กองทุน SPDR GOLD SHARES
ถือทองก่อนหน้า
ถือทองล่าสุด
0.00
*หน่วยตัน / ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ
สถิติกองทุน SPDR
ราคาทองคำแท่ง 96.5%
ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ
ครั้งที่
ราคาก่อนหน้า
ราคาล่าสุด
0
(หน่วย บาท*) / อัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2566 เวลา 13:04 น.
สถิติราคาทองคำ ไทย

การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท

  • 203 replies
  • 14,625 views
บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 21 - 25 ธันวาคม 2020

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

- EUR/USD ตามรายงานของ Bank of America Merrill Lynch ยุทธศาสตร์ยอดนิยมมากที่สุดในตลาดรองจาก "เข้าซื้อหุ้น" คือ "ขายดอลลาร์" ตำแหน่งขายแบบเก็งกำไรระยะสั้นในดอลลาร์ทำให้ราคาคู่นี้ขึ้นมาถึงระดับสูงสุดในรอบสองปี ดัชนี USD (DXY) ขยับลงต่ำกว่าระดับ 90 โดยราคาเคยอยู่ที่ 102.82 เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2020 สำหรับการอ่อนค่าลงของดอลลารในช่วงไม่กี่วันล่าสุดเป็นเพราะข่าวการหารือของสภาคองเกรสสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นทางการคลังเพิ่มเติม ทั้งนี้ เงินทุกหนึ่งดอลลาร์ที่อัดฉีดเข้าเศรษฐกิจประเทศจะนำไปสู่กำลังซื้อที่อ่อนแอลง
ด้านการประชุมของธนาคารเฟดสหรัฐฯ ที่จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อตลาด อัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ระดับเดิม และเราอาจพูดได้ว่า อารมณ์ช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาสปกคลุมการแถลงข่าว ไม่มีการกล่าวถึงอะไรใหม่ ๆ เกี่ยวกับการขยายมาตรการผ่อนคลายชิงปริมาณ และไม่มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่ท่าทีที่นิ่งเฉยนี้ไม่ได้เป็นเพราะเทศกาลคริสต์มาสอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประธานาธิบดีคนใหม่ยังคงไม่เข้ารับตำแหน่งในทำเนียบขาว และคนเก่าก็ยังดูมีเรื่องคาราคาซังอยู่
จริง ๆ อยู่ ความหวังของนักลงทุนว่าดัชนี S&P จะเติบโตขึ้นและความคืบหน้าที่ดีของการเจรจาเบร็กซิตส่งผลให้คู่ EUR/USD ขยับขึ้นไปทางเหนือ โดยขึ้นมา 140 จุดตลอดสัปดาห์ ก่อนที่จะปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.2250

- GBP/USD เมื่อ USD อ่อนค่าลงและปรากฏความหวังว่าการเจรจาเบร็กซิตจะประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด ราคาคู่นี้ได้แข็งค่าขึ้นมาสูงขึ้น ทำราคาสูงสุดในรอบสัปดาห์เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ 1.3625 แสดงการเติบโตถึง 400 จุด อย่างไรก็ตาม แนวโน้มนี้ตามมาด้วยการปรับฐานราคา และราคาปิดตลาดรอบห้าวันทำการใต้ระดับที่ 1.3500
ความเชื่อในข้อตกลงนั้นถูกกระตุ้นโดยรายงานข่าวต่าง ๆ ว่าปัญหาการประมงในน่านน้ำอังกฤษยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญประการสุดท้าย ตลาดได้รับแรงหนุนจากคำแถลงของ นางเออร์ซูลา วอน เดอ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งกล่าวว่า มี "หนทางแคบ ๆ" ที่จะไปสู่ข้อตกลงฉบับนี้ รวมถึงนายมิเชล บาร์เนีย กรรมการยุโรปด้านการค้าภายใน ผู้กล่าวยืนยันว่า "ยังคงมีโอกาสในการได้ข้อตกลงการค้านี้อยู่"
สหราชอาณาจักรดูเหมือนว่าจะเห็นด้วยกับข้อตกลงเช่นกัน แต่ก็มีการรายงานว่า "ควรไม่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยและควรมีอำนาจเหนือน่านน้ำทะเลเช่นกัน" นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ขู่ว่าจะห้ามไม่ให้ชาวประมงจากยุโรปเข้ามาในเขตน่านน้ำอังกฤษเป็นเวลาอย่างน้อยแปดปี หากโควตาการทำประมงสามปีของเขาไม่ได้รับการยอมรับ
โดยทั่วไปแล้ว คำถามที่เข้ากับสถานการณ์นี้ก็คือ "จะเป็นหรือไม่เป็น?" จากวรรณกรรม Hamlet ซึ่งเป็นคำถามที่รอคำตอบมากว่า 420 ปี เช่นเดียวกับเบร็กซิตที่ยังคงรอคำตอยอยู่

- USD/JPY เงินเยนญี่ปุ่นเสถียรขึ้น กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในช่วงการซื้อขายเดิม ดอลลาร์อ่อนค่าลง ดัชนี USD (DXY) ปรับตัวลดลง ทั้งหมดนี้ทำให้คู่ USD/JPY ขยับอย่างเรียบ ๆ ในช่วงกรอบระยะกลางขาลง ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ราคาได้ขยับถึงเส้นตรงกลางของกรอบดังกล่าว ทำราคาต่ำสุดในรอบสัปดาห์ที่ 102.85 และจุดสุดท้ายของรอบห้าวันทำการคือ 103.30

- คริปโตเคอเรนซี สิ่งที่จับตารอคอยจากบิทคอยน์เป็นเวลาสามปีเต็มก็ได้เกิดขึ้นจริง ราคาไม่ใช่แค่ทำสถิติสูงสุดใหม่เท่านั้น แต่ยังตัดผ่านระดับ $20,000 โดยทะยานขึ้นไปในช่วงสั้น ๆ ระหว่างวันที่ 12-17 ธันวาคม จาก $18,000 ขึ้นมาที่ $23,620 โดยทำราคาขึ้นมาถึง 30%
หากเราเปรียบเทียบช่วงขาขึ้นระหว่างเดือนธันวาคมปี 2017 กับปี 2020 ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างสองช่วงนี้ ประการแรกก็คือ ปัจจัยที่ผลักดันเดิมเคยเป็นนักลงทุนรายย่อย แต่ตอนนี้เป็นนักลงทุนรายสถาบัน ตามการวิเคราะห์ของบริษัท Chainalysis "ประชากร" ของเหล่าปลาวาฬบิทคอยน์ (1000 BTC และอีกมากมาย) ขยายขึ้นมาโดยมีวอลเล็ตใหม่จำนวน 302 วอลเล็ตนับตั้งแต่ต้นปี และมากที่สุดถึง 2274 วอลเล็ตเมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา โดยยอดเงินในที่อยู่วอลเล็ตดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 1.4 ล้าน BTC ในช่วงเวลานี้
จริง ๆ แล้ว จำนวนผู้ใช้งานรายย่อยก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน จำนวนที่อยู่บิทคอยน์ที่มียอดคงเหลือไม่เป็นศูนย์สูงถึง 33 ล้านวอลเล็ต โดยทำสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมาตามรายงานจากบริการการวิเคราะห์ของ Glassnode จำนวนวอลเล็ตที่มียอดคงเหลือมากกว่า 1 BTC ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนีนี้ทำราคาสูงสุดใหม่ที่ 827,105 ไม่นานมานี้ โดยฟื้นตัวจากภาวะถดถอยเล็กน้อยเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน
แน่นอน เราเคยเขียนถึงเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง ไวรัสโคโรนาส่งผลต่อความนิยมของบิทคอยน์ อย่างไรก็ดี ตอนนี้หากจะกล่าวถึงการยอมรับคริปโตเคอเรนซีโดยประชากรโลกก็คงจะยังเป็นเรื่องที่เร็วเกินไป ผลสำรวจโดย  Opinium และ AltFi ที่สำรวจชาวอังกฤษชี้ว่า มีเพียง 10% เท่านั้นที่ซื้อเงินคริปโต และแม้ว่าผลลัพธ์ของปี 2020 อาจมองได้ว่าเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อปีที่แล้วตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ครึ่งเดียวที่ 5.3% เท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ทำให้มีศักยภาพของการเติบโตของการตลาดเงินคริปโตอีกมาก ทั้งนี้มูลค่ารวมของตลาดขยับถึง $670 พันล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม
สิ่งที่ต้องให้ความสนใจก็คือ แม้ว่าราคา BTC/USD จะทำลายสถิติราคาของปี 2017 ขึ้นมามากแล้ว มูลค่ารวมในตลาดยังคงไม่ทำลายสถิติที่ $830 พันล้านเหรียญตามสถิติเมื่อวันที่ 7 มกราคมปี 2018 กล่าวคือ การทะยานขึ้นของบิทคอยน์นั้นกระตุ้นโดยปริมาณเงินที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับรอบก่อนหน้าหน้า อาจแปลว่าราคามีแรงซื้อมากเกินไปอย่างยิ่ง ตามที่ปรากฏโดยค่าของดัชนี Crypto Fear & Greed Index ซึ่งขยับขึ้นมาอีกครั้งในรอบเจ็ดวันจาก 89 เป็น 95 และเข้าใกล้กับระดับเพดานที่ 100 ในขณะที่ราคายังคงรอการปรับฐานอยู่นั้น เราควรให้ความสนใจว่า ตอนนี้เป็นช่วงปลายปีและวันหยุดคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา และสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดอาจจะเกิดขึ้นในตลาดแห่งนี้ที่ความผันผวนจากศูนย์อาจพุ่งขึ้นอย่างไม่คาดคิด


สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

- EUR/USD สัปดาห์หน้านี้ในวันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม การเทรดฟอเร็กซ์จะปิดทำการเวลา 17:00 นาฬิกา ตามเวลา CET และจะไม่มีการซื้อขายใด ๆ ในวันที่ 25 ธันวาคมซึ่งเป็นวันคริสต์มาส (โปรดดูที่เว็บไซต์ NordFX ในส่วนข่าวสารบริษัทเกี่ยวกับรายละเอียดตารางการซื้อขายในช่วงวันคริสต์มาสและวันหยุดปีใหม่ของตลาดเงินตราต่างประเทศและตลาดคริปโตเคอเรนซี รวมถึงสัญญา CFD)
ช่วงปลายปีเป็นช่วงที่เหล่าผู้เล่นรายใหญ่จะปิดตำแหน่ง สรุปผล และเริ่มไปหยุดพักผ่อน แต่ในช่วงที่มีสภาพคล่องต่ำในตลาดนี่เอง นักเทรดจะต้องเตรียมพร้อมหากมีเซอร์ไพรส์กะทันหันขึ้นมา และไม่จำเป็นเสมอไปที่ข่าวเซอร์ไพรส์จะมาแบบเป็นของขวัญจากลุงซานต้า ข่าวเซอร์ไพรส์หลักอาจเป็นข้อตกลงระหว่างอียูและสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับข้อกำหนดเบร็กซิต (หรือการไม่มีข้อตกลง)
ณ เวลาที่เขียนบทวิเคราะห์นี้ อินดิเคเตอร์เทรนด์ 95% บนกรอบ H4 และ 100% บนกรอบ D1 ให้สัญญาณสีเขียว รวมถึงออสซิลเลเตอร์ 75% บนทั้งสองกรอบเวลาก็ชี้ไปทางทิศเหนือ อย่างไรก็ตาม สัญญาณ 25% ที่เหลือชี้ว่า ราคาคู่อยู่ในโซน overbought และอาจมีการปรับฐานราคา
การวิเคราะห์กราฟบน H4 คาดการณ์ว่า การเคลื่อนที่ของคู่นี้ในช่วงการเทรดที่ 1.2175-1.2300 และบน D1 ชี้ว่า มีโอกาสที่ราคาจะเติบโตขึ้นไปยังระดับ 1.2355 ด้านผู้เชี่ยวชาญ 80% เห็นด้วยกับแนวโน้มนี้ ในขณะที่ 20% ที่เหลือคาดว่าราคาจะปรับลดลงมายังแนวรับที่ 1.2100 และเมื่อปรับจากการวิเคราะห์รายสัปดาห์เป็นรายเดือน จำนวนผู้สนับสนุนฝั่งตลาดหมีเพิ่มขึ้นเป็น 65% โดยมีแนวรับที่ใกล้ที่สุดที่ 1.2055 และ 1.1900
บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 21 - 25 ธันวาคม 20201

- GBP/USD อย่างที่เราได้เขียนวิเคราะห์ไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แนวทางที่เป็นไปได้เกี่ยวกับเบร็กซิตมีอยู่สามทางเลือก ได้แก่
1 - อ่อนโยนปานกลาง คือ การตัดสินใจที่จะขยายข้อกำหนดฉบับปัจจุบันของช่วงเวลาในการเปลี่ยนผ่านออกไปอีกหกเดือนหรือหนึ่งปี เพื่อค่อย ๆ ปรับกฏกติกาให้คล้ายกันกับกติกาพื้นฐานขององค์การการค้าโลก ในกรณีนี้ เงินปอนด์จะไม่ทรุดหนักอย่างพินาศ แม้ว่าค่าเงินปอนด์อาจจะอ่อนค่าลงก็ตาม ซึ่งในกรณีนี้ ระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุด ได้แก่ 1.3275 จากนั้นที่ 1.3100, 1.3000 และ 1.2850
2 - เบร็กซิตแบบ "รุนแรงที่สุด" คือไม่มีข้อตกลงหรือการยืดระยะเวลาใด ๆ ซึ่งจะทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงมาในตอนแรกยังระดับ 1.2700 และต่อมาอาจจะลงมาที่ระดับต่ำสุดของเดือนพฤษภาคมปี 2020 ที่บริเวณ 1.2075-1.2160
3 - การได้ข้อตกลงฉบับสมบูรณ์ระหว่างอียูและสหราชอาณาจักร ในกรณีนี้ เราจะเห็นเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นมาในตอนแรกมาที่ระดับ 1.3500 และจากนั้นอาจไปที่ระดับสูงสุดของปี 2018 ที่บริเวณ  1.4350 เราจะได้ทราบอีกไม่นานว่าจะเป็นไปตามแนวทางใด
   
- USD/JPY ออสซิลเลเตอร์ 90% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% ยังคงให้สัญญาณสีแดง โดยคาดการณ์ว่าราคาของคู่จะอ่อนค่าลงไปยังกรอบระยะกลางขาลง สำหรับนักวิเคราะห์นั้นเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งชี้ตามในกรอบ H4 และ D1 ว่าราคาน่าจะขยับไปในกรอบ 102.70-104.00 กล่าวคืออยู่ตรงกลางและครึ่งบนของกรอบดังกล่าว

- คริปโตเคอเรนซี คุ้มค่าหรือไม่ที่จะรอให้ "ฤดูหนาวแห่งเงินคริปโต" ของปี 2017 ขึ้นปี 2018 กลับมาซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง? หรือว่าหลังจากที่มีการปรับฐานเล็กน้อย คู่ BTC/USD จะทะยานขึ้นไประดับใหม่อีก?
นายโรเบิร์ต คิโยซากิ เจ้าของหนังสือขายดีอันดับหนึ่งชื่อเรื่อง Rich Dad Poor Dad เชื่อว่า เงินคริปโตจะขยับขึ้นต่อไปยังระดับ $50,000 ในปีหน้านี้เมื่อมีเงินจากสถาบันต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามา ผู้ประกอบการคนนี้ยังกล่าวดูว่า "อเมริกากำลังมีปัญหา" ที่จะนำไปสู่ "การมรณะ" ของดอลลาร์สหรัฐฯ และ "อนาคตอันสดใส" สำหรับทองคำ เงิน และบิทคอยน์
PlanB นักวิเคราะห์เงินคริปโตชาวดัตช์ชื่อดังผู้พัฒนาโมเดล stock-to-flow ที่นิยมของ BTC เชื่อว่า ราคาของบิทคอยน์อาจขยับขึ้นไปถึง $100,000 ภายในสิ้นปี 2021 และอาจขึ้นไปถึง $300,000 PlanB ยอมรับว่า การคาดการณ์นี้ดูจะมองโลกในแง่บวกเป็นอย่างมาก และอาจฟังดูเป็นเรื่องตลกสำหรับนักลงทุนบางราย อย่างไรก็ตาม การทะยานขึ้นของบิทคอยน์ในอดีตทำให้เขาเชื่อในการคาดการณ์นี้
นักวิเคราะห์จากบริษัทการเงิน JPMorgan Chase ก็ชี้ว่า นักลงทุนรายสถาบันอาจลงทุนเป็นเงินสูงสุด $600 พันล้านดอลลาร์ในบิทคอยน์ในช่วงปีข้างหน้า โดยแปลว่าบริษัทประกันสัญชาติอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น และกองทุนเงินบำนาญต่าง ๆ ลงทุนบิทคอยน์เพียง 1% เท่านั้น
นายนิโคเลาส์ พานิเกิร์ตโซกลู นักยุทธศาสตร์ชั้นนำของ JPMorga เน้นย้ำว่า เงินลงทุนมูลค่า $100 ล้านดอลลาร์ล่าสุดโดยบริษัทประกัน Massachusetts Mutual Life Insurance Compay เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการยอมรับบิทคอยน์ขององค์กรจำพวกนี้ ในขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ยังยอมรับด้วยว่า มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะให้นักลงทุนแบบเดิม ๆ ลงทุนในเงินคริปโต เพราะจะยังคงมีเงื่อนไขและกฎระเบียบมากมายสำหรับตัวเลือกสินทัรพย์การลงทุนนี้ ตลอดจนความเสี่ยง และการปฏิบัติตามพันธสัญญา ซึ่งอาจเป็นตัวจำกัดกองทุนต่าง ๆ ในการซื้อ BTC
โดยทั่วไป ประเด็นเรื่องท่าทีของหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลต่อบิทคอยน์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของพัฒนาการในตลาดนี้ ประเด็นนี้มีการพูดคุยอย่างแข็งขันในการประชุม BlockShow ครั้งล่าสุด ผู้บรรยายกล่าวว่า แม้ว่าฝั่งการเงินที่กระจายศูนย์กลางจำเป็นจะต้องสื่อสารกับทางรัฐบาล แต่ก็ไม่สามารถที่จะประนีประนอมต่อพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ หากเราเริ่มมีกฎระเบียบในตลาดแห่งนี้ ก็จะทำให้ตลาดนี้แทบไม่มีความแตกต่างจากเงินพันธบัตรทั่วไป
ตอนนี้มาถึงแนวโน้มคู่ BTC/USD สำหรับช่วงสองสามสัปดาห์ข้างหน้า จากการคาดการณ์โดยเฉลี่ยมีโอกาสที่ราคาจะขึ้นไปถึง $25,000-26,000 อยู่ที่ประมาณ 30% และเหนือ $30,000 ที่ 10% สำหรับแนวโน้มขาลงที่ปรับฐานราคาลงมาที่ $18.500-20,000 อยู่ที่ 20%
สำหรับอัลท์คอยน์ ผู้ที่ในตอนนี้อาจจะยังลังเลที่จะลงทุนในบิทคอยน์อาจให้ความสนใจใน Ethereum หาก BTC ทุบสถิติราคาสูงสุดของปี 2017 โดยขึ้นมาแล้วอีก 16% ETH ก็ยังจะมีราคาให้ขึ้นจากที่ปัจจุบัน $670 ไปยังระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ $1,420 โดยอีธีเรียมเองก็แสดงพฤติกรรมที่ดีกว่าบิทคอยน์ในปีนี้ ซึ่งทำราคาขึ้นมาถึง 640% จากราคาต่ำสุดของเดือนมีนาคมเทียบกับ 456% สำหรับ BTC
นอกจากนี้ อัลท์คอยน์บล็อกเชนอันดับหนึ่งก็ทำการอัปเดตใหม่ โดย Ethereum 2.0 ทำให้เงินคริปโตสกุลนี้มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ มีขนาดที่ดี และหวังว่าจะทำกำไรได้ขึ้นเช่นกัน
และมาถึงจุดนี้เราก็จำเป็นที่จะย้อนไปถึงคำเตือนของ นายวิทาลิค บูเทอริน ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ที่ขอให้คนอย่าไปสร้างหนี้สินหรือกู้ยืมเงินเพื่อมาซื้อสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นบิทคอยน์ อีธีเรียม หรือเหรียญอื่นใด เขากล่าวว่าเขาเองมีเงิน "แค่เพียงไม่กี่พันดอลลาร์รวมสุทธิ" ก่อนที่จะมีการพัฒนา Ethereum ขึ้นมา "อย่างไรก็ตาม ผมขายเหรียญบิทคอยน์ออกไปครึ่งหนึ่งเพื่อมั่นใจว่า ผมจะไม่ทรุดหนักหากอยู่ ๆ ราคาดิ่งลงมาเป็นศูนย์" เขาอธิบาย


กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

https://th.nordfx.com
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 25, ธันวาคม 2020, 03:21:37 PM »
สวัสดีปีใหม่ 2021!


เรียน คุณลูกค้าและพาร์ทเนอร์ทุกท่าน! เราขอแสดงความยินดีอย่างอบอุ่นในโอกาสวันหยุดที่จะมาถึง

ปี 2020 ที่จะผ่านไปอาจจะไม่ใช่ปีที่ง่ายดายที่สุดสำหรับใครหลาย ๆ คน เราต้องอาศัยความอดทน ความพยายาม และพลังกายพลังใจมากมาย มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เรามั่นใจว่า เราสามารถก้าวข้ามอุปสรรคทุกประการไปด้วยกัน

ขอให้ปีที่จะถึงนี้เป็นปีแห่งชัยชนะและความสำเร็จร่วมกัน ขอให้ทิ้งความทุกข์ยากและปัญหาต่าง ๆ ไว้ข้างหลัง และมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองและความสำเร็จรอเราอยู่ข้างหน้า

ขอให้ความหวังและความฝันของคุณเป็นจริงในวันปีใหม่ เราอวยพรให้คุณและคนที่คุณรักมีสุขภาพที่ดี ประสบความสำเร็จ มีรอยยิ้มแห่งความสุขตลอดเวลา และเต็มไปด้วยทัศนคติที่ดี!

สวัสดีปีใหม่!

https://th.nordfx.com/
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 27, ธันวาคม 2020, 06:54:01 PM »
การคาดการณ์ปี 2021: บิทคอยน์ยังคุ้มค่าที่จะลงทุนหรือไม่?


บิทคอยน์ คือ "ทองคำแห่งศตวรรษที่ 21" หรือเป็นฟองสบู่ที่กำลังจะแตก? เราเคยพูดคุยกันหลายครั้งเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของบิทคอยน์ตลอดปีที่ผ่านมา และวิเคราะห์เหตุผลที่ราคาขึ้นและลง ดังนั้น เราจึงตัดสินใจที่จะอ้างอิงเฉพาะความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแนวโน้มราคาบิทคอยน์ในบทวิเคราะห์ฉบับนี้

คุณอาจตัดสินใจที่จะอดทนรอและลงทุนในบิทคอยน์เพื่อเก็งกำไรในระยะยาว หรือในทางตรงกันข้าม คุณไม่ต้องการที่จะเสี่ยงหรืออยากจะลืมคำ ๆ นี้ไปเลยด้วยซ้ำ ทั้งนี้ทั้งนั้น การตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายบิทคอยน์หรือไม่ทำอะไรเลยนั้นล้วนขึ้นอยู่กับคุณ


คำทำนายของกลุ่มผู้มองโลกในแง่ดี: ขึ้นเหนือแน่นอน!

