(Mar 25) โควิด'เปลี่ยนการบริโภคจีน เครื่องดื่มแซงหน้าบะหมี่ : รายงานวิจัยทางการตลาดล่าสุดสะท้อนว่า รสนิยมผู้บริโภคชาวจีนเปลี่ยนไป ในช่วงที่การแพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 ลดความรุนแรงลง โดยชาวจีนหันมาบริโภค เครื่องดื่มมากกว่าบะหมี่ ทำให้เซ็กเมนท์ธุรกิจเครื่องดื่มโตแซงหน้า ยอดขายบะหมี่
ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนัก ผู้คนหลายล้านต้องอยู่แต่ในบ้าน ภายใต้คำสั่งล็อกดาวน์ของทางการ ผู้บริโภคชาวจีนพึ่งพาอาหาร ที่รับประทานได้ในเวลาอันรวดเร็วและสะดวกอย่างบะหมี่จำนวนมาก แต่เมื่อทางการสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้ และ รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเริ่มกลับไปเป็นปกติ ความต้องการอาหารที่เน้นความสะดวกสบายและรวดเร็วอย่างบะหมี่ก็ลดลง
"ติงยี โฮลดิงส์" ผู้ผลิตบะหมี่สำเร็จรูปรายใหญ่สุดของจีน เจ้าของแบรนด์มาสเตอร์คัง รายงานยอดขายบะหมี่สำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 29% ในครึ่งแรกของปี 2563 เทียบกับปีก่อนหน้านี้ แต่รายงานรายได้ ตลอดทั้งปีเมื่อวันจันทร์ (22 มี.ค.) แสดงให้เห็นว่ายอดขายบะหมี่ เติบโตน้อยลงเหลือ 6.1% ในช่วงครึ่งหลังของปี
สวนทางกับคู่แข่งหลักอย่างยูนิ-เพรสซิเดนท์ ไชนา โฮลดิงส์ ที่รายงานผลประกอบการเมื่อวันศุกร์ (19 มี.ค.) โดยในเซ็กเมนท์ อาหารของบริษัท ซึ่งประกอบด้วยบะหมี่สำเร็จรูปเป็นส่วนใหญ่เติบโต จากปีก่อนเป็นตัวเลขสองหลัก แต่รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังร่วงลง 0.4% หลังจากทะยาน 22% ในช่วงครึ่งแรกของปี
ผู้ผลิตอาหารชั้นนำทั้งสองแห่งรายงานตัวเลขผลกำไร สำหรับปี 2563 สดใส ขณะที่บริษัทอื่นๆ ทั่วโลกผลกำไรหดหายเพราะผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ติงยี รายงาน รายได้ของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้น 9.1% เป็น 67,610 ล้านหยวน (10,380 ล้านดอลลาร์) ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 22% เป็น 4,060 ล้านหยวน ยอดขายโดยรวมของยูนิ-เพรสซิเดนท์ขยายตัว 3.4% เป็น 22,760 ล้านหยวนและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 19% เป็น 1,620 ล้านหยวน
ถือเป็นโชคดีสำหรับบริษัททั้งสองแห่งที่จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ฮ่องกง อีกครึ่งที่เหลือของธุรกิจหลักของทั้งสองบริษัทคือเครื่องดื่มบรรจุกระป๋องและบรรจุขวด รวมทั้ง ชากระป๋อง กาแฟ น้ำผลไม้และน้ำดื่ม ขณะที่แฟรนไชส์เป๊ปซี่ของติงยีฟื้นตัว อย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้วช่วยชดเชยความต้องการ บะหมี่ที่หดหายไปได้
การบริโภคเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ลดลงอย่างมากในปีที่แล้ว ที่มีการล็อกดาวน์แต่ตอนนี้ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ความต้องการเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ก็เพิ่มขึ้น
ขณะที่ทั้งติงยีและยูนิ-เพรสซิเดนท์ ซึ่งต่างก็เป็นบริษัทสัญชาติไต้หวัน มองแนวโน้มธุรกิจในลักษณะคล้ายๆ กัน
"ช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ที่ยอดขายของธุรกิจบะหมี่สำเร็จรูปกลับมาอยู่ที่ระดับปกติและเซ็กเมนท์เครื่องดื่มก็คึกคักหลังจาก ปรับตัวร่วงลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งแรกของปี 2563"เว่ย หง-หมิง ประธานบริษัทติงยี กล่าว
ด้าน "โล ซี-เชียน" ประธานของยูนิ-เพรสซิเดนท์ ไชนา โฮลดิงส์ อธิบายว่า ความกังวลเรื่องโรคระบาดทำให้ผู้บริโภคตระหนักถึง จุดเด่นด้านความปลอดภัยของบะหมี่สำเร็จรูป เมื่อรวมกับรสชาติที่อร่อยก็ช่วยให้ทุกแบรนด์เติบโตกันอย่างพร้อมเพรียง
ขณะที่ข้อมูลของบริษัทวิจัยนีลเส็น ระบุว่า ช่วง 6 เดือนแรก ของปี 2563 ตลาดบะหมี่สำเร็จรูปในจีนขยายตัว 11.5%
แต่รูปแบบการบริโภคในจีนที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็น ในผลประกอบการของบริษัทชั้นนำอื่นๆด้วยเช่นกันเช่นบริษัท นงชิม โฮลดิงส์ ของเกาหลีใต้ ซึ่งผลิตบะหมี่ชิน ราเมียน โดยสามารถ ทำยอดขายในจีนเพิ่มขึ้นกว่า 30% ในช่วงครึ่งแรกของปี แต่พอมาถึง ช่วงครึ่งหลังของปีกลับลดลงเหลือโตแค่ 6% ส่วนนิชชิน ฟู้ดส์ ของญี่ปุ่นเติบโตลดลงในช่วงครึ่งหลัง โดยทั้งสองบริษัทมียอดขาย ในแต่ละปีในจีนแผ่นดินใหญ่อยู่ที่ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ธุรกิจแฟรนไชส์โคคา-โคลาของสไวร์ แปซิฟิกใน จีนแผ่นดินใหญ่กลับมีการเติบโตตรงกันข้ามกับบริษัทบะหมี่ โดย ยอดขายร่วงลง 1% ในช่วงครึ่งแรกของปีจากนั้นยอดขายช่วงเดือนก.ค.-ธ.ค.เพิ่มขึ้น 9%
การฟื้นตัวดังกล่าวเป็นสิ่งดีๆ ท่ามกลางวิกฤติสำหรับกลุ่มบริษัทฮ่องกงซึ่งบอบช้ำอย่างหนักจากการขาดทุนสุทธิเป็นเงิน 11,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (1,420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2563 สืบเนื่องจากผลประกอบการของสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิกและธุรกิจให้บริการ ทางทะเลไม่เป็นไปตามเป้า
"แผนกเครื่องดื่มของสไวร์ แปซิฟิกแม้จะได้รับผลกระทบ อย่างหนักจากการระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปี แต่ก็ ฟื้นตัวได้เร็ว โดยเฉพาะในจีนแผ่นดินใหญ่"เมอร์ลิน สไวร์ ประธานบริษัทกล่าว
บริษัทยังบริหารจัดการธุรกิจโคคา-โคลาใน 11 มณฑลและ นครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมียอดขายประมาณครึ่งหนึ่งของยอดขายในธุรกิจ เครื่องดื่มที่เมื่อปีที่แล้ว ทำรายได้กว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง และบริษัทยังมีธุรกิจในฮ่องกง ไต้หวัน กับบางส่วนในสหรัฐ
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์