่ยงไม่ทำให้รัฐบาลกรุงปักกิ่งเคืองได้

ผู้สันทัดกรณีเชื่อว่า ประเทศต่างๆ ในเอเชียน่าจะได้รับประโยชน์ในรูปของอุปกรณ์และการอบรมทางการทหารจากกรุงวอชิงตัน พร้อมๆ กับความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจจากกรุงปักกิ่ง อย่างเช่นที่เกิดขึ้นในทวีปยูเรเชีย ซึ่งจีนให้การสนับสนุนโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานไว้มากมาย รวมทั้งความช่วยเหลือด้านวัคซีนโควิด-19 ที่ทั้งสองประเทศเร่งนำส่งให้ไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา

อเล็กซานเดอร์ วูวิง ศาสตราจารย์จากศูนย์ Daniel K. Inouye Asia-Pacific Center for Security Studies ซึ่งตั้งอยู่ในฮาวาย และเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า ศึกช่วงชิงอำนาจอ่อน (Soft Power) ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในเวลานี้ อาจเป็นประโยชน์ต่อประเทศขนาดเล็กทั้งหลาย ที่เป็นเป้าหมายของการระดมอำนาจอ่อนที่ว่า แต่ขณะเดียวกัน โอกาสสำหรับประเทศเหล่านั้นจะกอบโกยผลประโยชน์จากศึกครั้งนี้เริ่มลดลงเรื่อยๆ แล้ว

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รมต.หวังอี้ ของจีน เพิ่งเดินทางไปเยือนเวียดนาม ซึ่งเป็นจุดหมายแรกของแผนการเยือน 4 ประเทศ เพื่อหารือประเด็นการค้า ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นทางการเมือง โดยฝั่งเวียดนามกล่าวว่า รัฐบาลกรุงฮานอย "ให้ความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์กับจีนเป็นอันดับต้นๆ ของการดำเนินนโยบายต่างประเทศของตน" ซึ่งจุดยืนดังกล่าวอาจทำให้เกิดความตึงเครียดในด้านความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ซึ่งพยายามผลักดันสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งขึ้นกับเวียดนามมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017

การเดินทางเยือนเวียดนามของรัฐมนตรีต่างประเทศจีนยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ เวียดนามลงนามในข้อตกลงการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีด้านกลาโหมจากญี่ปุ่นมาให้ตน โดยการเดินหมากดังกล่าวของเวียดนามถูกมองว่าเป็นการตอบโต้จีนที่พยายามทำการรุกคืบสร้างอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

การทูตวัคซีน

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประกาศความพร้อมที่จะส่งวัคซีนโควิด-19 จำนวน 1 ล้านโดสให้เวียดนาม พร้อมตกลงที่จะจัดตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ในกรุงฮานอยด้วย

แต่ในระหว่างการเยือนเวียดนามครั้งนี้ รมต.หวังอี้ ได้สัญญาที่จะส่งมอบวัคซีนจำนวน 3 ล้านโดสให้รัฐบาลกรุงฮานอยเช่นกัน

ยุน ซุน ผู้อำนวยการร่วมของโครงการ East Asia แห่ง Stimson Center ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในเวียดนามแสดงให้เห็นว่า ประเทศแห่งนี้กำลังเป็นเป้าหมายของการแข่งขันระหว่างสองประเทศมหาอำนาจอยู่

วีโอเอ ภาคภาษาเขมร รายงานเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยว่า จีนยังสัญญาที่จะส่งมอบวัคซีนจำนวน 3 ล้านโดสให้กับกัมพูชา ที่เพิ่งรับมอบเงินช่วยเหลือมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลกรุงปักกิ่งไป ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า กัมพูชานั้นโอนเอียงไปทางจีนมากกว่าสหรัฐฯ อย่างเห็นได้ชัด

เกมการสร้างสมดุล

นอกจากประเทศเพื่อนบ้านไทยทั้งสองแห่งที่กล่าวมาแล้ว รมต.หวังอี้ ของจีน เดินทางถึงสิงคโปร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากเผยแพร่ความเห็นผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศว่า จีนนั้นหวังที่จะ "พัฒนาความร่วมมือ(กับสิงคโปร์)ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น"

และขณะที่ ยุน ซุน ผู้อำนวยการรวมของโครงการ East Asia แห่ง Stimson Center ระบุว่า จีนและสหรัฐฯ ต่างมองว่า สิงคโปร์นั้น คือ ประเทศที่มีความเป็นกลางในเอเชีย อเล็กซานเดอร์ วูวิง จากศูนย์ Daniel K. Inouye Asia-Pacific Center for Security Studies มองว่า สิงคโปร์และเวียดนาม ประสบความสำเร็จใน "การสร้างสมดุล" ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ

ขณะเดียวกัน จีนและสหรัฐฯ เดินหน้าพุ่งเป้าไปยังฟิลิปปินส์ด้วย โดยทางรัฐบาลกรุงปักกิ่งเพิ่งสัญญาที่จะส่งมอบความช่วยเหลือให้กับรัฐบาลกรุงมะนิลา ซึ่งเพิ่งตกลงที่จะฟื้นฟูข้อตกลงความร่วมมือทางการทหาร Visiting Forces Agreement กับสหรัฐฯ ไปเมื่อเร็วๆ นี้ หลังกองทัพสหรัฐฯ ช่วยฝึกทหารฟิลิปปินส์เพื่อเตรียมรับมือกับปฏิบัติการใดๆ ของจีนในพื้นที่ทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะในบริเวณที่เป็นจุดพิพาทระหว่างสองประเทศอยู่

หากใกล้ชิดสหรัฐฯ เกินไป

ในกรณีที่ประเทศใดแสดงความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ เกินไป จีนอาจดำเนินมาตรการที่เป็นสัญญาณความไม่พอใจออกมาได้เสมอ ดังเช่นในกรณีของเกาหลีใต้ ที่รมต.หวังอี้ มีกำหนดเยือนในวันอังคารและวันพุธ

สตีเฟน เนกี รองศาสตราจารย์อาวุโสด้านการเมืองและการศึกษาระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัย International Christian University ในกรุงโตเกียว กล่าวว่า หลังกรุงโซลบรรลุตกลงกับกรุงวอชิงตันที่จะติดตั้งระบบตรวจจับขีปนาวุธที่มีความสามารถตรวจสอบทั้งจีนและเกาหลีเหนือ เมื่อเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 2017 กรุงปักกิ่งออกคำสั่งห้ามไม่ให้มีการจัดกรุ๊ปทัวร์เที่ยวเกาหลีใต้ทันที ซึ่งส่งผลให้อัตรานักท่องเที่ยวจีนลดลงถึงสองหลักเลยทีเดียว

กระนั้นก็ตาม สตีเวน คิม นักวิชาการจากสถาบัน Jeju Peace Institute ในเกาหลีใต้ กล่าวว่า กรุงโซลเหมือนจะไม่หวั่นกับท่าทีของจีนเท่าใด เพราะเกาหลีใต้เพิ่งกลายมาเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่มีความสามารถที่จะยิงขีปนาวุธนำวิถี จากเรือดำนำ "ที่ปฏิบัติการอย่างเงียบเชียบ" ของตนได้ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่จีนควรกังวลพอควร

สตีเฟน เนกี รองศาสตราจารย์ จากมหาวิทยาลัย International Christian University ให้ความเห็นว่า ในการเยือนเกาหลีใต้ในสัปดาห์นี้ รมต.หวัง น่าจะหยิบยกประเด็นความร่วมมือด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ โดยมีนัยชัดเจนให้กรุงโซลตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์กับจีนไว้ให้ดี

วิถีทางการทูตเชิงรุกต่อเนื่อง

การออกทัวร์นานาประเทศในเอเชียของรัฐมนตรีต่างประเทศจีนครั้งนี้เกิดขึ้น หลัง ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เดินทางเยือนสิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ในเดือนกรกฎาคม ก่อนที่ รองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส จะเยือนเวียดนามและสิงคโปร์เช่นกันเมื่อเดือนที่แล้ว และรัฐมนตรีกลาโหมของจีนออกเดินทางเยือนหลายประเทศในเอเชียในเดือนนี้

ยุน ซุน ผู้อำนวยการร่วมของโครงการ East Asia แห่ง Stimson Center กล่าวว่า การที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ และจีน เร่งดำเนินแผนงานทางการทูตติดต่อกันอย่างหนักหน่วง ชี้ชัดว่า ทั้งสองมหาอำนาจกำลังเร่งระดับการช่วงชิงแรงหนุนในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งท้ายที่สุด อาจเป็นสิ่งที่ไม่ได้เป็นประโยชน์มากมายสำหรับประเทศเล็กๆ ทั้งหลาย เพราะทั้งกรุงปักกิ่งและกรุงวอชิงตันคงไม่ยอมที่จะรอมชอมเพื่อให้ได้สิ่งที่ต่างต้องการอย่างแน่นอน