1. Robert Kiyosaki ผู้ประกอบการและเจ้าของหนังสือเล่มขายดี Rich Dad Poor Dad เชื่อว่า ราคาคริปโตเคอเรนซีนี้จะขึ้นไปถึง $50,000 ในปีหน้าหลังจากมีเงินจากนักลงทุนรายสถาบันหลั่งไหลเข้ามา เขากล่าวว่า "อเมริกากำลังมีปัญหา" โดยเกริ่นถึง "ความตาย" ของเงินดอลลาร์สหรัฐ และ "อนาคตที่สดใส" สำหรับทองคำ เงิน และบิทคอยน์

"ราคาขาขึ้นของบิทคอยน์จะแซงหน้าทองคำและเงิน" เขาเขียน แต่นี่หมายความว่าอะไร? นี่หมายความว่า คุณจำเป็นจะต้องซื้อบิทคอยน์และทองคำให้มากที่สุดและเก็บไว้ใช่หรือไม่ รถไฟขบวนนี้ได้ออกจากสถานีไปแล้ว ดอลลาร์กำลังใกล้ตาย เมื่อดอลลาร์ทรุดลง ราคาก็จะไม่มีความหมายอีกต่อไป สิ่งที่มีความหมายก็คือ คุณมีทองคำ เงิน และบิทคอยน์เท่าไรต่างหาก"

2. ตามความเห็นของนักวิเคราะห์ที่บริษัทเครือธนาคาร JPMorgan Chase บิทคอยน์ทำราคาแซงหน้าทองคำในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกและมีศักยภาพสูงกว่ามากที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามรายงานฉบับนี้ มูลค่ารวมของตลาดเงินคริปโตยังไม่มากพอ JPMorgan ประมาณการว่า ตลาดทองคำรูปพรรณ รวมถึงที่สนับสนุนด้วยกองทุน ETF ขณะนี้อยู่ที่ $2.6 ล้านล้านเดอลลาร์ ซึ่งบิทคอยน์จะต้องทำราคาให้แตะ $130,000 เพื่อที่จะตามราคาทองคำให้ทันในแง่มุมนี้

ตามรายงานของ JPMorgan Chase นักลงทุนรายสถาบันอาจลงทุนเป็นเงินสูงสุด $600 พันล้านดอลลาร์ในบิทคอยน์ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งในที่นี้ต้องมีบริษัทประกันสัญชาติอเมริกัน ยุโรป และญี่ปุ่น และกองทุนเงินบำนาญต่าง ๆ ลงทุนเพียง 1% ของสินทรัพย์ทั้งหมดในบิทคอยน์ อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ยังมีเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบในการเลือกสินทรัพย์เพื่อการลงทุนด้านความเสี่ยงและภาระผูกพันสำหรับนักลงทุนสถาบันแบบดั้งเดิมกลุ่มนี้ ซึ่งอาจทำให้พวกเขามีข้อจำกัดในจำนวนเงินที่สามารถนำไปซื้อ BTC ได้

3. นักวิเคราะห์เงินคริปโตชื่อดังชาวดัตช์ PlanB เป็นผู้พัฒนาโมเดลการประเมินมูลค่า BTC เรียกว่า stock-to-flow ที่ได้รับความนิยม เขาเชื่อว่าราคาบิทคอยน์อาจขยับถึง $100,000 ภายในสิ้นปี 2021 และอาจสูงถึง $300,000 PlanB ยอมรับว่าตัวเลขคาดการณ์ของเขาฟังดูสูงไปมาก แต่การทะยานขึ้นของราคาบิทคอยน์ในอดีตทำให้เขาสามารถทำนายตัวเลขดังกล่าวในอนาคต

ผู้เชี่ยวชาญรายนี้พูดถึงช่วงเวลาที่มีการปรับฐานราคาในตลาด อัลกอริทึมของเหล่าปลาวาฬบิทคอยน์จะเก็บเงินจำนวน 0.01 BTC จาก "เหล่ามือที่อ่อนแอ" หลังจากนั้นเหรียญเหล่านี้ "จะหายไป" ในหลุม "มืด" ซึ่งนำไปสู่ช่วงภาวะการขาดแคลนและกระตุ้นตลาดกระทิงในที่สุด

4. Scott Minerd ผู้อำนวยการการลงทุนของ Guggenheim Investments มองว่าบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำเกินจริงเป็นอย่างมาก แม้แต่ที่ระดับราคาปัจจุบันบริเวณ $23,000 "งานหลักของเราชี้ให้เห็นว่า บิทคอยน์ควรจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ $400,000" เขากล่าวในบทสนทนากับ Bloomberg TV

นักวิเคราะห์ที่ Guggenheim Investments ได้ข้อสรุปนี้จากปัจจัยสองประการด้วยกัน คือ จำนวนการออกบิทคอยน์ที่จำกัดและมูลค่าที่สัมพันธ์กับราคาทองคำ โดยมีคุณลักษณะทั่วไปหลายประการที่คคริปโตเคอเรนซีมีเหมือนกันกับทองคำ กล่าวโดย Minerd แต่บิทคอยน์ต่างกับทองคำตรงที่ "มีมูลค่าพิเศษในบริบทของธุรกรรม"

5. Mati Greenspan นักวิเคราะห์ชื่อดังและผู้ก่อตั้ง Quantum Economics เชื่อว่า "เราอยู่ที่ช่วงเริ่มต้นของช่วงเวลาที่นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาสู่ในแวดวงเงินคริปโต หากความต้องการยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและปริมาณมีจำกัด ก็จะมีความเป็นไปได้ที่เราจะได้เห็นราคาเติบโตขึ้นถึง 250% หรือมากกว่า" ในขณะเดียวกัน Mati Greenspan ตัดโอกาสที่ราคา BTC จะทะยานขึ้นไปจนถึง $400,000 "การทะยานขึ้นจะไปต่อแน่นอน แต่ไม่จำเป็นที่เราจะต้องพูดถึงตัวเลขทะยานขึ้นอวกาศขนาดนั้นใด ๆ" เขากล่าวสรุป เขาเชื่อว่าปัจจุบันมีความแตกต่างไปจากเมื่อปี 2017 ซึ่งตอนนี้ตลาดถูกควบคุมโดยไม่แค่เฉพาะนักเก็งกำไร แต่ยังรวมถึงบริษัทและนักลงทุนรายใหญ่ที่มีความสนใจในความมั่นคง การเข้ามาของนักลงทุนรายใหญ่นี้นำไปสู่สถานการณ์ที่ความผันผวนจะต่ำลง และอาจจะมีความน่าดึงดูดเพิ่มมากขึ้น

6. ผู้เชี่ยวชาญจาก Bloomberg เชื่อว่าไม่มีเหตุผลที่การเคลื่อนที่ของบิทคอยน์จะเปลี่ยนทิศทางในตอนนี้ และราคาอาจขยับขึ้นถึง $50,000 ในปี 2021 "ดอลลาร์กำลังสูญเสียตำแหน่งอย่างช้า ๆ ร่วมกับสกุลเงินพันธบัตรทั่วไปอื่น ๆ" เขียนโดยสำนักข่าวนี้ "ทั้งหมดนี้สังเกตเห็นได้จากนักลงทุนที่ถูกบังคับให้ต้องหันไปหาสินทรัพย์ทางเลือก" บิทคอยน์ได้รับแรงสนับสนุนมากในตอนนี้ ซึ่งลดข้อจำกัดในโอกาสที่ราคาจะตีกลับมา ความสนใจอย่างเปิดเผยในตลาดฟิวเจอร์ส์ของบิทคอยน์ใน CME เพิ่มขึ้นเป็น $1 พันล้านเหรียญเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าบิทคอยน์ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น

เมื่อดูในระยะยาว Mike McGlone นักวิเคราะห์จาก Bloomberg เสนอว่า ภายใน  ปีนี้ ราคาบิทคอยน์อาจขึ้นไปสูงกว่า $100,000

7. มุมมองที่คล้ายกันนี้เป็นของ Paul Tudor Jones เศรษฐีพันล้านชาวอเมริกันและประธานบริษัท Tudor Investment Corporation ผู้กล่าวว่า "คริปโตเคอเรนซีกำลังประสบกับการทะยานขึ้นอย่างบ้าคลั่งบนจรวดที่ทั้งแล่นขึ้นและลงตลอดทาง" ในเวลา 20 ปี บิทคอยน์จะมีราคาสูงกว่าราคา ณ ปัจจุบันเป็นอย่างมาก ตั้งแต่นี้ต่อไป ถนนขึ้นทิศเหนือเท่านั้น" Yahoo! Finance อ้างอิงคำพูดของเขา

8. รายงานจากบริษัทฟินเทค Cindicator ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะตัวเลขที่นำเสนอในรายงานฉบับนี้ไม่ใช่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญรายบุคคล แต่เป็นผลลัพธ์โดยเฉลี่ยจากการสำรวจผู้ร่วมตลาดคริปโตกว่า 156,000 ราย โดยชี้ว่าในปีหน้านี้ ราคาจะขยับขึ้นไปถึง $29,569 ผู้ตอบแบบสำรวจที่เคยทำนายไว้อย่างแม่นยำมากที่สุด เรียกว่า "superforcasters" คาดว่า ราคาจะขึ้นไปสูงยิ่งกว่าโดยเฉลี่ยน่าจะไปถึงระดับ $32,056

ตามการคำนวณของ "Hybrid Intelligence" Cindicator ซึ่งใช้งานอัลกอริทึมการเรียนรู้โดยเครื่องเพื่อประมวลข้อมูลจากทีมนักวิเคราะห์ ชี้ว่าอัตราแลกเปลี่ยน BTC ในปีหน้านี้จะไม่ถึง $25,222

9. ตามความเห็นของนาย Mike Novogratz ประธาน Galaxy Digital ธนาคารการเทรดเงินคริปโต ทุกคนควรลงทุนเป็นเงิน 2-3% ของเงินทุนในบิทคอยน์ "หลังจากนั้นก็เพียงพอที่จะรอเวลาเล็กน้อย และคุณจะต้องประหลาดใจ แต่คริปโตเคอเรนซีจะมีราคามากกว่านี้ หากคุณรอเป็นเวลาห้าปี สินทรัพย์จะทวีคูณขึ้นหลายเท่า" เขาเขียน

10. ผู้เชี่ยวชาญจาก Stack Funds บิทคอยน์พร้อมที่จะขยับขึ้นไปทำราคาสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ที่ $86,000

11. ผู้อำนวยการของ Global Macro Investor นาย Raoul Pal คาดว่า แม้แต่นักลงทุนรายสถาบันที่อนุรักษ์นิยมสูง ซึ่งปกติจะชื่นชอบโลหะมีค่ามากกว่า จะเริ่มลงทุนในบิทคอยน์ในปีหน้า ดังนั้น นาย Pal จึงมีข้อสันนิษฐานที่ชัดเจนว่า อัตราแลกเปลี่ยนของบิทคอยน์อาจขยับขึ้นถึง $250,000 ในหนึ่งปี และได้วางคำสั่งขายทองคำทั้งหมดที่เขามี เพื่อลงทุนใน BTC และ ETH ในอัตราส่วน 80 ต่อ 20

12. การคาดการณ์ที่ดูสดใสมากยิ่งกว่าเป็นของผู้ก่อตั้งตลาดแลกเปลี่ยนคริปโต Gemini นาย Tyler Winklevoss หนึ่งในฝาแฝดพี่น้องที่ถูกเรียกว่าเป็นเศรษฐีพันล้านคริปโตเคอเรนซีรายแรก ๆ เขากล่าวบน CNBC ว่า มูลค่าของบิทคอยน์อาจขยับเกินระดับ $500,000

"คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าบิทคอยน์จะอยู่ที่ราคา $500,000 หรือไม่ คำถามก็คือสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร จริง ๆ แล้ว แม้แต่การประเมินดังกล่าวก็ยังดูน้อยไปมากสำหรับผม เกมจริง ๆ มันยังไม่เริ่มขึ้น" กล่าวโดยน้องชายของ Tyler นาย Cameron Winklevoss.

13. ตัวเลขที่คล้ายกันนี้ทำนายโดยกรรมการบอร์ดผู้บริหาร Bitcoin Foundation นาย Bobby Lee ผู้คาดการณ์ว่าราคาบิทคอยน์อาจขยับถึง $500,000 ภายในปี 2028

14. ตามความเห็นของกองทุนเพื่อการลงทุน ARK หนึ่งในผู้ถือหุ้นบริษัท Tesla มูลค่ารวมของตลาดบิทคอยน์อาจขยับถึง $5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะใช้เวลาถึง 10 ปี แต่การลงทุนขนานใหญ่อาจเริ่มขึ้นเร็วกว่านั้น โดยมูลค่ารวมในตลาดอาจสูงถึง $1 ล้านล้านเหรียญในอีก 5 ปีข้างหน้า หลังจากนั้นราคาจะเติบโตในอัตราที่เร็วขึ้น

15. การคาดการณ์นี้นำเสนอโดย นาย Tom Fitzpatrick ผู้อำนวยการบริหารหนึ่งในธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดในโลก Citibank ซึ่งเขามองว่า การแข็งตัวของสถานะทองคำดิจิทัลจะส่งผลให้ราคาบิทคอยน์ขยับถึง $318,000 ภายในสิ้นปี 2021

ในรายงานฉบับใหม่ของเขา เรื่อง "บิทคอยน์: ทองคำแห่งศตวรรษที่ 21" เขาเขียนว่า "บิทคอยน์ได้เคลื่อนที่หลังผลที่ตามมาของวิกฤติทางการเงินครั้งใหญ่เมื่อปี 2008 ซึ่งในขณะนั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในระบอบทางการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของราคาปรับลงเป็นศูนย์" และเขาสรุปต่อว่า ในปัจจุบัน มาตรการกระตุ้นทางการคลังในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนานำไปสู่เงื่อนไขที่คล้ายกันกับช่วงปี 1970s เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อในดอลลาร์และนำไปสู่ความต้องการในทองคำที่สูงขึ้น

16. นาย Max Kaiser ผู้ประกาศข่าวทีวีชื่อดังและอดีตผู้เชี่ยวชาญจากวอลล์สตรีทเชื่อว่า ในที่ระดับปัจจุบันนักเทรดฟิวเจอร์สบิทคอยน์กำลังกดดันราคา BTC เพื่อให้โอกาสนักลงทุนรายสถาบัน "ได้เก็บกระสุนเข้าคลัง" อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่ราคาแตะถึง $28,000 (เกณฑ์ปานกลางของนาย Kaiser) จำนวนเหรียญที่มีเหลือสำหรับการขายจะเป็นศูนย์ และด้วยภาวะขาดดุลเช่นนี้ ราคาจะระเบิดขึ้นไปยังอวกาศ

"สำหรับคนยากจนในโลกนี้ ราคาปัจจุบันและการเข้าถึงได้ของ BTC ไม่เพียงแต่จะเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะซื้อเงินที่ไม่อาจปลอมแปลงได้ก่อนที่ราคาจะขยับขึ้นไป 40-80 เท่า และราคาจะขยับขึ้นไปยังระดับที่ขนานกันกับทองคำที่บริเวณ $400,000" เขากล่าว

"ความต้องการในบิทคอยน์เพิ่มขึ้นแทบจะก้าวกระโดด" เขากล่าว "ในขณะที่อุปทานนั้นคงที่ตามหลักคณิตศาสตร์ที่ 900 เหรียญต่อวัน และในปี 2024 จำนวนเหรียญจะถูกลดลงครึ่งหนึ่งเป็น 450 BTC ต่อวัน ด้วยเหตุนี้เอง ผมคิดว่า หลายคนจะไม่มีโอกาสที่จะซื้อบิทคอยน์ เนื่องจากราคาอาจทะยานขึ้นไปถึง $1,000,000 ต่อ BTC ในระหว่างนี้ ชาว Gen Z ที่ซื้อบิทคอยน์จำนวนมากเมื่อราคาอยู่ต่ำกว่า $100 ได้กลายเป็นชนชั้นนำกลุ่มใหม่ ระเบียบโลกกำลังจะเปลี่ยนไป..."


คำทำนายของกลุ่มผู้มองโลกในแง่ร้าย: ไปไหนได้ไม่ไกล

1. แม้ว่าจะมีทัศนคติที่ดีโดยรวม Mike Novogratz ซีอีโอ Galaxy Digital เชื่อว่า บิทคอยน์จะสูญเสียเสถียรภาพในอนาคตอันใกล้ ราคาในปี 2021 จะไม่กลับมาเป็นศูนย์แน่นอน แต่อาจตกลงมาต่ำกว่าระดับ $14,000 หรือแม้แต่ $12,000 แม้ว่าการปรับฐานราคาไปยังระดับดังกล่าวอาจจะไม่เกิดขึ้น แต่นักลงทุนควรต้องเตรียมพร้อมที่จะขาดทุนอย่างน้อย 30-40%

2. ตามการคาดการณ์โดยเฉลี่ยของบริษัทฟินเทค Cindicator แนวรับด้านล่างของกรอบการซื้อขายสำหรับคู่ BTC/USD ในปี 2021 จะอยู่ที่ระดับ $15,000 "Superforcasters" ยังมองอย่างเลวร้ายกว่า และคาดว่าราคาจะลงมาถึง $12,000 และตามการคำนวณของ "Hybrid Intelligence" อัตราแลกเปลี่ยนบิทคอยน์จะไม่ขยับลดลงในปีหน้าต่ำกว่าระดับ $16,000

3. Matt Maley นักยุทธศาสตร์ที่บริษัทบริการทางการเงิน Miller Tabak เชื่อว่า ตลาดคริปโตเคอเรนซีจะประสบกับอุปสรรคครั้งใหญ่ในปีหน้า โดยบิทคอยน์เสียมูลค่า 25-30 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเดือนแรก ๆ ของปี 2021 ตามความเห็นของนาย Maley ตลาดกำลังคุกรุ่นเป็นเพราะการลงทุนขนานใหญ่ ด้วยเหตุนี้เอง การปรับฐานจำนวนหลายพันดอลลาร์อาจมาตรฐานที่เกิดขึ้นได้

"ผมมองว่าคริปโตเคอเรนซีเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในอนาคต แต่ขนาดการปรับฐานขั้นต่ำในปีหน้าจะอยู่ที่ $10 ในขณะเดียว ราคาอาจขยับลงมาที่ระดับ 30% หรือมากกว่า ดังนั้น ควรจะพิจารณาไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะเริ่มเข้าลงทุนขนานใหญ่" เขากล่าวเตือน



กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

https://th.nordfx.com/
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 04, มกราคม 2021, 05:20:41 PM »
บทวิเคราะห์ปี 2021: เราควรคาดหวังอะไรจากยูโรและดอลลาร์

หากมีใครสักคนถามว่าคู่สกุลเงินใดสำคัญและมีสภาพคล่องมากที่สุดในตลาดฟอเร็กซ์ เราจะได้ยินคำตอบโดยทันที แม้แต่นักเทรดมือใหม่ก็จะตอบว่า "EUR/USD แน่นอน" อย่างไม่ต้องมีข้อสงสัยใด ๆ โดยปริมาณการซื้อขายของคู่นี้อยู่ที่ $1.1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์ต่อวัน ทั้งสองสกุลเงินนี้เป็นตัวแทนของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลกสองแห่ง และดอลลาร์สหรัฐก็เป็นสกุลเงินสำรองที่สำคัญมากที่สุดอันดับหนึ่ง ธนาคารกลางส่วนใหญ่ยังคงสำรองทองคำและเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก (มากกว่า 60%) ด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ ยูโรมาเป็นอันดับสองซึ่งมากกว่า 22%


ทั้งนี้ ดอลลาร์กำลังค่อย ๆ สูญเสียตำแหน่งในตลาด ตามรายงานของ Bloomberg ดอลลาร์ทำระดับสูงสุด (45.3%) ในการชำระเงินรอบโลกเมื่อเดือนเมษายนปี 2015 ในขณะนี้ ตามรายงานสถิติ SWIFT ชี้ว่า ยูโรได้แซงหน้าดอลลาร์ไปแล้วแม้ว่าจะเพียงเล็กน้อย ในเดือนตุลาคม 2020 เงินชำระโอนคิดเป็นสัดส่วน 37.8% ในระบบเป็นเงินยูโร ในขณะที่สัดส่วนของเงินดอลลาร์อยู่ที่ 37.64% (เงินปอนด์ติดอันดับที่สามโดยตามหลังทิ้งห่างที่ 6.92%)

แม้ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่า แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะขุดหลุมฝังดอลลาร์ ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ได้ประกาศว่า ในช่วงฤดูร้อนของปี 2020 เงินสินเชื่อข้ามเขตแดนและพันธบัตรระหว่างประเทศกว่า 50% ได้ซื้อขายด้วย USD และท้ายที่สุด กว่าครึ่งหนึ่งของใบเสร็จในการซื้อขายทั้งหมดบนโลกออกเป็นเงินดอลลาร์ แม้แต่การซื้อขายที่ไม่ได้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ

และอย่าลืมว่านักวิเคราะห์ตลาดประเมินความแข็งแกร่งของแต่ละสกุลเงินโดยดูที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) โดยดัชนีนี้สะท้อนถึงหน่วยสกุลเงินจากหกประเทศ ซึ่งเทียบกับค่าเงิน USD และยูโรก็มีสัดส่วนอันดับหนึ่งที่ 57.6% (ในขณะที่ 5 สกุลที่เหลือมีส่วนแบ่งรวมกันแค่เพียง 42.4% เท่านั้น)

สถิติข้างต้นทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นภาพคร่าว ๆ ว่า EUR/USD คือ คู่สกุลเงินเบอร์หนึ่งในตลาดฟอเร็กซ์ คู่สกุลเงินนี้เองที่เป็นตัวกำหนดเทรนด์หลักสำหรับสกุลเงินอื่น ๆ และเพราะเหตุนี้ นักเทรดทุกคนจึงจำเป็นจะต้องรู้และเข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นไปแล้ว กำลังเกิดขึ้น และอะไรที่จะเกิดขึ้น


ประวัติศาสตร์เล็กน้อย

ข้อเท็จจริงที่น่าประหลาดใจแต่ค่อนข้างสำคัญก็คือ คู่ EUR/USD จริงๆ แล้วมีมาไม่นาน เงินยูโรกำเนิดขึ้นมาเนื่องจากการก่อตั้งสหภาพยุโรปเมื่อปี 1992 ในตอนแรกเป็นรูปแบบที่ไม่ใช่เงินสด และเพิ่งจะเข้ามาแทนที่สกุลเงินที่เหลือในประเทศยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม ปี 1999 ไม่กี่ปีต่อมา ในเดือนมิถุนายน 2002 EUR กลายเป็นสื่อกลางในการชำระเงินเดียวในยูโรโซน เข้ามาแทนที่ค่าเงินมาร์คเยอรมัน (USD/DEM) ที่เคยเป็นที่ชื่นชอบในขณะนั้น

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากสองเหตุการณ์สำคัญ ซึ่งส่งอิทธิพลสำคัญต่อพัฒนาการของอัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD เหตุการณ์แรกคือการปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารเฟดของสหรัฐฯ เมื่อช่วงปลายปี 2000 และเหตุการณ์ที่สองคือการก่อการร้ายถึงสี่ครั้งติดต่อกัน โดยเฉพาะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2011 รวมถึงการที่ตึก World Trade Center ทั้งสองแห่งถูกทำลายลงในนครนิวยอร์ก ทำให้ราคาที่เริ่มจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 0.93 ดอลลาร์ต่อยูโร ขยับขึ้นมาเป็น 1.60 ภายในกลางปี 2008 หรือกล่าวได้ว่า ดอลลาร์อ่อนค่าลงกว่า 70% เมื่อเทียบกับยูโร

อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ไม่ต้องการเห็นยูโรแข็งค่ามากเกินไป เพราะถือเป็นปัญหาที่รุนแรงสำหรับการส่งออกสินค้ายุโรปและจะส่งผลกระทบต่อดุลการค้าเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเกิดการแทรกแซงทางคำพูดในตลาด นอกจากนี้ ข่าวดียังปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจากสหรัฐฯ เกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของประเทศ ทำให้ EUR/USD เริ่มขยับลงทิศใต้และทำระดับต่ำสุดในรอบทศวรรษที่สองของศตวรรษที่ 21 ที่บริเวณ 1.032 ภายในปลายเดือนธันวาคม 2016

นักวิเคราะห์หลายคนในขณะนั้นทำนายว่าคู่สกุลเงินนี้จะปรับตัวคู่ขนานกันอย่างรวดเร็วที่ระดับ 1:1 แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น และขณะนี้ สกุลเงินยุโรปอยู่ที่บริเวณ 1.22 ดอลลาร์ต่อ 1 ยูโร

สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว: ในปี 2020

เมื่อช่วงนี้ของปีที่แล้ว เราได้เผยแพร่บทวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลกชั้นนำเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD ของปี 2020 และขณะนี้ เราสามารถตัดสินได้ว่าคำทำนายใดที่ถูกต้องและถูกต้องเพียงใด

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนธันวาคม ปี 2019 นักวิเคราะห์ที่ Deutsche Bank, Goldman Sachs, Bank of New York Mellon และธนาคารอื่น ๆ อีกหลายแห่งเห็นร่วมกัน โดยทำนายว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลงในปี 2020 เหตุผลหลักก็คือการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง นอกจากนี้ ยังมีการทำนายว่าในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ธนาคารเฟดสหรัฐฯ จะยังคงปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปภายใต้แรงกดดันจาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ หรืออย่างน้อยจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม

คำทำนายทั้งสองนี้ปรากฏว่าถูกต้องอย่างสมบูรณ์ เมื่อช่วงปลายปี 2019 ดัชนี DXY ผันผวนอยู่ที่บริเวณ 97 ในขณะที่ 12 เดือนต่อมา ดัชนีปรับตัวลงมาต่ำกว่า 90 จุด อัตราดอกเบี้ยก็ลดลงเช่นกัน ในเดือนธันวาคมปี 2019 - มกราคม อัตราดอกเบี้ยเดิมอยู่ที่ 1.75% ในขณะที่ต้นเดือนมีนาคมถูกปรับลดลงมาที่ 1.25% และจากนั้นลดฮวบลงมาเป็น 0.25%

เดิมเมื่อเดือนธันวาคมปี 2019 นั้นเป็นช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ชุดแรกที่เมืองอู่ฮั่นในประเทศจีน และยังไม่มีปรากฏการณ์การแพร่ระบาดรอบโลก แม้แต่ในตอนนั้น Financial Times ได้เผยแพร่คำทำนายของผู้เชี่ยวชาญจาก Citigroup ว่า นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งควบคุมโดยธนาคารเฟดสหรัฐฯ และการเทเงินใส่ตลาดด้วยสภาพคล่องดอลลาร์ราคาถูกนั้นจะส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง คำทำนายนี้ยังได้รับการสนับสนุนโดย Lombard Odier ธนาคารสวิส รวมถึง BlackRock หนึ่งในบริษัทการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง 100% และการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาได้มีบทบาทเป็นตัวกระตุ้นกระบวนการดังกล่าว: ส่งผลให้มีการพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มเข้ามาเกือบหนึ่งในสี่ของเงินที่มีในปัจจุบันในเวลาเพียงแค่หนึ่งปีที่ผ่านมา

นักทฤษฎีสมคบคิดบางคนโต้แย้งว่า ไวรัสโคโรนาถูกคิดค้นขึ้นมาอย่างจงใจเพื่อแผนการของรัฐบาลลับบนโลก และช่วยให้กลุ่มผู้นำทางการเงินสามารถซื้อสภาพคล่องดอลลาร์จำนวนมหาศาลได้อย่างถูก ๆ แต่บทรีวิวฉบับนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะมาเปิดเผยทฤษฎีสมคบคิดใด ๆ ดังนั้น เราจะมาดูกันที่ตัวเลขเฉพาะเจาะจงกันและดูว่าคำทำนายของใครที่แม่นยำมากที่สุด

ตามรายงานของ Bloomberg การคาดการณ์ของสถาบันตลาดการเงินขนาดใหญ่ที่สุดต่างชี้ว่า ภายในท้ายปี 2020 ดอลลาร์สหรัฐจะ "สูญเสียน้ำหนัก" อีก 400-500 จุด และคู่ EUR/USD จะขยับขึ้นมายังโซน 1.16

ผู้เชี่ยวชาญจาก JPMorgan Chase คาดการณ์ระดับที่ 1.14 สำหรับคู่นี้ภายในสิ้นปี 2020 ด้าน Goldman Sachs และ Bank of America Merrill Lynch คาดการณ์ที่ 1.15 ในขณะที่ Deutsche Bank ของเยอรมนีและ Societe Generale ของฝรั่งเศสกำหนดระดับที่ $1.20 ต่อยูโร ผลปรากฏว่าคำทำนายสองตัวเลขสุดท้ายนั้นแม่นยำมากที่สุด: ราคาได้ขยับถึงระดับที่ 1.225 ในช่วงท้ายปี 2020 (โดยสถานการณ์ทั้งหมดนี้ไม่ได้พิจารณารวมถึงผลที่ตามมาของ COVID-19 ที่กระทบต่อเศรษฐกิจ)


อะไรจะเกิดขึ้น: ในปี 2021

ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า สำหรับสหรัฐอเมริกาแล้ว สถานการณ์ไวรัส COVID-19 อาจเปรียบเทียบได้กับสงครามโลกครั้งที่สาม: โดยมีคนเสียชีวิตกว่า 300,000 หนึ่งในสามของประชากรกลุ่มแรงงานของประเทศต้องสูญเสียรายได้ที่มั่นคง ภาวะโรคระบาดกระทบกับวัฏจักรการเติบโตทางเศรษฐกิจในรอบสิบปี และเป็นปีการเลือกตั้งประธานาธิบดี แรงกดดันเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจยังมีผลมาจากสงครามการค้าที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศศึกกับจีนและยุโรป รวมถึงปริมาณเงินดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นในตลาด

มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงที่ในปี 2021 เงินจะเริ่มหลั่งไหลเข้ายุโรป และดอลลาร์จะอ่อนค่าอย่างรุนแรง จริงอยู่ที่นักวิเคราะห์หลายคนต่างประเมินความลึกของแนวโน้มขาลงในเงิน USD แตกต่างกันไป

เช่น Goldman Sachs คาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนของ USD ในปี 2021 จะลดลงเพียง 6% ในขณะที่ Morgan Stanley คาดว่า EUR/USD จะขยับขึ้นจากระดับปัจจุบันไปที่ 1.25 (ทั้งนี้ ยังมีการคาดการณ์ที่ 1.25 ในการคาดการณ์โดยเฉลี่ยอีกหลายแห่ง)

แต่ก็มีผู้ที่ทำนายแนวโน้มขาลงแบบทรุดตัวหนักสำหรับค่าเงินอเมริกันเช่นกัน นายปีเตอร์ ชิฟฟ์ ประธาน Euro Pacific Capital และนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง รวมถึง นายสตีเฟน โรช อดีตประธาน Morgan Stanley และกรรมการบริหารธนาคารเฟดประมาณการแนวโน้มที่ดอลลาร์จะทรุดตัวในปี 2021 ที่ 50% ในขณะเดียวกัน นายโรชเชื่อว่า การอ่อนค่าของดอลลาร์อาจสูงถึง 35% ด้านนักวิเคราะห์จาก Citigroup ก็คาดการณ์ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลงในสัดส่วนที่ต่ำกว่าเล็กน้อยที่ 20% กล่าวคือ ในความเห็นของพวกเขา เราอาจได้เห็นคู่ EUR/USD ในโซน 1.40-1.44 ภายในสิ้นปีหน้านี้

อะไรจะสามารถหยุดดอลาร์ไม่ให้อ่อนค่าต่อไปได้?

โดยปกติแล้วก็ต้องเป็นนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวของธนาคารเฟด ณ ปัจจุบันนี้ ระดับเงินเฟ้อในระยะยาวคาดว่าจะพุ่งกระโดดไปแล้วที่ 1.85% ซึ่งไม่ไกลจากเป้าหมายของธนาคารที่ 2.0-2.5% ระดับเงินเฟ้อนำไปสู่การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และในจุดหนึ่งอาจส่งผลให้ดอลลาร์ทรุดตัวลงอย่างฉับพลัน และธนาคารเฟดอาจถูกบีบบังคับให้ต้องหยุดการอัดฉีดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจ แม้ว่าจะลังเลมากแค่ไหน แล้วต้องเริ่มวัฏจักรการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในที่สุด

นอกจากนี้ บางทียุโรปอาจจะเป็นฝ่ายที่สนใจจะหยุดแนวโน้มขาขึ้นของคู่ EUR/USD มากกว่าฝั่งสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ

นับตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2020 ยูโรเริ่มแข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์มาโดยเกือบตลอด นี่เป็นเพราะว่าธนาคารกลางยุโรปได้พิมพ์เงินออกมากว่า €2.2 ล้านล้านยูโรในหนึ่งปี และกำหนดอัตราดอกเบี้ยติดลบ

นอกจากนี้ยังมีการคำนวณที่ชี้ให้เห็นว่าเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้น 10% นั้นจะลด GDP ของยูโรโซนลงประมาณ 1% ลองจินตนาการดูว่า หาก EUR/USD ขยับขึ้นอย่างที่ทำนายโดย Citigroup ไปที่ระดับ 1.40 การเติบโตดังกล่าวจะส่งผลให้ภาคการส่งออกของยุโรปได้รับผลกระทบหนักทั้งหมด แล้วใครจะซื้อสินค้าจากอียูที่ราคาสูงขึ้นอย่างฉับพลันขนาดนั้น?

ธนาคารกลางยุโรปมีโอกาสแล้วที่จะปรับเงินยูโรให้อ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น ธนาคารกลางฯ ตัดสินใจที่จะไม่แทรกแซงในกิจการของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และจำกัดตนเองแค่เพียง "ติดตามอัตราแลกเปลี่ยน" แต่ตามความเห็นของนักวิเคราะห์หลายท่าน การเติบโตของคู่นี้ไปที่บริเวณ 1.25 ธนาคารกลางยุโรปจะถูกบีบบังคับให้ใช้มาตรการอย่างจริงจังเพื่อจำกัดแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นเพิ่มเติมของยูโร และมีโอกาสที่จะเริ่มอนุมัติโครงการช่วยเหลือเศรษฐกิจอียูเป็นจำนวนเงินอีก 2 หรือ 3 ล้านล้านยูโรในอนาคตอันใกล้นี้ และในกรณีที่มาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นในยุโรป เราก็จะได้เห็นท่าทีที่คล้ายกันจากสหราชอาณาจักร แคนาดา จีน และอีกหลายประเทศ และหากปี 2019-2020 เรียกได้ว่าเป็นเวลาแห่งสงครามการค้าโลก ปี 2021 อาจกลายเป็นช่วงเวลาแห่งสงครามค่าเงินโลก

แต่....ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เราจะได้เห็นสงครามทั้งสองอย่างนี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน

สวัสดีปีใหม่ 2021! แน่นอนว่าปีนี้จะเป็นปีที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง!



กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX



หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

https://th.nordfx.com
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 08, มกราคม 2021, 02:35:02 PM »
ผลลัพธ์เดือนธันวาคม 2020: กำไรของนักเทรดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ NordFX สูงเกิน $100,000


บริษัทโบรกเกอร์ NordFX ได้สรุปผลงานธุรกรรมการเทรดของลูกค้าทั้งหมดในเดือนธันวาคม เดือนสุดท้ายของปี 2020

ผลกำไรสูงสุดในเดือนธันวาคมเป็นของลูกค้าจากประเทศจีน หมายเลขบัญชี 1345xxx กำไรของเขาสูงเกิน 100,000 และเป็นเงินจำนวนถึง 107,654 USD ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจเช่นนี้โดยส่วนใหญ่มาจากการซื้อขายคู่สกุลเงิน EUR/USD, GBP/USD และทองคำ (XAU/USD)

อันดับที่สองเป็นของนักเทรดจากประเทศอินเดีย (หมายเลขบัญชี 1518xxx) ผู้ได้รับกำไรเกือบ 40,000 (39,506 USD) และได้รับจากการเทรดคู่สกุลเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะ GBP/USD และ GBP/JPY รวมถึงธุรกรรมกับการซื้อขายอัลท์คอยน์อันดับ 1  ได้แก่ Ethereum (ETH/USD)

อันดับที่สามจากสามอันดับแรกของเดือนธันวาคมเป็นของนักเทรดชาวจีนอีกท่านหนึ่ง (หมายเลขบัญชี 1465xxx) โดยมีผลลัพธ์ที่ 38,409 USD ผู้ทำธุรกรรมกับเงินปอนด์อังกฤษและทองคำ GBP/USD และ XAU/USD

บริการการลงทุนเชิงรับ:
- ในบริการ CopyTrading ของเดือนธันวาคม สัญญาณ Mak jemah (ทำกำไรเพิ่มขึ้น 111.06% โดยมีการขาดทุนสะสมค่อนข้างมากที่ 37.12%) ได้รับความสนใจสูง รวมถึงสัญญาณ KennyFXPRO (เพิ่มขึ้น 27.61% โดยมีการขาดทุนสะสมปานกลางที่ 6.65%
- ในบริการ PAMM ผลลัพธ์ค่อนข้างปานกลางมากกว่า ผู้จัดการในบริการนี้ภายใต้ชื่อ The Owl Midnight Scalper ทำกำไรเพิ่มขึ้น 18.43% ตลอดเดือน แต่ผลการขาดทุนสะสมต่ำกว่ามาก เพียง 2.39% เท่านั้น ซึ่งอาจมีความน่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนผู้ที่สนใจการทำรายได้ที่มั่นคงและยอมรับระดับความเสี่ยงได้ไม่มาก

ด้านพาร์ตเนอร์ IB 3 อันดับแรกของ NordFX มีดังนี้:
- ค่าคอมมิชชันสูงสุด คือ 8,425 USD เป็นของพาร์ตเนอร์จากประเทศศรีลังกา หมายเลขบัญชี No.1483xxx
- อันดับถัดไป คือ พาร์ตเนอร์จากประเทศอินเดีย หมายเลขบัญชี 1491xxx ผู้ได้รับเงินจำนวน 5,991 USD
- และสุดท้าย อันดับที่สามของเดือนธันวาคมปี 2020 ปิดลงด้วยพาร์ตเนอร์ชาวอินเดียอีกท่านหนึ่ง หมายเลขบัญชี No.1328ххх ผู้ได้รับผลตอบแทนจำนวน $5,704


หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ใช่คำแนะนำเพื่อการลงทุนและไม่ควรยึดถือเป็นแนวทางในการทำงานในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

https://th.nordfx.com
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 11, มกราคม 2021, 02:28:28 PM »
บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 11 - 15 มกราคม 2021


อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

- EUR/USD ดอลลาร์อ่อนค่าลงและคู่ EUR/USD ขยับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ภาวะโรคระบาด COVID-19 เริ่มขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว และขณะนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากราคาสูงสุดในไตรมาสที่ 1 ของปี 2018 จริงอยู่ที่ผลลัพธ์ของช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นศูนย์โดยไม่ใช่เหตุเฉพาะวันหยุดคริสต์มาสและปีใหม่เท่านั้น แต่รวมถึงผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับท่าทีของผู้แทนธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เป็นทิศทางแนวนโยบายแบบตึงตัวมากขึ้น
หลังจากการรับรองการเลือกตั้งของประธานาธิบดีไบเดนและผู้แทนเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และฉุดดอลลาร์ขึ้นไปด้วย นายโธมัส บาร์คิน ประธานธนาคารเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวว่า การเติบโตของผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวยืนยันความประสงค์ของนักลงทุนที่อยากเห็นอัตราดอกเบี้ย USD ที่อัตราสูงขึ้น และนายแพทริก ฮาร์คเกอร์ ประธานธนาคารเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียได้คาดการณ์ว่าจะเริ่มลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2021 นี้ ทั้งหมดนี้ยิ่งส่งผลให้ความกะตือรือร้นของฝั่งผู้ซื้อลดลง และเริ่มปิดคำสั่งกับคู่ EUR/USD ทำให้ราคาปิดตลาดรอบสัปดาห์ที่ 1.2225

- GBP/USD หลังจากพายุความอลหม่านเกี่ยวกับการลงนามในข้อตกลงเบร็กซิตคลี่คลายลง ราคาก็เดินตามรอยคู่สกุลเงิน EUR/USD ทำให้ GBP/USD ได้พักตัวระยะหนึ่ง โดยทำราคาสูงสุดที่ 1.3705 เมื่อวันที่ 4 มกราคม และกลับมาสู่ระดับเดิมเดียวกันกับช่วงกลางถึงปลายเดือนธันวาคมในช่วงท้ายสัปดาห์ ก่อนที่จะปิดตลาดที่ 1.3560

- USD/JPY เมื่อสามสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เราได้ทำนายว่าราคาคู่นี้จะเคลื่อนที่จากเส้นตรงกลางไปยังกรอบด้านบนของช่องระยะกลาง ซึ่งเป็นกรอบที่ราคาได้ขยับมาอย่างราบเรียบตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2020 และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอย่างชัดเจน ราคาได้ดีดออกจากเส้นตรงกลางถึงสองครั้งเมื่อวันที่ 4 และ 5 มกราคมที่ผ่านมา และขยับขึ้นไปอย่างรวดเร็วยังกรอบด้านบนของช่องที่ 104.10 เมื่อวันที่ 8 มกราคม ก่อนที่จะปรับตัวกลับลงมาเล็กน้อยและชะงักอยู่ที่ 103.95 ทั้งนี้ โซน 104.00 เป็นระดับแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญมาตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งราคามักดีดออกจากระดับดังกล่าวในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

- คริปโตเคอเรนซี เมื่อ 12 ปีที่แล้ว วันที่ 3 มกราคม 2009 บุคคลหนึ่งหรือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งภายใต้ชื่อเล่นว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ ได้เริ่มเครือข่ายบิทคอยน์และทำการขุดเหรียญขึ้นมา 50 BTC ไม่กี่วันหลังจากนั้นเมื่อวันที่ 12 มกราคม ก็เกิดธุรกรรมแรกของบิทคอยน์ นายซาโตชิ นากาโมโตะส่งบิทคอยน์จำนวน 10 เหรียญ ให้กับ ฮาล ฟินนีย์ และล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2020 มีข้อมูลปรากฏบนบัญชีทวิตเตอร์ของ Whale Alert ว่า ก่อนที่จะหายตัวไปอย่างลึกลับกว่าสิบปี นายนากาโมโตะได้ขุดเหรียญจำนวน 1,125,150 BTC ซึ่งขณะนี้ราคาเหรียญไต่ขึ้นถึงระดับ $41,000 ทำให้มูลค่าของจำนวนเหรียญเหล่านี้สูงเกิน $45 พันล้านเหรียญ และเขาก็อาจกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดบนโลกอันดับที่ 25 ได้โดยปริยาย
จริงๆ แล้ว เราได้ประกาศข่าวที่สำคัญที่สุดไปแล้วในสัปดาห์ก่อนหน้า: ราคาบิทคอยน์ทำระดับเกิน $41,000 เมื่อวันศุกร์ที่ 8 มกราคม ดังนั้นเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2020 ในเวลาเพียงห้าสัปดาห์ บิทคอยน์เติบโตขึ้นถึง 115%
ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่แค่เฉพาะสำหรับนักลงทุน แต่ยังรวมถึงกลุ่มนักขุดเหรียญอีกด้วย เดือนธันวาคมที่ผ่านมาถือเป็นเดือนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในช่วงสามปีล่าสุด จากข้อมูล Block Research รายได้รวมของนักขุดเหรียญสูงถึง $692 ล้านเหรียญดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นเงินเกือบ $1 ล้านดอลลาร์ต่อชั่วโมง
ณ ขณะนี้ ตลาดขุดเหรียญเงินคริปโตนั้นคุมโดยจีนเป็นหลัก ซึ่งจากการประมาณการคาดว่าคิดเป็นส่วนแบ่งเกิน 50% ของแฮชเรตรอบโลก เจ้าของเหรียญ Ripple ยังเคยพูดว่าเหรียญ Bitcoin และ Ethereum นั้นจริงๆ แล้วถูกควบคุมโดยจีน
นอกจากนี้ในเรื่องของ Ripple ช่วงหนึ่งสัปดาห์ครึ่งล่าสุดนับว่าเป็นความหวังที่ดีสำหรับเจ้าของเหรียญอัลท์คอยน์สกุลนี้ ในขณะที่เหรียญติดอันดับกำลังมีมูลค่าที่เติบโตขึ้น คู่ XRP/USD กลับอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน โดยเริ่มขยับจากราคา $0.77 ลงมาที่ $0.17 ภายในสิ้นปี 2020 ซึ่งหดตัวลงถึง 78%
แต่นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด หายนะครั้งใหญ่ที่สุดคือสิ่งที่ Ripple ต้องประสบในตลาดฟิวเจอร์ส์ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา ราคาเหรียญในตลาดฟิวเจอร์สรอบเดือนมีนาคมขยับลงเหลือเพียง $0.00023 บนแพล็ตฟอร์มตราสารอนุพันธ์ BitMEX โดยนักลงทุนขายเหรียญกว่า 80 ล้านเหรียญภายในเวลาหนึ่งนาที นี่คือปฏิกิริยาที่ตลาดตอบสนองต่อข่าวการดำเนินคดีของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ซึ่งมีข้อกล่าวหาว่าเหรียญสตาร์ทอัพรายนี้ขายสินทรัพย์อย่างผิดกฎหมายภายใต้ XRP เป็นเงิน $1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะนี้ สถานการณ์เริ่มมีความสงบลงมาบ้าง และราคา XRP/USD อยู่ที่ $0.31 เมื่อวันที่ 8 มกราคม และหากนักเทรดตั้งคำสั่งล่วงหน้าเพื่อซื้อ Ripple ที่ราคาต่ำสุด พวกเขาก็ได้ทำกำไรแล้วถึง 1,350% ในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์เท่านั้น
กลับมาสู่เรื่องของบิทคอยน์ เราสังเกตเห็นว่าความผันผวนนั้นไม่สูงเหมือนกับเหรียญ Ripple แน่นอน แต่ก็ยังถือว่าน่าประทับใจมากกว่า โดยมีความผันผวนถึง 10% ต่อชั่วโมง ดัชนี Crypto Fear & Greed Index อยู่ในโซน overbought ระดับสูงมาก ที่ 95 จาก 100 แต่อย่างไรก็ตาม มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตก็เป็นไปตามราคา BTC/USD โดยเริ่มเพิ่มมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และขยับถึง $1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะเดียวกัน ดัชนีการครองตลาดของบิทคอยน์อยู่ในอัตราที่เกือบถึง 70%


สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

- EUR/USD เราได้อธิบายรายละเอียดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า นักวิเคราะห์จากธนาคารชั้นนำของโลกและหน่วยงานการเงินต่าง ๆ ประเมินราคาคู่นี้ไว้อย่างไรบ้างในปี 2021 โดยตัวเลขคาดการณ์โดยเฉลี่ย คือ 1.25000 ซึ่งตรงกับระดับสูงสุดเมื่อเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์เมื่อสามปีที่แล้ว
สำหรับอนาคตอันใกล้นี้ ผู้เชี่ยวชาญ 60% เชื่อว่า เดือนมกราคมนี้หากไม่ใช่เดือนแห่งการกลับตัวของเทรนด์ ก็จะเป็นการปรับฐานครั้งใหญ่ลงทิศใต้ของราคาคู่นี้ ซึ่งจะทำให้ราคากลับสู่ระดับ 1.2050 หรือแม้แต่ 1.1900 โดยมีระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดในโซน 1.2100 อย่างไรก็ดี ในส่วนอินดิเคเตอร์นั้นสนับสนุนแนวโน้มดังกล่าวที่ 80% ของอินดิเคเตอร์ทั้งหมดในกรอบ H4 ในขณะที่ในกรอบ D1 อินดิเคเตอร์และออสซิลเลเตอร์ให้สัญญาณเป็นกลาง
นักวิเคราะห์ 40% โหวตให้กับตลาดกระทิง โดยได้รับการสนับสนุนจากการวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 และ D1 ซึ่งชี้ว่า ราคาหลังจากดีดกลับจากระดับ 1.2200 แล้วน่าจะกลับสู่เทรนด์ขาขึ้นต่อไป และอีกไม่นานเราจะได้เห็นราคาที่ระดับ 1.2350 และ 1.2500 ก็จะอยู่ไม่ไกลออกไป
สำหรับเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์ที่จะถึงที่น่าสนใจ คือ สถิติจากตลาดผู้บริโภคสหรัฐฯ ซึ่งจะประกาศในวันพุธที่ 13 มกราคม และในวันศุกร์ที่ 15 มกราคม นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟดมีกำหนดจะแถลงการณ์ในช่วงท้ายของสัปดาห์ และตลาดจะรอฟังว่าเขาจะยืนยันคำพูดของ นายโธมัส บาร์คิน และแพทริก ฮาร์คเกอร์ เกี่ยวกับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย และปรับลดมาตรการ QE หรือไม่

- GBP/USD โดยรวมแล้ว การคาดการณ์สำหรับอีกหนึ่งหรือสองสัปดาห์ข้างหน้าสำหรับคู่นี้มีความคล้ายกับคู่ยูโร/ดอลลาร์มาก อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคบนกรอบ D1 ให้สัญญาณเป็นกลางและบางทีก็ให้สัญญาณหลายทิศทาง ส่วนผู้เชี่ยวชาญ 60% ออสซิลเลเตอร์ 70% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 75% บนกรอบ H4 โหวตว่าราคาคู่นี้จะขยับลงต่อไป ในส่วนนักวิเคราะห์ 40% คาดการณ์ว่าราคาจะเติบโตขึ้น รวมถึงอินดิเคเตอร์ที่เหลือบนกรอบ H4 และการวิเคราะห์กราฟทั้งสองกรอบเวลา โดยให้ระดับแนวรับที่ 1.3525, 1.3485 และ 1.3285 ระดับแนวรับสำคัญถัดไปคือโซน 1.3185 ส่วนระดับแนวต้าน ได้แก่ 1.3620 และ 1.3725
สำหรับเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์นี้ เราควรให้ความสนใจกับคำแถลงของ นายแอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษ ซึ่งจะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 11 มกราคม

- USD/JPY เงินเยนจะมีพฤติกรรมอย่างไรนั้นโดยหลักแล้วขึ้นอยู่กับทั้งความต้องการความเสี่ยงของนักลงทุนและความเคลื่อนไหวของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ในขณะนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (55%) มั่นใจว่า ราคาคู่นี้จะอยู่ในกรอบขาลงระยะกลาง และหลังจากราคาได้ทดสอบกรอบด้านบนที่ 104.00 จะกลับมาสู่โซนตรงกลางอีกครั้ง โดยมีความเป็นไปได้ดังกล่าวยืนยันโดยออสซิลเลเตอร์ 25% ซึ่งให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน overbought ทั้งในกรอบ H4 และ D1 และมีแนวรับใกล้ที่สุด คือ 103.65 แนวรับถัดไปที่ 103.00 เป้าหมายอยู่ที่บริเวณ 102.50
ส่วนผู้เชี่ยวชาญ 355 และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 โหวตว่า ราคาคู่นี้จะสามารถตัดทะลุกรอบด้านบนดังกล่าวได้และจะขึ้นไปยังโซน 104.70-105.00 เป้าหมายถัดไปของฝั่งกระทิง คือ 105.70 และสุดท้าย ด้านนักวิเคราะห์ 10% มีท่าทีเป็นกลาง โดยชี้ว่า ราคาจะผันผวนที่บริเวณ Pivot Point ที่ 104.00


- คริปโตเคอเรนซี ทัศนคติที่ดีของนักลงทุนเพิ่มขึ้นมาจากการขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาล นายโจ ไบเดน ทั้งนี้ นายไมค์ โนโวกราตซ์ ผู้ก่อตั้งธนาคารเงินคริปโต Galaxy Digital เน้นย้ำในการรายงานใน CNBC ว่า ทีมงานของทรัมป์ไม่สามารถหยุดยั้งแนวโน้มการเติบโตจนทำลายสถิติของบิทคอยน์ได้ และแสดงความหวังที่หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินภายใต้รัฐบาลชุดใหม่จะมีท่าทีที่น่าไว้วางใจ "ผมหวังว่าหลังจากการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ (วันที่ 20 มกราคม 2021) เราจะมีหน่วยงานที่มีหัวก้าวหน้ามากกว่านี้ และผมยินดีที่จะรอให้รัฐบาลชุดใหม่ได้จัดเตรียมกรอบการทำงานในการกำกับดูแลที่สนับสนุนมากกว่าต่อต้านคริปโตเคอเรนซี" กล่าวโดยโนโวกราตซ์
สำหรับการเข้าสู่ตลาดของนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ นอกเหนือไปจากข้อจำกัดในการถูกกำกับตรวจสอบแล้ว พวกเขายังมีอุปสรรคจากความผันผวนที่สูงเป็นอย่างยิ่งของบิทคอยน์ ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญของธนาคารเพื่อการลงทุน JPMorgan เชื่อว่า ภาพลักษณ์ของการเป็นทางเลือกใหม่แทนทองคำจะทำให้บิทคอยน์ยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและทำนายการเติบโตที่ $146,000 แต่สิ่งนี้จะต้องอาศัยการหันเข้าหากันระหว่างดัชนีของบิทคอยน์และทองคำ ซึ่งนี่เป็น "กระบวนการที่ใช้เวลาหลายปี"
เมื่อพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นกับบิทคอยน์ในช่วงล่าสุดนี้ การคาดการณ์ของ JPMorgan อาจยังฟังดูมีความอนุรักษ์นิยมสูงมากสำหรับหลายคน ด้านบริษัทการวิเคราะห์ทางการลงทุน Pantera Capital มองว่า ตลาดอยู่ไม่ไกลจากการได้เห็นราคาขึ้นไปที่ $115,000 นายแดน มอร์เฮด ซีอีโอของ Panteral Capital Investment กล่าวในทีวีช่อง CNBC โดยเรียกปริมาณที่จำกัดของบิทคอยน์ว่าจะเป็นปัจจัยหลักของการเติบโตในมูลค่าเงินคริปโตสกุลนี้ และในเวลานี้ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง PayPal และ Grayscale ได้ซื้อเหรียญ BTC เกินอัตรากว่าที่นักขุดเหรียญสามารถขุดได้
ในขณะนี้ กองทุน Grayscale Trusts ของทั้ง Bitcoin และ Ethereum ได้สะสมสินทรัพย์ดิจิทัลดังกล่าวแล้วเป็นเงินกว่า $14,075 พันล้านเหรียญ และ $1,808 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ และตามความเห็นของนักวิเคราะห์ นายเควิน รูค กองทุนรายใหญ่นี้ยังคงซื้อบิทคอยน์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งชี้ว่า Grayscale ตั้งเป้าหมายการเติบโตในระยะยาวของสกุลเงินดิจิทัลขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่างบิทคอยน์
นายวิลลี วู นักวิเคราะห์ชื่อดังอีกคนหนึ่งก็เห็นด้วยกับแนวโน้มดังก่ลาว เขามองว่า หลังจากบิทคอยน์ตัดผ่านกรอบที่ $24,000 ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตลาดก็ได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนักลงทุนระยะยาวโดยปริยาย
Binance หนึ่งในตลาดเงินคริปโตรายใหญ่ที่สุดก็ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์เช่นกัน "เราเชื่อว่าราคาที่ $50,000 เป็นราคาที่สมเหตุสมผล แต่ตัวเลขนี้จะต้องสูงกว่าแน่นอน ฉันคิดว่าเราจะได้เห็นราคาที่ $75.000 - $100.000 ต่อ 1 BTC ภายในสิ้นปี 2021" กล่าวโดย แคทเธอรีน โคเลย์ ซีอีโอประจำเครือสหรัฐฯ
และสุดท้าย คำทำนายที่กล้าหาญที่สุดสำหรับคู่ BTC/USD เป็นของ นายเฮนรี บล็อดเจ็ท ผู้ร่วมก่อตั้ง Insider และเจสซี พาวเวลล์ ซีอีโอของตลาดแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ Kraken: ทั้งคู่ตั้งเป้าไว้ที่ $1 ล้านดอลลาร์ต่อเหรียญ อย่างไรก็ตาม คนแรกเชื่อว่าทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเพราะผู้เก็งกำไรเป็นหลัก ในขณะที่คนหลังเชื่อในแนวโน้มการเติบโตของการลงทุนของสถาบันในเงินคริปโต
สำหรับอัลท์คอยน์อันดับ 1 มูลค่ารวมของ Ethereum ขยับเกิน $140 พันล้านเหรียญดอลลาร์ ซึ่งมีขนาดมากกว่าบริษัทยานยนต์ขนาดใหญ่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น General Motors ($59.5 พันล้านเหรียญ), BMW ($47.1 พันล้านเหรียญ) และบริษัท Ferrari ($36.2 พันล้านเหรียญ) เงินที่หลั่งไหลเข้ามาใน ETH จะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในปี 2021 ตามความเห็นของ ไรอัน วัตกินส์ นักวิเคราะห์จาก Messari โดยนักลงทุนบางกลุ่มพร้อมที่จะให้ความสนใจกับ Ethereum เป็นพิเศษ และเหตุการณ์สำคัญสำหรับเหรียญนี้ คือ การเปิดตัวสัญญาฟิวเจอร์สของ Ethereum ในตลาดหลักทรัพย์ชิคาโก (Chicago Exchange - CME) โดยทั่วไป นายไมเคิล วาน เดอ พอปเพอ นักเทรดจากตลาดหุ้นอัมสเตอร์ดัมชี้ว่า การทะยานขึ้นของตลาดอัลท์คอยน์น่าจะเริ่มต้นขึ้นในไตรมาสแรกของปีนี้


กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

#eurusd #gbpusd #usdjpy #Forex #forex_forecast #signals_forex #cryptocurrency #bitcoin

https://th.nordfx.com
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 17, มกราคม 2021, 07:19:31 PM »
NordFX ได้รับรางวัลทรงเกียรติสามรางวัลในช่วงท้ายปี 2020

เราได้ทราบรายชื่อผู้ชนะรางวัลจาก International Academy of Trading Masterforex-V และ International Association of Forex Traders หรือ IAFT ในช่วงต้นปีใหม่ 2021 ในบรรดารายชื่อผู้ชนะ บริษัทโบรกเกอร์ NordFX ได้รับรางวัลทรงเกียรติที่แสดงถึงความเป็นมืออาชีพสามรางวัล



สถาบัน Masterforex-V International Academy จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2005 คือ หนึ่งในโครงการออนไลน์ด้านการเทรดในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศชั้นนำและมีความทะเยอทะยานมากที่สุด ปัจจุบัน นักเทรดจากกว่า 50 ประเทศทั่วโลกได้รับการฝึกฝนที่สถาบันนี้ ผู้อำนวยการและนักเรียนที่สถาบันนี้จะประเมินผลการดำเนินงานขององค์กรทางการเงินตลอดปี โดยจัดอันดับตามคะแนนที่ NordFX มักติดอันดับต้น ๆ อยู่เสมอ และในขณะนี้ เมื่อช่วงท้ายปี 2020 เป็นอีกครั้งที่สถาบัน MasterForex-V Academy แสดงถึงความไว้วางใจและการยอมรับในบริษัท โดยมอบตำแหน่ง "โบรกเกอร์ที่น่าไว้วางใจมากที่สุดในโลก" ให้กับบริษัท

บริษัทยังได้รับอีกสองรางวัลจากการลงคะแนนประจำปีบนเว็บไซต์ IAFT Awards ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมนักเทรดฟอเร็กซ์ระหว่างประเทศ หรือ IAFT โดยมีนักเทรดกว่า 200,000 คนจากหลายประเทศเข้าร่วม นักเทรดแต่ละคนสามารถลงคะแนนได้บนเว็บไซต์รางวัล ซึ่งช่วยให้นักเทรดประเมินกิจกรรมการทำงานของโบรกเกอร์อย่างปราศจากอคติมากที่สุด

เป็นปีที่สามติดต่อกันที่ NordFX ชนะรางวัลโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดในเอเชียโดยมีคะแนนทิ้งห่าง นับว่าเป็นการยอมรับการทำงานที่มั่นคงและความสำเร็จของบริษัทอย่างไม่มีเงื่อนไขในภูมิภาคที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก

อีกหนึ่งรางวัลจากสมาคมนักเทรดฟอเร็กซ์ระหว่างประเทศ คือ รางวัลโบรกเกอร์คริปโตเคอเรนซียอดเยี่ยมแห่งปี 2020 ซึ่งเป็นหลักฐานถึงการบริการคุณภาพสูงที่บริษัทมอบให้สำหรับการบริการในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

https://th.nordfx.com
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 18, มกราคม 2021, 01:40:19 PM »
บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 18 - 22 มกราคม 2021


อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

- EUR/USD สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์ที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (60%) เห็นด้วยว่าราคาจะขยับลงไปยังระดับแนวรับที่ 1.2100 ในตอนต้น หลังจากนั้นอาจจะปรับลดลงไปอีก 50 จุด เกือบทุกอย่างได้เกิดขึ้นตามที่คาดการณ์ โดยคู่ EUR/USD อยู่ที่ระดับ 1.2075 เมื่อช่วงปลายสัปดาห์การเทรด
    ทั้งนี้ ควรคำนึงว่าสถานการณ์ค่อนข้างไม่ปกติเกิดขึ้นในตลาดตั้งแต่เริ่มต้นปี 2021 โดยทั่วไปแล้ว ตลาดหุ้นขาขึ้นมักจะสร้างแรงกดดันต่อเงินดอลลาร์ และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนที่ผ่านมา ด้วยความต้องการความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ดัชนี S&P เติบโตขึ้นอย่างมั่นคง ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์ซึ่งทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์เชิงรับก็ขยับลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการวิเคราะห์ของ Bank of America Merrill Lynch ชี้ว่า ในเดือนธันวาคม นักลงทุนรายใหญ่หวังเป็นอย่างมากในชัยชนะเหนือ COVID-19 และ GDP ที่เติบโตขึ้น พวกเขาจึงกว้านซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและพยายามทิ้งเงินดอลลาร์ให้มากที่สุด และในขณะนี้ สถานการณ์กลับเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ดัชนี USD DXY เริ่มเติบโตขึ้นคู่ขนานไปกับดัชนี S&P500
    ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ประการแรกก็คือ หุ้นสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงเกินจริงในขณะนี้ หรืออย่างน้อยก็ในมุมมองของนักลงทุนอเมริกัน นอกจากนี้ เรายังเคยเขียนในบทรีวิวครั้งก่อนหน้าว่า หลังจากที่มีการรับรองว่าที่ประธานาธิบดีไบเดนอย่างเป็นทางการ และที่นั่งข้างมากของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลรอบ 10 ปีก็ขยับขึ้นอย่างรวดเร็วและฉุดเงินดอลลาร์ขึ้นไปด้วย ผู้บริหารธนาคารเฟดสาขาริชมอนด์และฟิลาเดลเฟียก็ยิ่งเติมเชื้อเพลิงให้กับกองไฟ โดยให้สัญญาณถึงการปรับลดมาตรการ QE และเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้กับเงินดอลลาร์ คนฝั่งซื้อจึงเริ่มปิดคำสั่งซื้อสำหรับคู่ EUR/USD

- GBP/USD ตลอดช่วงห้าวันที่ผ่านมา ราคาคู่นี้ขยับด้านข้างอยู่ในกรอบ 1.3450-1.3700 โดยมี Pivot Point ที่ 1.3575 ในช่วงต้นนั้น ราคาได้ขยับลงมายังกรอบด้านล่างของช่องดังกล่าว และก็กลับทิศทางขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนถึงระดับที่เคยแตะถึงเมื่อ 2.5 ปีก่อนหน้าเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
    เงินปอนด์ได้รับแรงหนุนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยนายแอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษ เขาไม่เพียงแต่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบเท่านั้น แต่ยังแสดงความเห็นไวรัสโคโรนาไม่สามารถที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างใด ๆ ต่อเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร ดังนั้น เงินปอนด์จึงแสดงความแข็งแกร่งขึ้นมามากที่สุดในรอบสองเดือน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เทรนด์ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นโดยรวม ราคาคู่นี้ก็กลับมายัง Pivot Point และปิดตลาดที่ 1.3580

- USD/JPY การคาดการณ์ที่ได้รับเสียงโหวตโดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (55%) ปรากฏว่าถูกต้องโดยสมบูรณ์ ราคาคู่นี้คงตัวอยู่ในช่องขาลงระยะกลาง โดยดีดกลับมาจากกรอบด้านบนลงมายังโซนตรงกลาง
    ก่อนหน้านี้มีนักวิเคราะห์อีก 10% ที่สันนิษฐานว่า ราคาจะขยับในเทรนด์ด้านข้าง โดยมีความผันผวนที่บริเวณ Pivot Point 104.00 พวกเขาก็ทำนายได้ถูกต้องเช่นกัน โดยราคาเริ่มต้นสัปดาห์ห้าวันทำการที่ 103.95 และปิดตลาดในโซนนี้เช่นกันที่ 103.85

- คริปโตเคอเรนซี ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 15 มกราคม กราฟบิทคอยน์สามารถเรียกได้เท่ากันว่าเป็นการกลับสู่เทรนด์ขาขึ้นหรือการปรับฐานขาลงต่อไป ราคาทำนิวไฮใหม่ที่ $41,435 ในวันที่ 8 มกราคม และคู่ BTCUSD กลับลงมายังทิศใต้ และดิ่งลงมาถึง $30,600 เมื่อวันที่ 11 มกราคม อินดิเคเตอร์ส่วนใหญ่ให้สัญญาณมาโดยตลอดว่าบิทคอยน์อยู่ในโซน overbought และด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ และด้วยผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นซึ่งทำให้ดอลลาร์แข็งค่า บิทคอยน์จึงทำราคาดิ่งลงมามากกว่า 25% ในเวลาเพียงสามวัน
    จากนั้นความสุขของนักลงทุนก็กลับมาอีกครั้ง ราคาได้ขยับเข้าใกล้ระดับ $40,000 และเป็นอีกครั้งที่สหรัฐฯ กลายเป็นเหตุผลสำคัญเบื้องหลัง โดยนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดี ได้ประกาศการใช้มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่มูลค่ากว่า $1.9 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งรวมถึงการจ่ายเงินเยียวยา $2,000 ให้กับประชาชนชาวอเมริกันโดยตรง การกระตุ้นทางการคลังและการเงินครั้งใหญ่เช่นนี้มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อและจะเพิ่มความต้องการสำหรับสินทรัพย์ความเสี่ยง รวมถึงคริปโตเคอเรนซี
    สิ่งที่ดีก็มักจะมีวันสุดท้ายของมัน บิทคอยน์ก็ยุติแนวโน้มการเติบโตเมื่อวันที่ 14 มกราคม และล้มเหลวในการทำนิวไฮ จากนั้น นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปก็เรียกร้องให้มีการกำกับดูแลตลาดสกุลเงินดิจิทัลในระดับโลก เธอชี้แจงว่า ธรรมชาติที่เป็นการเก็งกำไรของบิทคอยน์นั้นเห็นควรที่จะให้มีการกำกับดูแลเริ่มขึ้นในกลุ่มประเทศ G7 จากนั้นก็ขยายเป็นกลุ่ม G20 และท้ายที่สุดก็ให้มีผลครอบคลุมทั่วโลก
    เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์นี้ ตลาดหมีจึงเข้าคุมสถานการณ์ และคู่ BTC/USD จึงตกลงมาต่ำกว่าระดับ $35,000 อีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของวันศุกร์ที่ 15 มกราคม
    ทั้งนี้ กิจกรรมของนักลงทุนลดลงมานับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2021 จากข้อมูลของ CoinShares มีเพียงเงิน $29 ล้านเหรียญเท่านั้นที่ลงทุนในกองทุนเงินคริปโตในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม แม้ว่าจะการลงทุนมากกว่า $1 พันล้านเหรียญในสัปดาห์ก่อนหน้าวันคริสต์มาส แน่นอนช่วงเวลานิ่งสงบอาจเป็นเพราะเทศกาลวันหยุด นอกจากนี้ เหล่านักเทรดกลุ่มปลาวาฬก็ตอบสนองอย่างเชื่องช้าต่อการปรับฐานราคาเมื่อวันที่ 8-11 มกราคม โดยมีการถอนเงินจากวอลเล็ต BTC จำนวนน้อยมาก
    สถิติจาก PayPal แสดงให้เห็นว่า อย่างน้อยตลาดค้าปลีกก็ค่อย ๆ ตื่นตัวขึ้นหลังจากเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ปริมาณการเทรดบิทคอยน์บนแพล็ตฟอร์มนี้เพิ่มขึ้นมา 950% นับตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม กล่าวคือ เกือบ 10 เท่า Nomics บริการการวิเคราะห์ชี้ว่า หากผู้ใช้งานบนแพล็ตฟอร์มทำธุรกรรมกับ BTC เพียง $22.8 ล้านในวันที่ 1 มกราคม ปี 2021 ปริมาณนี้จะคิดเป็น $242 ล้านเหรียญในอีกสิบวันถัดมา
    มูลค่ารวมในตลาดคริปโตอยู่ที่ $1 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 15 มกราคม (เดิมอยู่ที่ $1.13 เมื่อวันที่ 10 มกราคม) ดัชนีการครองตลาดของ BTC อยู่ที่บริเวณ 68% และดัชนี Crypto Fear & Greed Index ปรับลงมาจาก 95 เหลือ 88 จุดตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา


สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

- EUR/USD นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟด ปฏิเสธคำแถลงของเพื่อนร่วมงานของเขาจากธนาคารเฟดส่วนภูมิภาค โดยกล่าวว่า เราไม่ควรจะอาศัยการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยและการจำกัดนโยบายผ่อนคลายทางการเงินในอนาคตอันใกล้นี้ คำพูดเหล่านี้ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า $1.9 ล้านล้านเหรียญจากนายโจ ไบเดน มีแนวโน้มที่จะขัดขวางผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในพันธบัตรสหรัฐฯ และสนับสนุนฝั่งผู้ซื้อในตลาดดัชนี S&P500 นอกจากนี้ ความหวังต่อวัคซีน ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วใน GDP ก็ยังไม่หายไป ผู้เชี่ยวชาญจาก Wall Street Journal จึงคาดว่า GDP อเมริกาจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% ในปี 2021
    แต่นี่จะเป็นตัวตัดความสัมพันธ์ในปัจจุบันระหว่างดอลลาร์กับตลาดหุ้นหรือไม่? ดอลลาร์จะหยุดแข็งค่าขึ้นหรือไม่? มีโอกาสที่การเติบโตของดัชนี S&P500 จะไม่ได้รับแรงหนุนจากชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักลงทุนรายใหญ่จากประเทศอื่น ๆ เช่นกัน และการผสมผสานของเงินทุนต่างชาติในเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะนำไปสู่การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
    ตอนนี้มาถึงเกี่ยวกับคู่ EUR/USD โดยมีความชัดเจนว่าในขณะที่กำลังเขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้นั้น (15 มกราคม) อินดิเคเตอร์ส่วนใหญ่ให้สัญญาณสีแดง โดยอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บนกรอบ H4 75% บนกรอบ D1 และออสซิลเลเตอร์ 75% บนทั้งสองกรอบเวลาหันไปทางทิศใต้เป็นหลัง ออสซิลเลเตอร์ที่เหลือให้สัญญาณว่าราคาคู่นี้อยู่ในโซน oversold
    สำหรับผู้เชี่ยวชาญ ความเห็นของพวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเท่า ๆ กัน แต่เมื่อขยับเป็นการคาดการณ์ในระยะกลาง คะแนนเริ่มเทไปยังฝั่งตลาดกระทิง นักวิเคราะห์ 65% ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ D1 คาดการณ์ว่า ดอลลาร์จะอ่อนค่าลงและราคาคู่นี้จะขยับขึ้นไปอย่างน้อยที่ 1.2500-1.2550 ตลอดช่วงเวลาหนึ่งเดือนครึ่งหรือสองเดือนข้างหน้า โดยมีแนวต้านใกล้ที่สุด คือ 1.2175, 1.2275, 1.2300 และ 1.2350 และแนวรับสำคัญอยู่บริเวณ 1.1800-1.1900
    สำหรับเหตุการณ์ที่สำคัญในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ควรให้ความสนใจกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป และการแถลงข่าวที่ตามมาของผู้บริหารในวันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคมนี้ ด้านสถิติกิจกรรมทางธุรกิจของเยอรมนีและยูโรโซนจะประกาศในวันถัดมาที่ 22 มกราคม



- GBP/USD เยอรมนี อียู และสหราชอาณาจักร จะประกาศสถิติกิจกรรมทางธุรกิจ (Markit ในภาคการบริการ) ในวันศุกร์ที่ 22 มกราคม สถิติเหล่านี้อาจส่งสัญญาณให้กับนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ต่อเศรษฐกิจประเทศ ทั้งนี้ สหราชอาณาจักรมีสถิติระดับผู้เสียชีวิตสูงสุดและมีผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งสูงขึ้นตลอดช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาในกรุงลอนดอนและฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ
    อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกี่ยวกับ COVID-19 ยังคงรุนแรงขึ้นในประเทศอื่น ๆ เช่นกัน รวมถึงสหรัฐฯ ดังนั้นนักวิเคราะห์ 60% สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 และ D1 เชื่อว่า ราคาคู่นี้จะสามารถกลับมายังระดับ 1.3700 และเป็นไปได้ที่จะขยับขึ้นไปอีก 100 จุด อีกหนึ่งข้อสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นก็คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งได้พูดถึงไปแล้วข้างต้น
    ส่วนระดับแนวรับคือ 1.3540 และ 1.3450

- USD/JPY ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แนวโน้มขาขึ้นของคู่นี้จากกรอบด้านล่างมายังด้านบนของช่องขาลงระยะกลาง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนมกราคมนั้นมีความเกี่ยวข้องกับความต้องการในความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและความสนใจในเงินเยนที่ลดลงในฐานะสกุลเงินหลบภัย พวกเขาจึงเชื่อว่า ราคาคู่นี้จะยังคงสามารถตัดทะลุกรอบด้านบนของช่องดังกล่าวและขยับขึ้นไปยังโซน 105.00 โดยนักวิเคราะห์ 35% และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 โหวตให้กับสถานการณ์นี้ เป้าหมายถัดไปสำหรับฝั่งกระทิงคือ 105.70 โดยมีแนวต้านใกล้ที่สุดคือโซน 104.00-104.35
    ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (65%) มั่นใจว่า ราคาคู่นี้จะขยับอยู่ในช่องดังกล่าว โดยแนวรับใกล้ที่สุดคือ 103.60 ถัดไปคือ 103.00 และเป้าหมายอยู่ในบริเวณ 102.50

- คริปโตเคอเรนซี มูลค่ารวมตลาดคริปโตเคอเรนซีในขณะนี้อยู่ที่บริเวณ $1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาที่สำคัญโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนรายย่อย การเติบโตต่อไปของตัวบ่งชี้นี้จะเป็นการยืนยันที่ชัดเจนของการคาดการณ์แนวโน้มขาขึ้นของคู่ BTC/USD อย่างน้อยไปที่ระดับ $50,000 หากมูลค่ารวมดังกล่ายลดลง นี่อาจก่อให้เกิดการเทขายบิทคอยน์ครั้งใหญ่ โดยตัวอย่างฤดูหนาวเงินคริปโตปี 2018 นั้นยังคงอยู่ในความทรงจำในตลาดในปี 2018
    ในระหว่างนี้ ตลาดยังคงปกคลุมไปด้วยทัศนคติอันสดใส ตัวอย่างเช่น นายไมค์ แม็คโกลน นักวิเคราะห์เงินคริปโตจาก Bloomberg เชื่อว่า $50,000 คือ เป้าหมายที่แท้จริงสำหรับบิทคอยน์ เขาให้ตัวเลขคาดการณ์นี้ตั้งแต่ไม่กี่เดือนก่อนหน้า โดยชี้ว่า BTC จะต้องทำสถิติสูงสุดใหม่ในเดือนธันวาคมปี 2020 ซึ่งก็เกิดขึ้นจริง "ผมคิดว่า ราคาจะยืนถึง 50,000 ในอนาคตอันใกล้" กล่าวโดยผู้เชี่ยวชาญและกล่าวเสริมว่า โอกาสที่ BTC จะเติบโตนั้นสูงกว่าอ่อนค่าลง และหมดโอกาสที่ราคาจะดีดกลับลงมาที่ $20,000
    ด้าน นายแดน มอร์เฮด ซีอีโอบริษัทเพื่อการลงทุน Pantera Capital ทำนายว่า ราคาบิทคอยน์จะขยับถึง $115,000 ภายในเดือนสิงหาคมปี 2021 เหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวหยวนดิจิทัลจะช่วยหนุนการแทรกแซงของเงินดิจิทัลในเศรษฐกิจโลก
    หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง เราจะได้เห็นเศรษฐีเงินคริปโตระดับร้อยล้านพันล้านเกิดขึ้นอีกมากมายในโลก ส่วน ณ ตอนนี้ Forbes ให้รายชื่อบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในวงการนี้ ดังนี้:
    อันดับแรกคือผู้ก่อตั้งตลาดแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ Gemini คือพี่น้องตระกูลวิงเคิลโวส ซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าของสินทรัพย์เงินคริปโตประมาณ $1.4 พันล้านเหรียญต่อคน ส่วน นายแมธธิว โรซซาค ผู้ร่วมก่อตั้ง Bloq มาเป็นอันดับสองพร้อมด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลคิดเป็นเงิน $1.2 พันล้านดอลลาร์ และนายทิม เดรปเปอร์ นักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งตามการคาดคะเนนของ Forbes เขามีมูลค่าทรัพย์สินคิดเป็น $1.1 พันล้านดอลลาร์
    ในอันดับที่สองเป็นของ นายไมเคิล เซลเลอร์ ประธาน MicroStrategy ด้วยสินทรัพย์คิดเป็นมูลค่ากว่า $600 ล้านเหรียญ อันดับห้าคือ $478 ล้านเหรียญ และอันดับสุดท้ายคือ นายวิตาลิค บูเทอริน ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum โดยมีสินทรัพย์มูลค่า $360 ล้านเหรียญดอลลาร์
    เมื่อพูดถึง Ethereum นายแดน ทาเปียโร ผู้ก่อตั้งกองทุน DTAP Capital ชี้ว่า เหรียญนี้พร้อมที่จะเติบโตต่อไป โดยเห็นได้จากความสนใจจากลูกค้ารายสถาบันบางส่วนของกองทุน Northern Trust จากอเมริกา ซึ่งบริษัทถือหุ้นนี้ยังเปิดบริการสำหรับการจัดเก็บคริปโตเคอเรนซีรวมกับธนาคาร Standard Chartered และ "หาก Northern Trust เก็บบิทคอยน์และอีธีเรียม พวกเขาก็ต้องมีผู้ซื้อสินทรัพย์ทั้งสองเหล่านี้" นายทาเปียโรให้ข้อสนับสนุนมุมมองของเขา


กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX


หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

https://th.nordfx.com
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 22, มกราคม 2021, 04:50:27 PM »
เริ่มต้นเทรดฟอเร็กซ์อย่างไร แผนการเติบโตอย่างรวดเร็ว


ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนฟอเร็กซ์ คือ หนึ่งในสถานที่ไม่กี่แห่งที่ทุกคนสามารถทำฝันเป็นจริงได้ด้วยตนเอง เป็นตลาดที่ไม่มีเจ้านาย ไม่มีเพดานในการทำเงิน และคุณสามารถจัดตารางเวลาทำงานได้ด้วยตนเอง ทั้งหมดนี้กลายเป็นอาชีพให้กับนักเทรด แต่การเทรดเป็นอาชีพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เสมอไป

ผู้ที่เข้ามาใหม่ต้องประสบกับความยากลำบากหลายประการ หลายคนอาจไม่เข้าใจว่าจะเริ่มต้นเทรดฟอเร็กซ์อย่างไรและต้องใช้อะไรบ้าง พวกเขาจึงมีข้อผิดพลาดในช่วงแรก ซึ่งอาจทำลายแรงจูงใจในการเทรดฟอเร็กซ์ได้ตลอดไปหลังความพยายามครั้งแรก

เนื่องจากเส้นทางของนักเทรดและนักลงทุนมือใหม่อาจไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เราได้เตรียมแผนการปฏิบัติมาให้กับผู้อ่าน เมื่อทำตามขั้นตอนนี้ คุณจะสามารถทำความเข้าใจตลาดได้อย่างดีและรวดเร็ว และการเทรดฟอเร็กซ์จะเริ่มสร้างรายได้ให้กับคุณได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่

เริ่มเทรดฟอเร็กซ์ที่ไหน

ตลาดฟอเร็กซ์ คือ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างธนาคารที่กระจายศูนย์กลางระหว่างกัน ซึ่งมีการซื้อขายสกุลเงินโดยผู้ร่วมตลาด กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ฟอเร็กซ์ คือ ตลาดการซื้อขายค่าเงินรอบโลก แหล่งที่มาของรายได้สำหรับนักเทรด คือ ส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างราคาซื้อและราคาขายค่าเงินในตลาด เช่น คุณสามารถซื้อและขายดอลลาร์แลกกับเงินยูโร หรือเยนญี่ปุ่น หรือหยวนจีน เป็นต้น แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มทำนายผลลัพธ์ของแต่ละธุรกรรมและทำกำไรจากมันนั้น คุณควรจะดำเนินการตามขั้นตอนสำคัญดังนี้ โดยมี 7 ขั้นตอนด้วยกัน ได้แก่
1. เลือกโบรกเกอร์
2. เปิดบัญชีซื้อขาย
3. ดาวน์โหลดแพล็ตฟอร์ม (สำหรับโบรกเกอร์ NordFX คือ MT4)
4. ทำความคุ้นเคยกับส่วนทฤษฎี
5.  เลือกคู่สกุลเงินและกลยุทธ์การเทรด
6.  ทดสอบทฤษฎีบนบัญชีทดลองและฝึกรับทักษะที่จำเป็น
7.  เริ่มเข้าสู่การเทรดด้วยเงินจริงอย่างราบรื่น

วิธีการเลือกโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์

ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศบริหารจัดการในลักษณะที่มีเพียงเงินทุนก้อนใหญ่เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้โดยตรง เรากำลังพูดถึงเงินหลายล้านดอลลาร์ เพราะว่าผู้ร่วมตลาดรายใหญ่คือสถาบันธนาคารและนักลงทุนรายสถาบัน ได้แก่ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ดังนั้น การเริ่มต้นเทรดฟอเร็กซ์ นักเทรดรายย่อยจำเป็นต้องใช้บริการสื่อกลางผ่านโบรกเกอร์ ซึ่งช่วยรวบรวมคำสั่งของนักเทรดในเครื่องมืออันทรงพลังและเข้าสู่ตลาดด้วยเครื่องมือนี้ การเทรดฟอเร็กซ์จึงสามารถเข้าถึงได้ทั่วกันทุกคน แม้แต่ผู้ที่มีเงินทุนจำนวนจำกัดมาก

สิ่งสำคัญคือการเลือกบริษัทโบรกเกอร์ที่ดี เมื่อคุณเปิดบัญชีการเทรด ขั้นตอนถัดไปคือการเติมเงิน เงินของคุณเป็นของหวานสำหรับเหล่ามิจฉาชีพ ซึ่งมีหลายกรณีตัวอย่างที่บริษัทปลอม ๆ พยายามที่จะเลียนแบบการเทรดให้เหมือนจริง มีหลายบริษัทที่พยายามจะไม่จ่ายผลกำไรให้กับลูกค้า โดยการใช้ราคานอกตลาด หรือทำเซิร์ฟเวอร์ล่ม บางแห่งอาจตั้งใจปั่นแท่งเทียน เขย่าค่าสเปรด รีโควทราคา หรือทำระบบติดขัด ดังนั้น การเลือกโบรกเกอร์อาจถือได้ว่าเป็นการวางรากฐานในการสร้างบ้านที่ดี

การกำกับดูแลและชื่อเสียง

หนึ่งในหลักเกณฑ์พื้นฐานในการเลือกโบรกเกอร์คือการกำกับดูแลและชื่อเสียงของโบรกเกอร์

บริษัทที่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพื่ออนุญาตให้ดำเนินธุรกิจอย่างเหมาะสม แม้ว่าเงื่อนไขของแต่ละประเทศจะแตกต่างกันไป กิจกรรมของบริษัทในตลาดการเงินจะต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด โดยจะต้องมีใบรับรอง การยืนยันรายงาน ระบบการชำระเงิน การประกัน การพิจารณาเมื่อมีข้อร้องเรียนและการติดตามผล ทันทีที่โบรกเกอร์เริ่มออกนอกลู่นอกทาง ในทางที่ดีที่สุดจะต้องถูกปรับโทษเป็นเงินจำนวนมาก หรือถูกยึดใบรับรองคืนเพื่อไม่ให้ประกอบธุรกิจได้ต่อไป

นอกเหนือจากใบรับรองแล้ว คุณควรศึกษาชื่อเสียงและประวัติของบริษัทอย่างระมัดระวัง โบรกเกอร์ที่เคยมีประวัติหลอกลวงจะไม่สามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานาน อันดับแรกจะถูกลงโทษโดยหน่วยงานที่กำกับดูแลโดยทันที และอันดับที่สองจะมีเสียงตอบรับในทางลบติดตัวมากมาย

ยิ่งโบรกเกอร์อยู่ในตลาดนานเท่าใด ชื่อเสียงของบริษัทจะยิ่งมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในมุมมองของนักเทรดนั้น การเลือกบริษัทที่ไม่มีประวัติและชื่อเสียงที่ดีเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

บริษัทโบรกเกอร์ NordFX ประกอบธุรกิจในตลาดการเงินมาตั้งแต่ปี 2008 และติดอันดับ 10 และ 20 อันดับแรกในคะแนนเรตติ้งระหว่างประเทศมากมาย บริษัทได้รับรางวัลทรงเกียรติมากกว่า 50 รางวัล รวมถึงรางวัลในฐานะโบรกเกอร์ที่ได้รับความไว้วางใจและมีความเป็นมืออาชีพสูง ในช่วงเวลานี้ ลูกค้าจากประเทศกว่า 190 ประเทศรอบโลกได้เปิดบัญชีแล้วมากกว่า 1.5 ล้านบัญชี ซึ่งบ่งบอกอะไรได้มากมาย!

NordFX ทำงานทั้งในตลาดเงินตราต่างประเทศ รวมถึงตลาดหุ้นและตลาดคริปโตเคอเรนซี และในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ไม่เคยมีการโจรกรรมบริษัทแม้แต่ครั้งเดียว และเงินลูกค้าแม้แต่บาทเดียวก็ไม่เคยถูกขโมยไป ต่างจากตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโตทั่ว ๆ ไป และทั้งหมดนี้เป็นเพราะการผสมผสานกันระหว่างประสบการณ์หลายปีของผู้เชี่ยวชาญ NordFX และเทคโนโลยีและอุปกรณ์ขั้นสูงที่พวกเขาใช้งาน

ข้อกำหนดการเทรด

ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นอาจรู้สึกว่าข้อกำหนดของบัญชีการเทรดนั้นเหมือนกันทุกโบรกเกอร์ จริง ๆ แล้วไม่เป็นเช่นนั้น ขนาดค่าสเปรด ค่าธรรมเนียม หรือค่าสวอป ความเร็วในการส่งคำสั่ง จำนวนเงินฝากขั้นต่ำ ความหลากหลายของสินทรัพย์ให้เทรด และอัตราทด ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรในการทำงานของนักเทรดเป็นอย่างมาก

ข้อแตกต่างเริ่มมีความชัดเจนเมื่อศึกษาในรายละเอียด เช่น โบรกเกอร์บางแห่งมีค่าสเปรดกว้างมากสำหรับคู่สกุลเงินที่คุณสนใจ ในขณะที่โบรกเกอร์แห่งอื่นอาจมีค่าสเปรดที่ต่ำมาก โบรกเกอร์ที่คุณเลือกควรมีข้อกำหนดในการเทรดที่ใช่สำหรับคุณ การเทรดในเงื่อนไขการซื้อขายที่แย่จะไม่เป็นผลดี เช่น หากคุณเทรดวันต่อวันในกรอบเวลาสั้น ๆ ขนาดค่าสวอปจะไม่มีผลสำหรับคุณ แต่หากคุณเปิดตำแหน่งเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน การใช้ค่าสวอปติดลบจะ "กลืนกิน" กำไรของคุณทั้งหมดและทำให้คุณขาดทุนได้ง่าย

ขนาดของอัตราทดหรือเลเวอเรจก็สำคัญเช่นกัน ภายใต้เงื่อนไขปกติในตลาด คุณอาจไม่ใช้มัน แต่ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะตัว สิ่งนี้สามารถกลายเป็นสิ่งช่วยชีวิตที่จะพยุงคุณออกจากการตกเป็นเหยื่อพายุหรือเฮอร์ริเคนทางการเงิน เช่น ที่ NordFX อัตราเลเวอเรจสูงสุดสำหรับคู่สกุลเงินคือ 1:1000 ซึ่งสามารถขยายโอกาสให้กับคุณได้เป็นอย่างมากในการใช้กลยุทธ์การเทรดและประกันความเสี่ยงในแบบต่าง ๆ

ความเร็วและวิธีการถอนเงิน ทีมงานซัพพอร์ต

การตรวจดูพาร์ตเนอร์ในอนาคตของคุณเป็นสิ่งสำคัญ (และโบรกเกอร์คือพาร์ตเนอร์ของคุณ) โดยเฉพาะในเรื่องความสามารถในการแก้ปัญหาในปัจจุบัน คุณทำได้โดยสอบถามทีมงานซัพพอร์ต และประเมินดูว่าคุณจะได้รับคำตอบสำหรับคำถามของคุณรวดเร็วเพียงใด หากปัญหานั้น ๆ ไม่ได้รับการแก้ไข คุณควรจะพิจารณาเกี่ยวกับคุณภาพการบริการของโบรกเกอร์

หลายท่านอาจไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ แต่เมื่อถึงเวลาที่มีปัญหาจริง ๆ เกิดขึ้น ทีมงานช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพเท่านั้นที่จะสามารถช่วยจำกัดความเสียหายได้

โปรดให้ความสนใจกับวิธีการฝากและถอนเงิน ความหลากหลายของช่องทางการชำระเงิน ขนาดค่าธรรมเนียม และความเร็วในการส่งคำสั่ง คุณไม่ควรทำงานร่วมกับบริษัทโบรกเกอร์ที่มีข้อกำหนดการถอนเงินโดยใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน เป็นต้น

เปิดบัญชีซื้อขาย

เมื่อคุณได้วางรากฐานที่ดีโดยการเลือกบริษัทโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเปิดบัญชีซื้อขาย การเทรดฟอเร็กซ์จะดำเนินการบัญชีนี้ หนึ่งบริษัทอาจมีบัญชีซื้อขายให้เลือกหลายประเภท คุณควรเลือกประเภทที่ขึ้นอยู่กับภารกิจของคุณ ยอดเงินฝาก และความสะดวกในการใช้งาน

โบรกเกอร์ NordFX มอบข้อเสนอให้ลูกค้าเป็นบัญชีทั้งหมดสี่ประเภท แต่ละประเภทจะมีข้อได้เปรียบพิเศษเป็นของตนเอง ซึ่งครอบคลุมเงื่อนไขที่นักเทรดต้องการใช้งาน และอนุญาตให้คุณสามารถใช้กลยุทธ์การเทรดได้อย่างหลากหลายและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนทำธุรกรรมกับสกุลเงิน คริปโตเคอเรนซี โลหะมีค่า น้ำมัน ดัชนี และหุ้นของบริษัทชั้นนำระดับโลก

ดาวน์โหลดแพล็ตฟอร์ม

การเทรดบนตลาดการเงินดำเนินการซอฟต์แวร์พิเศษ โดยขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกเทอร์มินอลใด มีจำนวนเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ราคาและความสามารถใดบ้างตามแต่ละเทอร์มินอล โดยอาจมีอินดิเคเตอร์ ตัวช่วยเทรด หรือสคริปต์ที่ทำให้การเทรดสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน ในตลาดฟอเร็กซ์ นักเทรดส่วนใหญ่ในโลกเลือกใช้แพล็ตฟอร์ม MetaTrader 4 (MT4) ซึ่งมีระบบอินเทอร์เฟซที่ชาญฉลาด ช่วยให้คุณสามารถเริ่มทำธุรกรรมแรกได้ไม่กี่นาทีหลังเริ่มทำความรู้จักกับแพล็ตฟอร์ม เปิดโอกาสและให้บริการเครื่องมือจำนวนมากมายมหาศาล การศึกษาฟังก์ชันและคุณสมบัติของ MT4 อย่างละเอียดนั้นจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าซอฟต์แวร์นี้สามารถให้อะไรคุณได้บ้าง