Source: VOA Thai
TRADE RIDER

*

admin

  • 84,261
อ้างจาก: PAHLAD ที่ 16, กันยายน  2021, 07:34:33 PM
ข่าวเขียวขนาดนี้ น่าจะดันไม่ไหวละ
**6004** **6004** **6004** **6004**

ยาวแล้วล่ะครับไปพร้อมกับทอง ไปกองกับเธอ
**11 **11
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"

อ้างจาก: admin ที่ 16, กันยายน  2021, 09:07:29 PM
อ้างจาก: PAHLAD ที่ 16, กันยายน  2021, 07:34:33 PM
ข่าวเขียวขนาดนี้ น่าจะดันไม่ไหวละ
**6004** **6004** **6004** **6004**

ยาวแล้วล่ะครับไปพร้อมกับทอง ไปกองกับเธอ
**11 **11
ดันตรงนี้ไหวมะครับคิดว่าจบตรงนี้

*

admin

  • 84,261
อ้างจาก: wattipong26 ที่ 16, กันยายน  2021, 09:48:13 PM
อ้างจาก: admin ที่ 16, กันยายน  2021, 09:07:29 PM
อ้างจาก: PAHLAD ที่ 16, กันยายน  2021, 07:34:33 PM
ข่าวเขียวขนาดนี้ น่าจะดันไม่ไหวละ
**6004** **6004** **6004** **6004**

ยาวแล้วล่ะครับไปพร้อมกับทอง ไปกองกับเธอ
**11 **11
ดันตรงนี้ไหวมะครับคิดว่าจบตรงนี้

ไม่น่านะผมว่าพรุ่งนี้เทต่ออีก
**6105** **6105**
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"

*

PoNgPk

  • 6,490
(Sep 16) สหรัฐฯ UK ออสเตรเลีย ประกาศสนธิสัญญาความมั่นคง 'Aukus' คานอำนาจจีน : รบ.สหรัฐฯ UK และออสเตรเลีย ประกาศสนธิสัญญาความมั่นคงครั้งประวัติศาสตร์ Aukus หวังคานอำนาจจีน โดยสหรัฐฯ และ UK จะช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีการสร้างเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ให้กับออสเตรเลียเป็นลำแรก

เมื่อ 16 ก.ย. 64 บีบีซีรายงาน รัฐบาลสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร (UK) จับมือออสเตรเลีย ผนึกกำลังสร้างความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ประกาศสนธิสัญญาความมั่นคงครั้งประวัติศาสตร์ ภายใต้ชื่อ 'Aukus' เพื่อคานอำนาจจีน

ภายใต้สนธิสัญญานี้ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรจะครอบคลุมทั้งในเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีต่างๆ ด้านการทหาร การป้องกันทางไซเบอร์ และการคำนวณควอนตัม โดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร จะช่วยเหลือออสเตรเลียในเรื่องเทคโนโลยีในการสร้างเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์เป็นลำแรกของประเทศออสเตรเลีย เพื่อสร้างกองเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ ที่จะประกอบด้วยเรือดำน้ำอย่างน้อย 8 ลำ

สำหรับการประกาศจับมือในสนธิสัญญาประวัติศาสตร์ 'Aukus' ของ 3 ประเทศผ่านการประชุมทางไกล เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน แห่งสหราชอาณาจักร และนายสกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียมีความระมัดระวังในการไม่เอ่ยถึงชื่อประเทศจีน

ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกมาแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ข้อตกลงร่วมกันครั้งประวัติศาสตร์ของ 3 ประเทศทันที โดยชี้ว่าเป็นการบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างรุนแรง และยังทำให้เกิดการแข่งขันอาวุธกันสูงขึ้น ในขณะที่สถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำกรุงวอชิงตัน ออกแถลงการณ์กล่าวหาสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลียว่า ทำลายจิตวิญญาณและอุดมการณ์ของการยุติสงครามเย็น

Source: ไทยรัฐออนไลน์


เจาะลึกสนธิสัญญาความมั่นคง AUKUS สหรัฐฯ-อังกฤษ ช่วยออสเตรเลียสร้างเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ หวังคานอำนาจจีน :

วานนี้ (15 กันยายน) ผู้นำออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ พร้อมใจกันประกาศความร่วมมือในสนธิสัญญาความมั่นคงอินโด-แปซิฟิกฉบับใหม่ และจัดตั้ง 'พันธมิตรไตรภาคีด้านความมั่นคง' หรือที่เรียกว่า AUKUS ซึ่งโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันว่าเป็นความร่วมมือเพื่อส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกในระยะยาว

แต่สิ่งที่น่าจับตามองภายใต้กรอบความร่วมมือไตรภาคีนี้ คือ เนื้อหาข้อตกลงในสนธิสัญญา ที่สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร จะช่วยให้ออสเตรเลียได้ครอบครองเทคโนโลยีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่านี่อาจเป็นเป้าหมายหลัก เพื่อ 'คานอำนาจ' และท้าทายโดยตรงต่อจีนที่มีอิทธิพลเหนือน่านน้ำในภูมิภาคนี้

'ปลอดภัยและมั่นคงกว่า'

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ พร้อมด้วย บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร และ สก็อตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แถลงพร้อมเพรียงกันจากประเทศของตน ประกาศว่าทั้ง 3 ประเทศกำลังเดินหน้า 'ขั้นตอนแห่งประวัติศาสตร์' เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากขึ้น โดยเห็นพ้องให้จัดทำสนธิสัญญาความมั่นคงอินโด-แปซิฟิกฉบับใหม่ และประกาศตั้งพันธมิตรไตรภาคีด้านความมั่นคง เพื่อเสริมสร้างสันติภาพในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

ไบเดนกล่าวถึงความจำเป็นในการร่วมตั้งพันธมิตรไตรภาคีด้านความมั่นคง เพื่อจัดการและปรับปรุงสภาพแวดล้อมเชิงกลยุทธ์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอนาคตของโลก และเพื่อให้ภูมิภาคอินโดแปซิฟิกมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างเสรีและเปิดกว้าง

มอร์ริสันประกาศว่า ความร่วมมือครั้งใหม่นี้จะส่งมอบความปลอดภัยและความมั่นคงที่มากกว่าให้กับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อทุกฝ่าย โดยในส่วนของข้อสงสัยเกี่ยวกับการที่สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร จะช่วยให้ออสเตรเลียได้ครอบครองเทคโนโลยีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์นั้น ผู้นำออสเตรเลียยืนยันชัดเจนว่า "ออสเตรเลียไม่ได้แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ หรือสร้างขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์" และออสเตรเลียจะยังคงปฏิบัติตามพันธกรณีในการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ต่อไป

ท้าทายอิทธิพลจีนโดยตรง

ภายใต้เนื้อหาข้อตกลงในสนธิสัญญาความมั่นคงอินโด-แปซิฟิกนั้น ออสเตรเลียแสดงความตั้งใจที่จะสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ถึง 8 ลำ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเรื่องนี้เป็นอย่างอื่น นอกจากการตอบโต้และท้าทายการขยายอำนาจของจีนในภูมิภาค

เทคโนโลยีในการสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญและมีความซับซ้อน ซึ่ง Sam Roggeveen ผู้อำนวยการโครงการความมั่นคงระหว่างประเทศของสถาบัน Lowy Institute ในซิดนีย์ ระบุว่า ประกาศที่ออกมาของผู้นำทั้ง 3 ประเทศนั้น 'ไม่ธรรมดา' เนื่องจากหลายสิบปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีการแบ่งปันเทคโนโลยีนี้กับสหราชอาณาจักรเท่านั้น ซึ่งการเข้าร่วมในฐานะพันธมิตรไตรภาคีของออสเตรเลียถือเป็นก้าวย่างใหม่ และทำลายบรรทัดฐานเดิม เพื่อท้าทายต่อการขยายอิทธิพลของจีน ขณะที่ความเคลื่อนไหวนี้ยังเป็นสัญญาณและหลักฐานว่าสหรัฐฯ เตรียมพร้อมเข้าสู่สงครามเย็นกับจีน

สนธิสัญญาฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในอีก 18 เดือนข้างหน้า โดยมอร์ริสันเผยว่า เรือดำน้ำทั้งหมดจะถูกสร้างที่เมืองแอดิเลด ภายใต้ความร่วมมือใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร และจะไม่ติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในเรือดำน้ำ

ถ้อยแถลงของผู้นำทั้ง 3 ประเทศ เน้นย้ำความร่วมมือในการสร้างความมั่นคงและสันติภาพในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก แต่ไม่ได้กล่าวถึงจีนอย่างชัดเจน แต่หลังการประกาศไม่นาน โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก็ออกมาให้ข่าวตอบโต้ว่า ทั้ง 3 ประเทศควรสลัดแนวคิดในยุคสงครามเย็นและความมีอคติออกไป