ความคุ้นเคยกับส่วนทฤษฎี

นักเทรดคืออาชีพที่โดยหลักแล้วใคร ๆ ก็เรียนรู้ได้ แต่ก็เช่นเดียวกันกับสายอาชีพอื่น ๆ ที่นี่มีความลับมากมาย ซึ่งคุณจะไม่สามารถขยับจากระดับเริ่มต้นสู่ระดับมืออาชีพขั้นสูงได้หากปราศจากความลับเหล่านี้ ในการก้าวสู่มือโปรนั้น คุณจะต้องศึกษาทฤษฎีเกี่ยวกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่แค่วิธีการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค แต่รวมถึงการเข้าใจหลักพื้นฐานเกี่ยวกับราคาและฟังก์ชันของตลาดโลก ตำราดังต่อไปนี้จะช่วยเปิดทางให้กับคุณ:
1. "How to Make a Living Trading Foreign Exchange" - Courtney Smith
2.   "A Man for All Markets: From Las Vegas to Wall Street" - Edward O. Thorpe
3.   "The Psychology of Trading: Tools and Techniques for Minding the Markets" - B.  Steenbadger
4.  " Beyond Candlesticks " - Steve Nison
5.  "How to Play and Win at a Stock Exchange" - Alexander Elder

คุณสามารถหาอ่านเนื้อหาที่มีประโยชน์เกี่ยวกับตลาดแลกเปลี่ยนได้ตามเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง และแน่นอนในส่วนการศึกษาของ NordFx ซึ่งเต็มไปด้วยเนื้อหามากมาย และเมื่อคุณเริ่มแม่นเรื่องทฤษฎีแล้ว คุณจะค่อย ๆ สามารถทำการตัดสินใจได้อย่างรอบคอบในการเปิดและปิดคำสั่งเทรด

อย่างไรก็ตาม พื้นฐานทฤษฎีอย่างเดียวนั้นอาจจะยังไม่พอ จิตวิทยาของนักเทรดส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อผลลัพธ์ทางการเงิน และหากคุณยังคงไม่มั่นใจในความสามารถของคุณ บริการคัดลอกเทรดเช่น บัญชี PAMM และ CopyTrading อาจเข้ามาช่วยคุณได้ในที่นี้

เลือกคู่สกุลเงินและกลยุทธ์การเทรด

การอ่านหนังสือหนึ่งเล่มเกี่ยวกับสกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ หรือตลาดหุ้นในโลกก็เพียงพอในการทำความเข้าใจความสำคัญของการเทรดอย่างเป็นระบบ โดยคุณสามารถทำตามขั้นตอนดังนี้:
1. สร้างกลยุทธ์เป็นของตนเองจากข้อมูลที่ได้รับทางทฤษฎี
2.  นำกลยุทธ์ของคนอื่นมาปรับใช้เป็นของตนเอง

คู่สกุลเงินจะมีบทบาทสำคัญ เราขอแนะนำให้ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นให้ความสนใจกับสินทรัพย์ที่มีค่าสเปรดต่ำ คู่สกุลเงินเหล่านี้ ได้แก่: EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY, AUD/USD, EUR/GBP, EUR/JPY และอื่น ๆ อีกมากมาย

หากคุณต้องการทำงานกับสัญญา CFDs ในการเทรดหุ้น NordFX ได้จัดสรรบัญชีซื้อขายประเภท Stocks แยกต่างหากเพื่อการนี้ โดยให้บริการเทรดหลักทรัพย์ของบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ที่สุดของโลกหลายสิบหุ้น

การทดสอบทฤษฎีบนบัญชีทดลองและฝึกฝนทักษะ

ความก้าวหน้าสำคัญในธุรกิจตลาดแลกเปลี่ยนในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นเป็นผลมาจากคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำให้เกิดการเทรดผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ แพล็ตฟอร์มสมัยใหม่เป็นแหล่งประมวลราคาขนาดใหญ่ ซึ่งในที่นี้คุณสามารถทำการวิเคราะห์ได้อย่างถี่ถ้วนอย่างอัตโนมัติ สามารถสร้างกลยุทธ์การเทรดและทดสอบแนวคิดของคุณ ซึ่งคำแนะนำคือ คุณควรศึกษาตัวช่วยทดสอบกลยุทธ์ที่ติดตั้งมาพร้อมใน MetaTrader-4

แน่นอนว่าสิ่งที่ไม่ควรพลาดคือบัญชีทดลอง ในบัญชีทดลองนี้ คุณสามารถเทรดตามเวลาจริงด้วยเงินเสมือนจริง แต่บัญชีทดลองก็มีข้อเสียสำคัญเช่นกัน ในที่นี้ นักเทรดจะไม่เสี่ยงกับเงินจริง จึงมีพฤติกรรมที่ประมาทมากกว่าการเทรดในตลาดด้วยเงินจริง

หากคุณต้องการทำความเข้าใจเรื่องจิตวิทยาว่ามีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนในสายอาชีพนี้ คุณสามารถลองทดสอบแนวคิดของคุณบนบัญชีประเภท Fix

ในบัญชีประเภทนี้มีเงินฝากขั้นต่ำเพียง $10 เท่านั้น จึงเป็นวิธีที่ดีในการสัมผัสประสบการณ์ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกพ่ายแพ้ ความตื่นเต้น ความกลัว และแน่นอนความสุขแห่งชัยชนะ

เริ่มเข้าสู่การเทรดจริง ๆ อย่างราบรื่น

ประสบการณ์ที่ได้รับเบื้องต้นจากการเทรดในบัญชีทดลองจะช่วยให้คุณมาถึงขั้นตอนสุดท้าย คือ การเริ่มใช้งานบัญชีซื้อขายแบบจริง สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือการเทรดด้วยบัญชีเงินจริงและบัญชีทดลองนั้นมีความแตกต่างกันมาก อย่างที่ได้อธิบายไว้ข้างต้นคือเรื่องมุมมองด้านการขาดทุน ในกรณีการเทรดด้วยเงินจริงนั้น เราจะรู้สึกถึงการขาดทุนได้อย่างถ่องแท้เสมอ และสิ่งสำคัญในขั้นนี้คือต้องไม่ปฏิบัติตนโง่ ๆ ดังนี้:
1. พยายามที่จะเบี่ยงเบนออกจากเงื่อนไขในกลยุทธ์การเทรดของคุณ
2.  เริ่มชดเชยเงินที่เสียไป
3.  ลืมเกี่ยวกับการจำกัดการขาดทุน (คัทลอส)
4.  เริ่มรอให้ขาดทุนสะสมไปเรื่อย ๆ
5.  เหลิงระเริงไปกับความตื่นเต้น

เมื่อคุณเริ่มเทรดด้วยเงินจริง จงเรียนรู้ที่จะมีจังหวะหยุดและปรับปรุงข้อผิดพลาดของคุณ การลองวิเคราะห์รายงานธุรกรรมสักสองสามชั่วโมงสามารถเปิดเผยทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนไม่ใช่แค่ในกลยุทธ์การเทรดของคุณ แต่รวมถึงอุปนิสัยของคุณได้อีกด้วย เพราะนี่คือสิ่งที่สำคัญมากกว่าความรู้ด้านเทคนิคหรือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในตลาดฟอเร็กซ์

คุณสามารถเริ่มเทรดฟอเร็กซ์ด้วยจำนวนเงินเท่าไร

มือใหม่หลายคนมีความเห็นว่าจำนวนเงินต้นน้อย ๆ ก็พอสำหรับการเริ่มทำเงินได้จำนวนมาก เช่น ในบัญชี Fix อนุญาตให้คุณเทรดด้วย "เงินลงทุน" เพียงหนึ่งดอลลาร์เท่านั้น มันเพียงพอเท่านี้จริง ๆ หรือ? ในมุมมองของเรานั้น มันเพียงพอสำหรับการเริ่มต้นเท่านั้น แต่ไม่ใช่สำหรับการลงทุนเพื่อซื้อคฤหาสถ์ เรือยอร์ช หรือเครื่องบินส่วนตัว

ในอินเทอร์เน็ตมีการโฆษณาบ่อย ๆ ว่า นักเทรดหลายคนได้รับกำไรสูงหลายร้อย หลายพัน หรือแม้แต่หลายหมื่นเท่า แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก เพราะมันเกิดขึ้นได้จริง ๆ แต่นี่เป็นเกมที่มีความเสี่ยงสูงมาก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะลงท้ายด้วยการสูญเสียและขาดทุนเงินทั้งหมดอยู่บ่อยครั้ง

ลองจินตนาการดูว่า เมื่อคุณเร่งความเร็วรถ Formula 1 ของคุณที่ 300 กม/ชม. จากนั้นอยู่ ๆ คุณก็กระโดดออกไปตรงสี่แยกไฟแดง แล้วจะมีจุดจบอย่างไร? ทุกคนรู้ดีว่า คุณมีโอกาสที่จะรอดชีวิต แต่โอกาสนั้นต่ำและในที่นี้คุณไม่มีความเป็นมืออาชีพแต่อย่างใด นักแข่งรถทุกคนย่อมทราบดีว่าที่ความเร็วเท่าใดถึงจะเหมาะสมกับสภาพรถและสภาพถนนแบบใด

เช่นเดียวกันกับในโลกฟอเร็กซ์ คุณควรจะเรียนรู้ที่จะเร่งความเร็วอย่างช้า ๆ ล้มเลิกความคิดบ้า ๆ และตั้งเป้าหมายที่เป็นจริงได้สำหรับตัวคุณเอง ทุกคนมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ แต่คุณไม่ควรทำให้การเทรดในตลาดการเงินเป็นเหมือนกับบ่อนการพนันที่เป็นเรื่องของโชคลาภไปเสียหมด ความรู้และประสบการณ์คือตัวตัดสินในที่แห่งนี้

แต่อย่างไรก็ตาม มีโชคช่วยก็ย่อมดีกว่าไม่มี...

#eurusd #gbpusd #usdjpy #btcusd #ethusd #ltcusd #xrpusd #forex #forex_example #signals #cryptocurrencies #bitcoin #stock_market

https://th.nordfx.com/
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 27, มกราคม 2021, 10:27:41 PM »
บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 25 - 29 มกราคม 2021


อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

-EUR/USD เราได้เผยแพร่กราฟเมื่อเจ็ดวันก่อนหน้านี้ซึ่งชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง S&P500 และ EUR/USD ได้หยุดลงตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม แต่ในเวลานี้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ดัชนี S&P ขยับขึ้นต่อเนื่อง ทำระดับสูงสุดที่ 3859.84 เมื่อวันที่ 21 มกราคม และคู่ EUR/USD ก็ปรับขึ้นมาเช่นกัน ทำให้คำทำนายของผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ที่ (65%) เป็นไปอย่างถูกต้อง โดยราคาทำระดับต่ำสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 1.2053 และเงินยูโรก็ขยับขึ้นมาที่ 1.2190 ก่อนจะปิดตลาดที่ 1.2170
    ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นไปอย่างค่อนข้างสงบส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรป นางคริสติน ลาการ์ด ไม่สามารถทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงได้ แต่ก็ไม่ยอมให้ยูโรแซงหน้าดอลลาร์แต่อย่างใด ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จระดับหนึ่ง
    ในถ้อยแถลงของเธอหลังการประชุมของธนาคารกลางยุโรปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม นางลาการ์ดอธิบายถึงเรื่องที่ดีและเรื่องที่ไม่ดี ในส่วนเรื่องที่ "ดี" นี้คือการเริ่มต้นฉีดวัคซีน ความสำเร็จในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอียู และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ลดลงในสหรัฐฯ ด้านที่ "ไม่ดี" ได้แก่ สถานการณ์โรคระบาดที่แย่ลง คำสั่งล็อคดาวน์เพิ่มขึ้น และแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนถดถอย และระดับเงินเฟ้อต่ำ ซึ่งยังลังเลที่จะขยับขึ้นเนื่องด้วยเงินยูโรที่แข็งค่า
    ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยุโรปปฏิเสธอีกครั้งในการประชุมครั้งล่าสุดที่จะปรับนโยบายทางการเงิน โดยชี้แจงเพียงแค่ว่า "มาตรการโครงการเข้าซื้อฉุกเฉินในช่วงโรคระบาดอาจไม่มีการใช้อย่างเต็มรูปแบบ" ข่าวนี้ส่งผลให้ยูโรแข็งค่าขึ้น แต่ก็ขึ้นไม่มากเพราะไม่มีรายละเอียดใด ๆ ตามมา หลักเกณฑ์ในการใช้มาตรการ PEPP นี้ยังคงเป็นเรื่องลับสำหรับนักลงทุน
   
- GBP/USD เงินปอนด์เติบโตควบคู่ไปกับเงินยูโรในช่วงครึ่งแรกของสัปดาห์ และราคาได้ตัดผ่านกรอบด้านบนที่ 1.3450-1.3700 โดยขยับถึงระดับสูงสุดที่ 1.3745 อย่างไรก็ดี ช่วงท้ายสัปดาห์ปรากฏว่าค่อนข้างคลุมเครือ แนวโน้มขาขึ้นไม่ได้รับแรงหนุนไปจากดัชนีขายปลีก (เพิ่มขึ้นแค่ 0.3% จากที่คาดการณ์ 1.2%) หรือดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจ ในภาคการบริการ ดัชนี Markit ลดลงจาก 49.4 เป็น 38.8 ด้านนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ยิ่งเพิ่มทัศนคติในแง่ลบ โดยเขากล่าวว่าอาจมีการสั่งล็อคดาวน์รอบที่สามไปจนถึงฤดูร้อน ทำให้เงินปอนด์กลับทิศทางมายังกรอบที่กำหนด และปิดตลาดที่ 1.3680
   
- USD/JPY ในครั้งที่แล้ว คำทำนายหลักซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยนักวิเคราะห์ 65% ชี้ว่า ราคาคู่นี้จะคงตัวในกรอบขาลงระยะกลาง ซึ่งเริ่มต้นขึ้นช่วงปลายเดือนมีนาคมปี 2020 และมีแนวรับอยู่ที่ 103.60 และ 103.00
    สถานการณ์นี้ปรากฏว่าถูกต้องอย่างสมบูรณ์แบบ ราคาพยายามอย่างไม่สำเร็จเป็นครั้งที่สองที่จะตัดผ่านระดับกรอบด้านบนของช่องราคานี้ ความพยายามครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วเกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 19 มกราคม โดยราคาเด้งกลับมายังแนวรับที่ 103.60 และขยับถึง 104.07 การรีบาวด์ครั้งถัดมาเกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม จากระดับ 103.30 และหยุดที่ 103.90 หลังจากนั้นราคาก็ปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่บริเวณที่เคลื่อนที่ซ้ำ ๆ ในเดือนนี้ คือ โซน 103.80
   
- คริปโตเคอเรนซี นี่คือการปรับฐานชั่วคราวหรือจุดเริ่มต้นของฤดูหนาวเงินคริปโต? คำถามนี้เป็นคำถามสำคัญในสัปดาห์ที่แล้ว ราคาบิทคอยน์ดิ่งลงมาต่ำกว่า $29,000 เมื่อวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม ซึ่งแน่นอนทำให้นักลงทุนหลายคนหวาดกลัว นายสก็อต มิเนิร์ด ผู้อำนวยการบริษัท Guggenheim ทำนายว่า ราคาจะขยับลงต่อไปที่ $20,000 ซึ่งเป็นโซนที่ราคาเริ่มทะยานขึ้นมาในช่วงครึ่งหลังของเดือนธันวาคมปี 2020 ทำราคา BTC เติบโตขึ้น 100%
    แต่ฝั่งที่มองโลกในแง่ดียังคงมั่นใจ ตลอดปีที่ผ่านมา ราคาบิทคอยน์ขยับขึ้น 5.75 เท่า จาก $7,300 เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2020 เป็น $41,900 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2021 ดังนั้นการปรับฐาน 30% สำหรับ "บางคน" ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องหวาดกลัวไป นอกจากนี้ นักวิเคราะห์หลายคนยังมองว่าในครั้งนี้ แนวโน้มขาลงของบิทคอยน์ในครั้งนี้จะไม่นำไปสู่การกลับไปหาเงินพันธบัตร นักลงทุนที่เก็บกำไรจากบิทคอยน์จะไม่ละทิ้งตลาดดิจิทัล แต่จะเปิดตำแหน่งกับอัลท์คอยน์ที่มีความน่าสนใจและศักยภาพมากกว่า เช่น อีธีเรียม ราคาเหรียญนี้ขยับขึ้นมากว่า 11 เท่าตลอดปีที่ผ่านมา และหาก BTC/USD เสียมูลค่า 22% เมื่อวันที่ 22 มกราคม ETH/USD ลดลงเพียง 10% เท่านั้น
    คำอธิบายนี้ก็สมเหตุสมผลกับสถิติมูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตเช่นกัน ในรอบเจ็ดวัน มูลค่ารวมลดลง 9.5% (จาก $1.028 ล้านล้านเหรียญ เหลือ $0.933 ล้านล้านเหรียญ) ในขณะเดียวกัน มูลค่ารวมของอัลท์คอยน์คงตัวอยู่ที่ระดับเดิมที่ $300 พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นบิทคอยน์เองที่กำลังลดมูลค่าลง และส่วนแบ่งในตลาดก็แสดงให้เห็นว่าบิทคอยน์มีสัดส่วนในตลาดลดลงจาก 67.48% เหลือ 64.31% ในขณะที่ส่วนแบ่งของ Ethereum ในทางกลับกันนั้นเพิ่มขึ้นจาก 13.52% เป็น 15.01%
    สำหรับดัชนี Crypto Fear & Greed Index ในที่สุดก็ลงมาจากโซน overbought และปรับลงมาจาก 88 เป็น 40 คะแนนในสัปดาห์นี้ มูลค่านี้อยู่ในช่วงปานกลาง ซึ่งเป็นช่วงที่สายเกินไปจะเปิดตำแหน่งขายกับคู่ BTC/USD และเร็วเกินไปที่จะเปิดตำแหน่งซื้อ แม้ว่านักวิเคราะห์บางคนมองว่าในช่วงที่ราคาย่อตัวลงมาเช่นนี้ "เหล่าปลาวาฬ" เริ่มเข้าเก็บวอลเล็ตบิทคอยน์มากขึ้นและเตรียมเก็บสะสมเหรียญของนักลงทุนที่หวาดกลัว


สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

- EUR/USD เมื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการประชุมธนาคารกลางยุโรปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราสามารถสรุปได้ว่า แม้จะไม่มีความเห็นที่ชัดเจนนักจากนางลาการ์ด ท่าทีโดยรวมของธนาคารกลางฯ ยังคงเป็นนโยบายแบบตึงตัว สภาบริหารธนาคารเน้นย้ำว่า ตลาดตราสารหนี้ของอียูเริ่มมีผลตอบแทนสูงขึ้นและความกังวลเกี่ยวกับการแข็งค่าขึ้นของยูโรเริ่มลดลง ขณะนี้เราต้องรอจับตาดูการประชุมของธนาคารเฟดสหรัฐฯ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 28 มกราคม อัตราดอกเบี้ยของดอลลาร์คาดว่าจะคงตัวระดับเดิมที่ 0.25% ดังนั้น ความสนใจหลักจะอยู่ที่การแสดงความเห็นของผู้บริหารธนาคารเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินในอนาคตอันใกล้ โดยนักลงทุนจะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับสิ่งนี้เพราะว่านี่คือการประชุมของธนาคารเฟดครั้งแรกหลังการเข้ารับตำแหน่งของ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ
    แน่นอนว่าเราจะได้เห็นการประกาศสถิติมหภาคชุดใหญ่ในสัปดาห์นี้เช่นกัน รวมถึงปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าทุนและสินค้าคงทนในสหรัฐฯ (ซึ่งจะประกาศในวันพุธที่ 27 มกราคม) รวมถึงสถิติ GDP ของสหรัฐฯ และเยอรมนี ซึ่งจะประกาศถัดมาในวันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม และศุกร์ที่ 29 มกราคม
    ในระหว่างนี้ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ คือ 45% สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 ออสซิลเลเตอร์ 75% บนกรอบ H4 อินดิเคเตอร์เทรนด์ 90% บน H4 และ 75% บน D1 เห็นด้วยกับฝั่งตลาดกระทิง โดยให้ระดับแนวต้านใกล้ที่สุดคือ 1.2275, 1.2300 และ 1.2350 เป้าหมายระยะกลางอยู่ที่เดิม คือ ขยับขึ้นไปยังระดับ 1.2500-1.2550
    มุมมองในทางตรงกันข้ามเป็นของผู้เชี่ยวชาญ 55% ออสซิลเลเตอร์ 25% บนกรอบ H4 ซึ่งให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน overbought และมีแนวรับใกล้ที่สุดที่ 1.2130 และ 1.2060 โดยเป้าหมายหลักคือโซน 1.1800-1.1900
   
- GBP/USD ณ ขณะที่มีการเขียนรีวิวนี้ สัญญาณออสซิลเลเตอร์บนกรอบ H4 ดูค่อนข้างน่าสับสน สำหรับอินดิเคเตอร์ที่เหลือ ส่วนใหญ่ให้สัญญาณสีเขียว ส่วนออสซิลเลเตอร์ 75% และการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ D1 รวมถึงอินดิเคเตอร์เทรนด์ 75% บนกรอบ H4 และ 100% บนกรอบ D1 หันไปทางทิศเหนือ
    แต่สำหรับนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (65%) ไม่เห็นด้วยกับการคาดการณ์แนวโน้มขาขึ้นในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำของสหราชอาณาจักรและคำแถลงของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ที่ออกมาเตือนคำสั่งล็อคดาวน์ว่าอาจมีผลถึงฤดูร้อน สิ่งนี้บังคับให้นักลงทุนต้องกลับคำคาดการณ์ของตนเองสำหรับเงินปอนด์ และก็เริ่มพูดถึงโอกาสการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ
    ระดับแนวรับอยู่ในโซน 1.3615-1.3635 จากนั้นไปที่ 1.3525 และสุดท้ายจะไปที่ระดับที่ต่ำกว่าของกรอบด้านข้างในรอบสามสัปดาห์ที่ 1.3450 ระดับแนวต้านจำกัดที่ 1.3700, 1.3745 และ 1.3800

- USD/JPY ในที่ประชุมวันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น และธนาคารกลางยุโรปไม่ได้ปรับนโยบายทางการเงินแต่อย่างใด การคาดการณ์ต่อ GDP ถูกปรับลดลงในช่วงปี 2020 แต่ธนาคารกลางฯ ปรับตัวเลขคาดการณ์เพิ่มขึ้นสำหรับปี 2021 โดยมองว่าแม้จะมีปัญหาต่าง ๆ เศรษฐกิจประเทศน่าจะเติบโตต่อไปได้
    ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญ 70% จึงเห็นด้วยว่า เงินเยนจะค่อย ๆ แข็งค่าขึ้น และราคาคู่นี้น่าจะขยับลงมายังแนวรับที่ 103.00
    มุมมองอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญโหวตให้ 30% มองว่า ราคาจะตัดทะลุกรอบด้านบนของช่องขาลง และขยับขึ้นไปในตอนแรกยังระดับแนวต้านที่ 104.00 จากนั้นที่ 104.40 และเป้าหมายถัดไปของตลาดกระทิงที่โซน 104.70-105.00
   
- คริปโตเคอเรนซี ไม่ใช่ความลับเลยว่าบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนและเสี่ยงสูงขนาดไหน การทะยานขึ้นครั้งใหญ่เป็นเพราะนักลงทุนรายสถาบันเริ่มเข้าสู่ตลาดเงินคริปโตในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 และสนับสนุนโดยภาวะโรคระบาด COVID-19 และมาตรการกระตุ้นทางการเงินของธนาคารเฟดสหรัฐฯ ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และพิมพ์เงินดอลลาร์ถูก ๆ เข้าสู่เศรษฐกิจ
    และขณะนี้ นักวิเคราะห์กำลังพูดถึงว่า เงินคริปโตนั้นอาจเป็นวิธีการชั่วคราวในการรักษาเงินทุน และขณะนี้นักลงทุนเริ่มทยอยตัวออกจากการซื้อสินทรัพย์ดิจิทัล
    ตามความเห็นของนักวิเคราะห์ JPMorgan Chase ภาพรวมระยะสั้นที่สำคัญของราคาบิทคอยน์คือบริษัทบริหารสินทรัพย์ดิจิทัลขนาดใหญ่ที่สุดในโลก Grayscale Investments ซึ่งมีพอร์ตเงินคริปโตตอนนี้ที่มูลค่า $23 พันล้านเหรียญ จากการคำนวณของนักวิเคราะห์ธนาคาร คู่ BTC/USD จะตัดผ่านแนวต้านที่ $40,000 ได้นั้น  Grayscale Bitcoin Trust จะต้องรักษาอัตราการไหลเวียนเข้าของเงินทุนที่ $100 ล้านเหรียญต่อวันในช่วงไม่กี่วันและสัปดาห์ข้างหน้า ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องมีการปรับฐานครั้งใหญ่เกิดขึ้น
    ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ ราคาคู่นี้อยู่ในบริเวณ $32,500 ซึ่งเป็นระดับแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา และหากมูลค่ารวมตลาดไม่ขยับขึ้น และราคาตกลงมาต่ำกว่า $30,000 เราอาจได้เห็นแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากฝั่งหมี และเริ่มการเทขายครั้งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญ 65% เห็นด้วยกับแนวโน้มนี้
    แต่ก็มีผู้ร่วมตลาดมืออาชีพที่ยังคงอยู่ในอารมณ์ตลาดกระทิงเช่นกัน ซึ่งได้รับการยืนยันจากผลตอบแทนเป็นบวกสำหรับฟิวเจอร์สเดือนมีนาคมที่ +3.5-5.0% และ นายแดน มอร์เฮด ประธานบริษัทการลงทุน Pantera Capital คาดการณ์ว่าจะได้เห็น "บิทคอยน์ที่ราคา 45,000 หรือสูงกว่า" ในเดือนกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม เขาแนะนำให้นักเทรดและผู้ร่วมวงการคนอื่นระมัดระวังให้มากที่สุด คำแถลงของรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ ก็เป็นแรงบันดาลใจที่ดีเช่นกัน นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และอดีตประธานธนาคารเฟดได้พูดถึงการปรับปรุงระบบการเงินแบบดั้งเดิม และเริ่มสนับสนุนการใช้งานคริปโตเคอเรนซีถ้ามีการใช้งานตามกรอบกฎหมาย แต่เวลาเท่านั้นที่จะบอกเราได้ว่ากฎหมายที่ว่าเหล่านี้คืออะไร แต่มีเฉพาะหมอดูเท่านั้นที่พอจะคาดเดาได้
    ตามที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน มาร์เรน อัลท์แมน โหราจารย์จากนิวยอร์กได้มีการทำนายราคาบิทคอยน์โดยอ้างอิงจากการเคลื่อนไหวของดวงดาว เธอเคยทำนายการปรับฐานของบิทคอยน์ในเดือนมกราคมได้อย่างถูกต้อง เพราะวันนั้นเป็นวันที่ดาวพุธ (ราคา BTC) ถูกตัดโดยดาวเสาร์ (ตัวขัดขวาง) เมื่อมองไปข้างหน้านั้น เธอเห็น "สัญญาณที่ดีในช่วงปลายเดือนและโดยเฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์และต้นเดือนมีนาคม" "อย่างไรก็ดี การปรับฐานครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนมีนาคม" เธอกล่าว "กลางเดือนเมษายนก็ดูแย่เช่นกัน แต่พฤษภาคมจะดีขึ้น"
    นอกจากนี้ อัลท์แมนมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียแล้วมากกว่าหนึ่งล้านคน ในบรรดาผู้ติดตามนี้อาจเป็นนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ จึงมีความเป็นไปได้ที่เธอและดวงดาวของเธอ โดยไม่ใช่ Grayscale Investments นั้นเป็นผู้ควบคุมตลาดเงินคริปโต ☺


กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

https://th.nordfx.com
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 31, มกราคม 2021, 08:18:25 PM »
บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 01 - 05 กุมภาพันธ์ 2021


อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

- EUR/USD สงครามการค้าที่เคยประกาศโดยประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ดูเหมือนว่าจะคลี่คลายลง แต่ตอนนี้เราอาจต้อง "แสดงความยินดี" กับทุกคนในโอกาสการเริ่มต้นของสงคราม "ค่าเงิน" ใหม่ และก็ถือว่าเป็นสงครามที่น่าตื่นเต้นและคาดการณ์ไม่ได้พอ ๆ กันกับสงครามการค้าเช่นกัน ในครั้งนี้ นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปได้ออกมาประกาศความเป็นศัตรู และศัตรูนี้เองคุณก็คงจะพอได้ว่าเป็น ธนาคารเฟดของสหรัฐฯ นั่นเอง
    เราได้เขียนไปแล้วหลายครั้งว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินยูโรนั้นมาจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์มากกว่า 1,700 จุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2020 จนถึง 15 มกราคม 2021 ในขณะนี้ ผู้บริหารธนาคารกลางยุโรปทำเสมือนว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่อัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD ณ ปัจจุบัน แต่เป็นอัตราความเร็วของการแข็งค่าขึ้น แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าอัตราแลกเปลี่ยน ณ ปัจจุบัน มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจยุโรปเช่นกัน และจะเป็นเรื่องดีถ้าหากอัตราแลกเปลี่ยนปรับลดลง
    ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติฟินแลนด์และเนเธอแลนด์เริ่มพูดถึงความกังวลของธนาคารกลางยุโรปเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนของเงินยูโร และอาจใช้มาตรการที่จริงจังเพื่อกระตุ้นระดับเงินเฟ้อ โดยให้สัญญาณว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลดลงต่อไป และทางด้าน นางเจเน็ต เยลเลน จะไม่ชอบท่าทีนี้อย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ อดีตประธานธนาคารเฟดคนนี้ซึ่งปัจจุบันเพิ่งเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีการคลังคนใหม่ของสหรัฐฯ นางเจเน็ต เยลเลน เคยให้สัญญาไว้ว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะหยุดยั้งไม่ให้ประเทศอื่น ๆ ปรับลดค่าเงินของพวกเขา
    ดังนั้น เราพอสันนิษฐานได้ว่ามีความท้าทายเกิดขึ้นและเป็นที่ยอมรับ ศึกครั้งนี้เริ่มขึ้นแล้ว และตั้งแต่เริ่มต้นทางอียูกลับต้องผิดหวัง... โดยเฉพาะจากผู้สนับสนุนคนหลักซึ่งก็คือเยอรมนี ผลปรากฏว่าระดับเงินเฟ้อของเยอรมนีในเดือนมกราคมพุ่งขึ้นจาก -0.7% เป็น +1.6% ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อการเติบโตของดัชนีโดยรวมในยูโรโซน ไม่ว่านี่จะส่งผลให้มีการจำกัดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางยุโรปหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ยังไม่มีใครตอบได้ ตลาดอยู่ในจุดสี่แยกถนน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากอัตราแลกเปลี่ยนของ EUR/USD ราคาได้ขยับในช่วงที่ค่อนข้างแคบ ในกรอบ 1.2055-1.2185 ตลอดสองสัปดาห์ครึ่งที่ผ่านมา และแม้ว่าดัชนีหุ้นสหรัฐฯ จะปรับลดลงเมื่อช่วงวันที่ 27-29 มกราคม แต่ก็ไม่สามารถผลักราคาออกจากกรอบดังกล่าวได้ ราคาจึงปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.2135
   
- GBP/USD เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (65%) ปฏิเสธที่จะเห็นด้วยกับแนวโน้มกระทิงของการวิเคราะห์ทางเทคนิค เหตุผลหลักก็คือผลงานที่ดูย่ำแย่ของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร และแถลงการณ์ของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษที่ออกมาเตือนว่าจะมีการใช้คำสั่งล็อกดาวน์รอบที่สามจนถึงฤดูร้อน สิ่งนี้บังคับให้นักลงทุนไม่เพียงแค่ปรับทบทวนการคาดการณ์ในเงินปอนด์ของตนเอง แต่ยังเป็นการเริ่มกลับมาคิดถึงสถานการณ์ที่ธนาคารแห่งชาติอังกฤษอาจปรับใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ
    เมื่อดูที่กราฟของคู่นี้ เราอธิบายได้ว่าแรงฝั่งตลาดกระทิงเริ่มอ่อนล้าลงในขณะนี้ แม้แต่สถิติที่เป็นบวกล่าสุดจากตลาดแรงงานของสหราชอาณาจักรซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 26 มกราคม ก็ไม่ช่วยหนุนเงินปอนด์ ราคาไม่สามารถตัดทะลุแนวต้านที่ 1.3750 เป็นเวลาสองสัปดาห์ติดต่อกัน ความผันผวนลดลง โดยเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคมมีความผันผวนในตลาดกว่า 400 จุดในรอบสัปดาห์ ในเวลานี้เหลือเพียง 150 จุดเท่านั้น สำหรับช่วงปลายสัปดาห์ห้าวันทำการ ราคาปิดตลาดที่โซนแนวต้านสำคัญอีกหนึ่งระดับคือ 1.3700
   
- USD/JPY เทรนด์ระยะกลางสำหรับคู่นี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมปี 2020 เมื่อราคาค่อย ๆ ขยับเข้ากรอบขาลงอย่างราบเรียบ โดยมีการพูดคุยมากมายในหมู่ผู้เชี่ยวชาญว่า ราคาคู่นี้จะสามารถพลิกกลับเทรนด์ดังกล่าวและตัดผ่านกรอบด้านบนของช่องได้หรือไม่ มีนักวิเคราะห์เพียง 30% เท่านั้นที่โหวตให้กับสถานการณ์นี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่พวกเขาเป็นกลุ่มที่ทำนายได้อย่างถูกต้อง ในครั้งที่แล้วมีการตั้งเป้าโซน 104.70-105.00 ให้เป็นเป้าหมายของฝั่งกระทิง ซึ่งราคา USD/JPY ได้ขยับถึงระดับดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ แตกต่างจากเงินปอนด์และยูโร ราคาคู่นี้ตอบสนองต่อรายงานที่เป็นบวกของตลาดแรงงานและดุลการค้าของสหรัฐฯ แต่แรงกระตุ้นที่สำคัญมาจากการกระจายตัวของเงินที่ไหลออกมาจากตลาดขาลงของดัชนีหุ้นอเมริกัน ได้แก่ S&P500, Dow Jones และ Nasdaq ดังนั้น ราคาจึงทำระดับสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์ที่ 104.95 และปิดตลาดรอบห้าวันทำการต่ำกว่าเดิมเล็กน้อยที่ 104.70
   
- คริปโตเคอเรนซี ในครั้งที่แล้วเราแค่พูดเล่น ๆ แต่ดูเหมือนคำทำนายของโหราจารย์จากนิวยอร์กนั้นกำลังจะเป็นเรื่องจริง ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้พูดถึงหมอดูที่ชื่อว่า มาเรน อัลท์แมน ผู้ทำนายแนวโน้มของราคา BTC/USD โดยอ้างอิงจากการเคลื่อนที่ของดวงดาว เธอทำนายได้อย่างถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับการเริ่มปรับฐานของบิทคอยน์ในเดือนมกราคม เพราะดาวพุธ (ราคาบิทคอยน์) จะถูกตัดผ่านโดยดาวเสาร์ (ตัวอุปสรรค) ในวันนั้น คำทำนายล่าสุดของเธอพูดถึง "สัญญาณที่ดีในช่วงปลายเดือนมกราคม"
    สำหรับสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาบิทคอยน์ยึดติดอยู่ตามแนวรับที่โซน $30,000 โดยพยายามจะขยับต่ำลง และสร้างความกังวลให้กับผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนหลายท่าน
    เช่น นายสก็อต มิเนิร์ด ผู้อำนวยการ Guggenheim Partners กล่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนบิทคอยน์จะไม่สามารถยืนเหนือ $35,000 หรือแม้แต่ $30,000 เพราะไม่มีความต้องการของนักลงทุนรายสถาบันในขณะนี้ที่สามารถสนับสนุนราคาที่ระดับเหล่านี้ได้
    อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนนี้ชี้ให้เห็นว่า หมอดูอาจจะเป็นผู้ชนะในศึกประลองระหว่างหมอดูและผู้เชี่ยวชาญ ราคาทำระดับต่ำสุดที่ $29,200 เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มกราคม ก่อนที่จะกลับตัวและขยับขึ้นมาที่ $38,100 เมื่อวันศุกร์ที่ 29 มกราคม แต่จากนั้นก็มีการกลับทิศทางอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แล้วตกลงมาที่ระดับ $33,500 ดังนั้น ผลลัพธ์ของการต่อสู้ในครั้งนี้ยังคงเป็นคำถาม ณ ตอนที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้
    นายสก็อต มิเนิร์ด ทำนายได้ถูกต้องแน่นอนว่า นักลงทุนมืออาชีพรายใหญ่ไม่ใช่แฟนคลับค่าเงินดิจิทัลแต่อย่างไร และสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2020 ถือได้ว่าเป็นการทดลองอย่างหนึ่งของเหล่าสถาบัน ซึ่งพวกเขาต้องคอยจับตามองปฏิกิริยาของหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแลตลาด แต่นายสก็อตอาจลืมพิจารณาไปว่า ในกรณีที่ไม่มีสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง นักลงทุนรายย่อยก็สามารถดันราคาบิทคอยน์ขึ้นไปเหมือนในปี 2017 ได้เช่นกัน นอกจากนี้ คนกลุ่มนี้ยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง และคนรุ่นกลางก็เข้ามามีส่วนร่วมเช่นกัน
    งานวิจัยที่ศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญจากแพล็ตฟอร์ม Wirex ร่วมกันกับบริษัท Stellar Development Foundation ชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนในเงินคริปโตส่วนใหญ่ไม่ใช่นักลงทุนรุ่นใหม่ทั้งหมดอย่างที่เคยเป็นในอดีต แต่เป็นคนอายุเกิน 45 ปี และมีเพียงนักลงทุนอายุระหว่าง 25 - 45 ปี เพียง 22% เท่านั้น
    การซื้อบิทคอยน์กลับมาหลังจากราคาตกลงไปต่ำกว่า $30,000 และภาวะที่ยังไม่เกิดการเทขายเพราะความหวาดวิตกสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนยังคงเชื่อในแนวโน้มการเติบโตของบิทคอยน์ไปสู่ระดับนิวไฮ มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตตัดผ่านระดับจิตวิทยาอีกครั้งที่ $1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา ขยับจาก $0.933 ล้านล้านเหรียญ เป็น $1.08 ล้านล้านดอลลาร์ ในส่วนดัชนี Crypto Fear & Greed Index ก็เริ่มขยับขึ้นควบคู่ไปกับการเติบโตของราคา หากในสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีอยู่ที่บริเวณ 40 จุด ในครั้งนี้ไต่ขึ้นมาเป็น 77 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ 29 มกราคม ซึ่งถือว่าใกล้กับโซน overbought แล้ว แต่มูลค่าสูงสุดยังคงอยู่อีกไกล อย่าลืมว่าดัชนีดังกล่าวอยู่ในโซน 95-98 จุดจาก 100 อย่างต่อเนื่องในช่วงราคาทะยานขึ้นเมื่อเดือนธันวาคมจนถึงสัปดาห์แรกของเดือนมกราคมที่ผ่านมา


สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

- EUR/USD สงครามค่าเงินที่เอ่ยถึงในส่วนแรกของบทรีวิวฉบับนี้ไม่ใช่สงครามที่จะกินเวลาหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน แต่อาจกินเวลานานหลายปีติดต่อกัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ "หดตัว" 3.5% ในปี 2020 และนี่ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่ติดลบตัวเดียวนับตั้งแต่ปี 2009 แต่ยังเป็นขาลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะเห็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและการอัดฉีดเงินสดจำนวนมหาศาลเข้าสู่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ($900 พันล้านเหรียญจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ และอีก $1,900 พันล้านเหรียญจากนายโจ ไบเดน) ประกอบวัคซีนต้าน COVID-19 ที่สำเร็จจะช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตได้ในปี 2021 อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
    ในทางกลับกันกับสหรัฐฯ แรงสนับสนุนสำหรับเศรษฐกิจยูโรโซนน้อยกว่ามาก - เป็นเม็ดเงิน €750 พันล้านยูโร ดังนั้น อัตราการเติบโตใน GDP ยูโรโซนจะต่ำกว่า (+1.5% ตามตัวเลขคาดการณ์) และอัตราการฉีดวัคซีนที่นี่ก็ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ หากเราพิจารณาปัจจัยนี้ควบคู่ไปกับความพยายามของธนาคารกลางยุโรปในการปรับลดค่าเงินยูโร เราอาจพอคาดการณ์ได้ว่า EUR/USD จะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันบางส่วน แต่อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ จะทำทุกทางเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
    หลังจากราคา EUR/USD ขยับอยู่ในกรอบด้านข้างมาตลอดสองสัปดาห์ครึ่งที่ 1.2055-1.2185 อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคแสดงสัญญาณน่าสับสน โดยไม่ให้สัญญาณที่ชัดเจนในทิศทางใด สำหรับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่ (65%) คาดว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ ดอลลาร์จะเริ่มเสียตำแหน่งและราคาจะกลับสู่โซน 1.2200-1.2300 โดยเป้าหมายคือราคาสูงสุดของเดือนมกราคมที่ 1.2350 แนวต้านใกล้ที่สุดคือ 1.2185 และระดับแนวรับใกล้ที่สุด คือ 1.2055 ส่วนเป้าหมายของตลาดหมีอยู่ในโซน 1.1800-1.1900
    ด้านเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจจะมีอะไรให้จับตาดูหลายอย่างในสัปดาห์นี้ ในวันจันทร์ที่ 1 และพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ จะมีการประกาศสถิติกิจกรรมทางธุรกิจและตลาดแรงงานในสหรัฐฯ และวันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ เราจะได้ทราบตัวเลขเบื้องต้นของ GDP และในวันถัดมาจะเป็นการประกาศสถิติตลาดผู้บริโภคในยูโรโซน ส่วนวันสุดท้าย วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ในวันศุกร์แรกของเดือน เราจะได้ทราบจำนวนตำแหน่งงานใหม่ที่สร้างขึ้นในสหรัฐฯ นอกภาคการเกษตร (NFP) ดัชนีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -140K เป็น +84K ซึ่งอาจส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในระยะสั้น แต่สิ่งนี้มักคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วโดยตลาด
   
- GBP/USD เราจะจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษในวันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะได้รับคำตอบเกี่ยวกับแผนการเข้าซื้อสินทรัพย์ภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารอังกฤษจะมีข่าวเซอร์ไพรส์นักลงทุนหรือไม่? จากแหล่งข่าวบทวิเคราะห์ของเราชี้ว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่มีแนวโน้มที่ปริมาณการซื้อพันธบัตรในตลาดเปิดจะคงที่ที่ระดับเดิม คือ £ 895 พันล้านปอนด์ และอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ 0.1% ดังนั้น ตลาดจะรอดูสัญญาณอื่นใดไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมจาก นายแอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษซึ่งจะกล่าวถ้อยแถลงในวันที่ 4 และ 5 กุมภาพันธ์นี้
    สำหรับนักวิเคราะห์ 70% เชื่อว่าคู่ GBP/USD จะสามารถตัดทะลุระดับแนวต้านที่ 1.3750 ได้สำเร็จ และจะปรับตัวขึ้นไปยัง 1.3800 เป็นเวลาสั้น ๆ ส่วนการวิเคราะห์กราฟและออสซิลเลเตอร์ 85% ในกรอบ D1 รวมถึงอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บนกรอบ H4 และ D1 เห็นด้วยกับสิ่งนี้ ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญ 60% รวมถึงการวิเคราะห์กราฟเชื่อว่า หลังจากราคาไปถึงทิศเหนือแล้วจะกลับตัวลงมายังโซน 1.3615-1.3700 โดยมีระดับแนวรับถัดไปที่บริเวณ 1.3500
   
- USD/JPY ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ D1 เชื่อว่า การเคลื่อนที่ของราคาไปยังทิศใต้จะดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยกรอบด้านบนของช่องระยะกลางขาลงตอนนี้จะกลายเป็นเส้นแนวรับ โดยระดับแนวต้านหลัก คือ 105.00 แนวรับอยู่ที่ 104.00, 103.55 และ  103.00
    นักวิเคราะห์ 30% ที่เหลือคาดการณ์ว่า ราคาจะสามารถขยับขึ้นสูงต่อไปและไปถึงโซน 105.70-106.10 ได้สำเร็จ
    ในส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% หันไปทางทิศเหนือที่กรอบ H4 และ 85% ในกรอบ D1 ด้านออสซิลเลเตอร์ 75% บนกรอบ H4 และ 60% บนกรอบ D1 ให้สัญญาณสีเขียว ส่วนที่เหลือให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน overbought