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังปรากฏขึ้นท่ามกลางการแข่งขันและท่าทีที่ดุเดือดระหว่างรัฐบาลปักกิ่งและวอชิงตัน ตลอดจนพันธมิตรของแต่ละฝ่ายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะในประเด็นไต้หวันและความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ซึ่งจีนอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองน่านน้ำแทบทั้งหมด และมีกรณีพิพาทกับทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย

ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและจีนนั้นถดถอยลงอย่างมาก ท่ามกลางข้อขัดแย้งในหลายด้าน ทั้งกรณีการแพร่ระบาดของโรคโควิด ข้อขัดแย้งทางการค้า และความกังวลของออสเตรเลียเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อขยายอิทธิพลทางการเมืองของจีน

Tom Tugendhat สมาชิกสภานิติบัญญัติของพรรคอนุรักษนิยมแห่งสหราชอาณาจักร และประธานคณะกรรมการการต่างประเทศของรัฐสภา เขียนบน Twitter ให้เหตุผลต่อความเคลื่อนไหวทั้งหมดอย่างชัดเจนว่า "หลังจากหลายปีของการกลั่นแกล้งและค้าขายเป็นปรปักษ์ และการเฝ้าดูเพื่อนบ้านในภูมิภาค เช่น ฟิลิปปินส์ถูกรุกล้ำน่านน้ำของพวกเขา ทำให้ออสเตรเลียไม่มีทางเลือก และสหรัฐฯ หรือสหราชอาณาจักรก็เช่นกัน"

ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จีนได้ขยายอิทธิพลเหนือทะเลจีนใต้ด้วยการสร้างเกาะเทียมขนาดเล็กหลายเกาะ และเปลี่ยนเป็นฐานทัพ พร้อมจัดส่งกองกำลังรักษาการทางทะเลและหน่วยคุ้มกันชายฝั่งเข้าคุมพื้นที่ ขณะที่ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา รัฐบาลปักกิ่งยังผ่านกฎหมาย อนุญาตให้หน่วยคุ้มกันชายฝั่งยิงเรือต่างชาติที่รุกล้ำน่านน้ำได้

ผลกระทบไม่ใช่แค่จีน

เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดเผยต่อสำนักข่าว Reuters ว่า ความร่วมมือไตรภาคีที่เกิดขึ้นไม่ได้พุ่งเป้าไปที่จีนหรือประเทศอื่นใดเพียงประเทศเดียว แต่ยังมีภารกิจความร่วมมือที่ครอบคลุมในหลายด้าน ทั้งการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการป้องกันความมั่นคง ตลอดจนความร่วมมือด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เทคโนโลยีควอนตัม และความร่วมมือในการสร้างความมั่นคงด้านไซเบอร์ รวมถึงความร่วมมือในการเป็นฐานอุตสาหกรรม

แต่การทำข้อตกลงแบ่งปันเทคโนโลยีสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ให้กับออสเตรเลีย สร้างความไม่พอใจแก่รัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งมองว่าสนธิสัญญาไตรภาคีนี้เป็นการ 'แทงข้างหลัง' เนื่องจากอาจทำให้ออสเตรเลียยกเลิกสัญญาจ้างผลิตเรือดำน้ำ วงเงิน 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ทำกับฝรั่งเศสเมื่อ 2 ปีก่อน

โดยกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมฝรั่งเศสออกแถลงการณ์ร่วม วิจารณ์การตัดสินใจของออสเตรเลีย ที่สวนทางกับเจตนารมณ์ความร่วมมือระหว่างออสเตรเลียและฝรั่งเศส ซึ่งคาดว่าผลจากเรื่องนี้อาจจะกระทบกระเทือนถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างออสเตรเลียกับฝรั่งเศสที่มีมาอย่างยาวนาน

อย่างไรก็ตาม ผู้นำทั้ง 3 ประเทศแสดงความชัดเจนว่าการตั้งพันธมิตรไตรภาคีจะไม่กระทบต่อความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกอื่นๆ เช่น พันธมิตรสี่เส้าด้านความมั่นคง (Quadrilateral Security Dialogue) หรือ 'Quad' ซึ่งสหรัฐฯ และออสเตรเลีย จับมือกับอินเดียและญี่ปุ่น จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2007

ขณะที่รัฐบาลวอชิงตันย้ำว่า สหรัฐฯ จะยังคงความร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรต่างๆ ทั้ง Quad, อาเซียน และกลุ่มพันธมิตรในอีก 5 สนธิสัญญา ตลอดจนนานาประเทศที่เป็นพันธมิตรในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

โดย วิโรจน์ เลิศจิตต์ธรรม

Source: Standard Wealth
TRADE RIDER

 

XM Global Limited