- คริปโตเคอเรนซี ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า การปรับฐานลงของเดือนมกราคมสิ้นสุดลงแล้วและ BTC/USD ก็พร้อมที่จะทะยานขึ้นไปสู่ระดับ $50,000 ส่วนผู้ที่ต้องการจะเก็บกำไรและแปลงเงินจากสินทรัพย์คริปโตเป็นเงินพันธบัตรก็ได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว และขณะนี้ ฝั่งกระทิงกำลังก่อกำลังขาขึ้นรอบใหม่ อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำของธนาคารกลางซึ่งแทบจะเป็นศูนย์ มาตรการการคลังขนานใหญ่ต่างเป็นแรงกดดันอย่างหนักต่อเงินดอลลาร์ รวมถึงความผันผวนในตลาดหุ้นก็ยิ่งเสริมความน่าดึงดูดของบิทคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ประกันความเสี่ยง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้การทะยานขึ้นของราคาน่าจะไปต่อได้
    มีความเป็นไปได้ว่าปี 2021 จะเป็นปีของการต่อสู้ระหว่างตลาดเงินคริปโตและหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ และหากเราไม่พูดถึงความหวังของเหล่าแฟนคลับเงินคริปโต คำถามสำคัญยังคงปรากฏว่า สินทรัพย์ดิจิทัลสามารถมีจุดยืนที่เข้มแข็งได้อย่างจริงจังหรือไม่
    เช่น ธนาคารแห่งชาติสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหนึ่งองค์กรการเงินขนาดใหญ่ที่สุดของเอเชียเรียกบิทคอยน์ว่าเป็น สินทรัพย์ที่มีศักยภาพไม่ใช่แค่จะแข่งขันกับทองคำเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนมันจากตำแหน่งแรกในหลักประกันในการลงทุน ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญของธนาคารเชื่อว่า "เราไม่น่าจะได้เห็นการยอมรับบิทคอยน์อย่างแพร่หลายในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากเหล่าหน่วยงานกำกับดูแลจะไม่อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระว่าจะทำธุรกรรมกับเงินหลายล้านหรือแม้แต่หลายพันล้านดอลลาร์อย่างไร" รัฐบาลเริ่มมีท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้นว่า พวกเขาจะไม่ยอมให้มีการโจมตีเครื่องมือในอำนาจของพวกเขา ซึ่งก็คือ ค่าเงินตราประเทศ
    สำหรับเงินคริปโตอันดับสอง Ethereum ตลาดยังคงรอให้มีการเปิดตัวการซื้อขายฟิวเจอร์สของอีธีเรียม ปัจจัยนี้เองที่ทำให้ ETH/USD สามารถยืนคงตัวได้แม้ในช่วงปรับฐานเดือนมกราคม เมื่อบิทคอยน์เริ่มดิ่งลงแนวรับในโซน $30,000
    ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยที่เคยส่งให้บิทคอยน์ขยับขึ้นเหนือ $20,000 ในช่วงปลายเดือน 2017 คือการเปิดตัวของฟิวเจอร์สโดยตลาด Chicago Mercantile Exchange (CME) และในขณะนี้ ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2021 ตลาดแห่งเดียวกันกำลังรอการอนุมัติจากทางการเพื่อเปิดการซื้อขายฟิวเจอร์ส Ethereum ซึ่งอาจนำไปสู่การขยับขึ้นของราคาเหรียญ
    มาถึงช่วงสรุป อีกหนึ่งเรื่องราวน่าตลกขบขันในแวดวงคริปโตเคอเรนซี ในครั้งที่แล้วเราได้พูดถึงหมอดูชาวอเมริกันที่ทำนายราคาบิทคอยน์จากการสังเกตการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ครั้งนี้เรามาพูดถึงชาวอเมริกันอีกคนหนึ่ง นายไซมอน เบิร์น ผู้สร้างฟาร์มขุดเหรียญในท้ายรถสปอร์ต BMW i8 ของเขา ฟาร์มแห่งนี้ได้รับพลังงานมาจากแบตเตอรีรถยนต์ ซึ่งเชื่อมต่อกับตัวแปลงดีซี พลังงานแบตเตอรีของ BMW i8 มีความจุที่ 3500W ในขณะที่เครื่องขุดนั้นใช้พลังงานเพียง 1500W จึงเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมของชายคนนี้ในการทำเงินแม้ในขณะเดินทางไปไหนมาไหน



กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX


หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

https://th.nordfx.com
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 05, กุมภาพันธ์ 2021, 12:21:41 AM »
ผลลัพธ์เดือนมกราคม 2021: นักเทรดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด NordFX จากบิทคอยน์และทองคำ


บริษัทโบรกเกอร์ NordFX ได้สรุปผลงานธุรกรรมการเทรดของลูกค้าในเดือนแรกของปี 2021

ผลกำไรสูงสุดในเดือนมกราคมเป็นของลูกค้าจากประเทศเวียดนาม หมายเลขบัญชี 1416xxx ผู้ได้รับกำไรเป็นเงิน 83,598 USD ผลลัพธ์ส่วนใหญ่มาจากการเทรดคู่ทองคำ (XAU/USD) และบิทคอยน์ (BTC/USD)

นักเทรดผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดเป็นอันดับที่สองเป็นของนักเทรดจากประเทศจีน หมายเลขบัญชี 1416xxx ผลกำไรคือ 40,902 USD และได้รับกำไรจากธุรกรรมจากทองคำและบิทคอยน์เช่นเดียวกัน รวมถึงคู่สกุลเงินที่พบไม่บ่อยในหมู่นักเทรดชาวจีน คือ แรนด์แอฟริกาใต้ (USD/ZAR)

อันดับที่สามประจำเดือนมกราคมเป็นของผู้แทนจากอินเดีย (หมายเลขบัญชี 1518xxx) ผลลัพธ์ที่ได้รับคือ 40,217 USD ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับมาจากธุรกรรมกับคู่สกุลเงินคริปโตสองคู่ ได้แก่ BTC/USD และ ETH/USD ทั้งนี้ ควรคำนึงว่านักเทรดท่านนี้เป็นเจ้าของตำแหน่งอันดับที่สามในเดือนธันวาคมเมื่อปีที่ผ่านมาเช่นกัน และผลกำไรรวมสำหรับสองเดือนที่ผ่านมาคิดเป็นเงินเกือบ 80,000 USD

สำหรับนักเทรดที่ให้ความสนใจกับการเทรดคู่สกุลเงินฟอเร็กซ์โดยเฉพาะนั้น ผู้นำในส่วนนี้เป็นของนักเทรดชาวศรีลังกา (หมายเลขบัญชี 1528xxx) ผู้ทำรายได้ 33,684 USD จากธุรกรรมเงินปอนด์อังกฤษ ได้แก่ GBP/AUD, GBP/CAD และ GBP/USD

บริการการลงทุนเชิงรับ:
- ในการเทรด CopyTrading ของเดือนมกราคม กำไรสูงสุดที่ 382% เป็นของสัญญาณ sab aq4x อย่างไรก็ตาม การขาดทุนสะสมก็สูงมากเช่นกันที่ 74.15% แต่ของ KennyFXPRO มีการเติบโตไม่มากแต่คงที่ โดยมีการขาดทุนสะสมค่อนข้างปานกลาง (กำไรสูงขึ้นในเดือนมกราคม 34.57% โดยมีการขาดทุนสะสม 12.30% และยังมีอีกสัญญาณหนึ่งที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า คือ NordFX Pro (กำไรเพิ่มขึ้น 24.08% ขาดทุนสะสม 11.31%)
- ในบริการ PAMM ผู้จัดการ Nacarino ทำกำไรได้สูงสุดประจำเดือน (เพิ่มขึ้น 82.82% ขาดทุนสะสม 77.42%) ในส่วนการขาดทุนสะสมเพียง 1% และทำกำไร 12.53% เป็นของนักเทรดภายใต้ชื่อ COPY CAT 01

ในบรรดาพาร์ทเนอร์ไอบี 3 อันดับแรกของ NordFX มีดังนี้:
- พาร์ทเนอร์ที่ได้รับค่าธรรมเนียมมากที่สุด จำนวน 9,461 USD ในเดือนมกราคม เป็นของพาร์ทเนอร์จากประเทศจีน หมายเลขบัญชี 1336xxx
- ลำดับถัดไปเป็นของพาร์ทเนอร์จากประเทศจีนเช่นกัน หมายเลขบัญชี 1175xxx ผู้ได้รับเงิน 6.124 USD
- และสุดท้าย พาร์ทเนอร์ชาวศรีลังกา หมายเลขบัญชี 1483xxx ผู้ได้รับเงิน 6,123 USD เป็นรางวัลในอันดับที่สาม


กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX


หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

https://th.nordfx.com
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 10, กุมภาพันธ์ 2021, 10:34:55 PM »
บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 8 - 12 กุมภาพันธ์ 2021

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

- EUR/USD ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ โดยได้รับแรงกระตุ้นจากทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาลดลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงสามสัปดาห์เท่านั้นตั้งแต่ช่วงยอดสูงสุด ตัวเลขเฉลี่ยในรอบ 7 วันลดลงเกือบ 50% และความสำเร็จของวัคซีนประกอบกับมาตรการเยียวเศรษฐกิจชุดใหม่สามารถนำไปสู่ภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศได้
    และตรงนี้เองที่ความสับสนเริ่มต้นขึ้น ซึ่งทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนต่างฉงนใจ ช่วงการแพร่ระบาดเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วได้เกิดความสัมพันธ์แบบแปรผกผันที่เห็นได้อย่างชัดเจนระหว่างดอลลาร์และดัชนีหุ้น หลังจากหุ้นตกลงอย่างรุนแรงในช่วงต้น มาตรการกระตุ้นทางการคลัง (QE) อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง และการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการพิมพ์ธนบัตร ส่งผลให้ดัชนีหุ้น, S&P500, Dow Jones, Nasdaq ขยับขึ้นและดัชนีดอลลาร์ DXY ขยับลดลง
    และตอนนี้มาถึงปี 2021 ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตร หลังจากตัวเลขสถิติทางเศรษฐกิจที่ดี และการคาดการณ์ "การอัดฉีด" ทางการคลังรอบใหม่เป็นเงินกว่า $2 ล้านล้านดอลลาร์ ความต้องการในความเสี่ยงและดัชนีหุ้นยังคงขยับขึ้น แต่คู่ขนานกันนั้น ผลตอบแทนระยะยาวของพันธบัตรสหรัฐฯ และดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นเช่นกัน
    "แต่มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น" ผู้เชี่ยวชาญหลายคนอุทาน นโยบายทางการเงินแบบผ่อนปรนและการกระตุ้นผลิตเม็ดเงินเข้าตลาดควรจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงไม่ใช่แข็งค่าขึ้น หรือบางทีนี่ไม่ใช่การแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์แต่อย่างใด แต่เป็นการอ่อนค่าลงของสกุลเงินคู่แข่งอื่น ๆ ? หรือเป็นเพราะยูโร?
    เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ราคาอยู่ที่ 1.2135 โดย EUR/USD ทำราคาต่ำสุดที่ 1.1950 เมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ โดยตัดทะลุระดับแนวรับที่ 1.2000 เป็นครั้งแรกในรอบ 10 สัปดาห์ หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นและดอลลาร์ก็เปลี่ยนสัญญาณอีกครั้ง จากบวกเป็นลบในครั้งนี้: ดัชนี S&P500 ขยับขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ดัชนี DXY เริ่มดิ่งลง ส่งผลให้คู่ EUR/USD ปรับตัวขึ้นมาและปิดตลาดรอบห้าวันทำการที่ 1.2050

- GBP/USD เราได้คาดการณ์ไว้ว่า ในที่ประชุมวันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ ธนาคารแห่งชาติอังกฤษจะคงปริมาณการซื้อพันธบัตรไว้ที่ £895 พันล้านปอนด์ และอัตราดอกเบี้ยระดับเดิมที่ 0.1% และก็เป็นเช่นนั้นจริง นโยบายทางการเงินไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เงินปอนด์เริ่มแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเทียบกับดอลลาร์ โดยดีดขึ้นมา 135 จุด จาก 1.3565 เป็น 1.3700
    ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ผลการประชุมของธนาคารกลาง แต่เป็นการคาดการณ์ของตลาด คณะกรรมการของธนาคารฯ ตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์ให้คงมาตรการเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่นักลงทุนบางส่วนคาดว่าจะมีเสียงที่แตกเป็นกลุ่ม ๆ ในหมู่กรรมการ และคาดไว้ว่าจะมีสมาชิกบางคนที่สนับสนุนอัตราดอกเบี้ยติดลบ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ผลคะแนนออกมาที่ 9:0
    ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบจะส่งผลให้เงินปอนด์ทรุดตัวลง แต่สถานการณ์นี้ถูกกอบกู้โดยทัศนคติในแง่บวกในหมู่กรรมการบริหารเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร ในความเห็นของพวกเขา วัคซีนจะส่งผลให้ GDP ของประเทศขยับถึงช่วงก่อนโควิดในปีนี้ และดัชนีราคาผู้บริโภคจะขยับขึ้น 2% ในช่วงต้นปี 2022
    ผลการตัดสินใจที่เป็นเอกฉันท์ของธนาคารแห่งชาติอังกฤษที่ล้มเลิกความคิดที่จะใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบในอนาคตอันใกล้อาจกระตุ้นให้เงินทุนไหลเวียนเข้ามาในประเทศมากขึ้น และสิ่งนี้เองสะท้อนให้เห็นจากการที่คู่ GBP/USD ขยับขึ้นมาต่อเนื่องในวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ และปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.3735

- USD/JPY การเคลื่อนที่ของคู่นี้โดยหลักแล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น แต่เป็นในสหรัฐฯ เป็นหลักที่มีความเคลื่อนไหวของดัชนีดอลลาร์ DXY ดัชนีหุ้น และผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาล ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเช่นกัน
    เมื่อวันที่ 27 มกราคม ราคาได้ตัดทะลุกรอบด้านบนในช่องขาลงระยะกลาง ซึ่งราคาได้ขยับลงมาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมปีที่แล้ว และขยับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และแม้ว่าออสซิลเลเตอร์ส่วนใหญ่และอินดิเคเตอร์ในกรอบ H4 และ D1 ชี้ถึงเทรนด์ขาขึ้น มีผู้เชี่ยวชาญเพียง 30% เท่านั้นที่ได้โหวตให้แนวโน้มขาขึ้น แต่เป็นคำทำนายของผู้เชี่ยวชาญนี้เองที่ปรากฏออกมาว่าถูกต้อง ราคาได้ทำระดับสูงสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ 105.75 หลังจากนั้นก็มีการปรับฐานและปิดตลาดที่ 105.35

- คริปโตเคอเรนซี เราเน้นย้ำในบทรีวิวครั้งที่แล้วว่า กระทิงกำลังผนึกกำลังอีกครั้ง โดยทำเทรนด์ขาขึ้นอีกรอบสำหรับบิทคอยน์ นอกจากนี้ยังมีการพูดว่าปัญหาสำคัญของตลาดคริปโตในปี 2021 จะเป็นรัฐบาล ซึ่งมีเป้าหมายที่จะหาทางจำกัดควบคุมตลาดคริปโตให้ได้มากที่สุด
    ตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2020 นักลงทุนรายสถาบันกลายเป็นผู้ผลักดันเบื้องหลังการเติบโตของราคา นอกเหนือไปจากกองทุนเฉพาะทาง เช่น Grayscale Investments และบริษัทด้านเทคโนโลยี เช่น MicroStrategy และมหาวิทยาลัยอย่าง Harvard, Yale และ Michigan ต่างเริ่มเก็บสะสมเงินคริปโต โดยใช้กองทุนของตนเอง และแม้กองทุนที่มีความอนุรักษ์นิยมสูง เช่น กองทุนเงินบำนาญรัฐบาลสหรัฐฯ อย่าง CaIPERS ก็มีการซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยประเด็นการกำกับดูแลส่งผลให้สถาบันเหล่านี้ต้องมีท่าทีอย่างระมัดระวังอย่างมากในการลงทุนในบิทคอยน์ ซึ่งในขณะนี้ยังลงทุนเป็นเงินจำนวนน้อยมาก
    ทันทีที่คู่ BTC/USD ทำระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 8 มกราคม โดยขยับขึ้นเหนือ $42,000 และมูลค่าในตลาดคริปโตสูงเกิน $1 ล้านล้านดอลลาร์ นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปก็กล่าวโดยทันทีว่านี่คือสินทรัพย์ชนิดเก็งกำไรเสี่ยงสูง ซึ่งใช้ใน "ธุรกิจแปลก ๆ " และกิจกรรมฟอกเงินมากกว่า ด้าน นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ ก็เข้าร่วมวงด้วย เธอกล่าวว่า "คริปโตเคอเรนซีมีความน่ากังวลเป็นพิเศษ และหลายสกุลเงินคริปโตนั้นใช้ในการกิจกรรมที่ผิดกฎหมายด้านการเงิน" ทั้งลาการ์ดและเยลเลนต่างให้สัญญาณถึงความจำเป็นที่จะต้องกำกับดูแลตลาดนี้อย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนยังคงไม่ได้พูดถึงเหตุผลหลักของความกังวลดังกล่าว แม้ว่าจะชัดเจนว่า รัฐบาลนั้นล้วนกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียความควบคุมทางด้านการเงิน
    แต่อย่างไรก็ดี หลังจากคำแถลงของประธานธนาคารกลางยุโรปและธนาคารเฟดสหรัฐฯ ราคาบิทคอยน์ตกลงมาต่ำกว่า $30,000 แต่ในช่วงปลายเดือนมกราคม ตลาดก็เริ่มปรับตัว และราคาขยับขึ้นมาอีกครั้ง
    ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ คู่ BTC/USD ซื้อขายกันอยู่ที่โซน $38,000 และมูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตทำระดับสูงสุด โดยขึ้นมาที่ระดับ $1.16 ล้านล้านเหรียญ ในส่วนดัชนี Crypto Fear & Greed ขยับขึ้นถึง 81 และแม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่โซน overbought แต่ก็ยังอยู่ไกลจากระดับสูงสุดอยู่มาก
    ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจาก Glassnode จำนวนที่อยู่ BTC ที่มีธุรกรรมซื้อขายขยับถึง 22.3 ล้านที่อยู่ในเดือนมกราคม "นี่คือตัวเลขที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ของบิทคอยน์จนถึงปัจจุบัน" กล่าวโดยนัวิเคราะห์ กิจกรรมที่เพิ่มขึ้นในเดือนมกราคมทำลายสถิติยอด 21 ล้านที่อยู่ในเดือนธันวาคมปี 2017
    นักขุดเหรียญ BTC ก็แสดงถึงดัชนีที่ใกล้กับสถิติใหม่เช่นกัน แม้ว่าราคาจะปรับลดลง 30% มกราคมยังคงเป็นเดือนที่ดีมากสำหรับ "ธุรกิจแปลก ๆ" นี้ การขุดเหรียญบิทคอยน์ทำเงินได้ $1.1 พันล้านดอลลาร์ (สูงสุด $1.2 พันล้านดอลลาร์ในเดือนธันวาคม 2017) การผลิตเหรียญ Ethereum ทำผลงานได้ $830 ล้านเหรียญ โดยสูงกว่าตัวเลขเดือนธันวาคมปี 2020 ถึง 120%


สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

- EUR/USD ณ เวลานี้ สถานการณ์ดูยังเข้าข้างฝั่งดอลลาร์ นักลงทุนจับตาคาดหวังการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงพร้อมที่จะปิดหูปิดตาต่อหนี้สาธารณะประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะตามมาหลังเริ่มแผนเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น และค่าส่วนต่างระหว่างพันธบัตรสหรัฐฯ และยุโรปก็มากขึ้น ทำให้ดอลลาร์แข็งค่า และเป็นแรงกดดันต่อเงินยูโร ด้วยเหตุนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ รอบ 10 ปีถึงระดับที่ 1.15% แล้ว และแนวโน้มที่จะขยับขึ้นก็ยังคงไม่หมดลง ตรงนี้เองคุณต้องไม่ลืมคำพูดของ คริสติน ลาการ์ด ที่เคยกล่าวไว้ว่า ธนาคารกลางยุโรปไม่ขัดที่จะเห็นยูโรอ่อนค่าลง
    เหตุผลข้างต้นนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญ 70% สนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์ 85% อินดิเคเตอร์เทรนด์ 70% และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 เห็นด้วยว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นต่อไปในไม่กี่วันข้างหน้า และ EUR/USD จะขยับลดลง โดยมีแนวรับ ได้แก่ 1.1950, 1.1885, 1.1800 และ 1.1750 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้กำลังเปลี่ยนไป เมื่อปรับจากการคาดการณ์รายสัปดาห์เป็นรายเดือน ผู้เชี่ยวชาญ 60% คาดว่าในระยะยาวราคาน่าจะกลับมาสู่โซน 1.2200-1.2300 เป้าหมายคือระดับสูงสุดของเดือนมกราคมที่ 1.2350 โดยแนวต้านใกล้ที่สุด คือ 1.2175 สำหรับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราอาจจับตาดูสถิติตลาดผู้บริโภคในเยอรมนีและสหรัฐฯ ซึ่งจะประกาศในวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์

- GBP/USD ตลาดจะสามารถรักษาแนวโน้มกระทิงต่อเงินปอนด์อังกฤษต่อไปได้อีกระยะหนึ่งหรือไม่? นักวิเคราะห์ 65% เชื่อว่า อย่างน้อยคู่นี้จะประสบความสำเร็จสักระยะหนึ่ง โดยราคาจะตัดระดับแนวต้านที่ 1.3750 และขึ้นไปที่ 1.3800 และอาจขึ้นไปอีก 25-50 จุด ด้านการวิเคราะห์กราฟ ออสซิลเลเตอร์ 85% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บนกรอบ H4 และ D1 เห็นด้วยกับแนวโน้มดังกล่าวเช่นกัน
    อย่างไรก็ตาม ออสซิลเลเตอร์ 15% ให้สัญญาณอย่างชัดเจนว่าราคาอยู่ในโซน overbought
    ผู้เชี่ยวชาญที่เหลือ 35% มองว่าโซน 1.3700-1.3750 เป็นโซนอุปสรรคที่ไม่น่าฝ่าไปได้ โดยเมื่อราคาตัดผ่านแนวรับที่ 1.3700 จะต้องลงไปอีก 100 จุด และขยับลงมาที่โซน 1.3485-1.3500
    ในบรรดาเหตุการณ์ที่ควรให้ความสนใจ คือ คำแถลงของนายแอนดริว ไบเลย์ ประธานธนาคารแห่งชาติอังกฤษ ในวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ และการประกาศสถิติ GDP ในไตรมาสที่สี่ของปี 2020 ในวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์

- USD/JPY ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ D1 ออสซิลเลเตอร์ 75% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 80% คาดว่าราคาจะขยับขึ้นต่อไปอย่างน้อยจนถึงโซน 106.00-106.25 เป้าหมายถัดไป คือ 107.00 และแนวต้านใกล้ที่สุด คือ 105.75
    ส่วนนักวิเคราะห์ 30% ที่เหลือเชื่อว่า ราคาจะกลับมายังระดับที่ 104.00 และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 ทำนายว่า ราคาจะดิ่งลงยิ่งกว่า โดยลงมายังระดับต่ำสุดวันที่ 21 มกราคมที่ 103.30 แนวรับอยู่ที่ระดับ 104.75, 104.00 และ 103.50

- คริปโตเคอเรนซี อะไรดีและอะไรแย่
    แน่นอนว่าการสนับสนุนเงินคริปโตจากนักลงทุนรายสถาบันขนาดใหญ่เป็นเรื่องที่ดี โดยช่วยดันราคาบิทคอยน์ให้เติบโตขึ้นต่อไป แต่ด้วยเหตุที่ตลาดเงินคริปโตในขณะนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มเล็ก ๆ นี้มากกว่า และขึ้นอยู่กับท่าทีของรัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องที่แย่ และอาจทำให้ราคาทรุดลงมา ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการดิ่งลงของราคา BTC/USD เมื่อเดือนมกราคม ถึง 30%
    อย่างไรก็ดี ท่าทีของรัฐบาลไม่เพียงแค่จะส่งผลเป็นแรงกดดันต่อตลาดเงินคริปโตเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักดันอีกด้วย ในที่นี้ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ยืนยันถึงความพร้อมสำหรับมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจชุดใหม่เป็นเงินเกือบ $2 ล้านล้านดอลลาร์ และนี่เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน เพราะมีแนวโน้มเกือบ 100% ที่เงินบางส่วนจากนี้จะไหลเวียนเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์เงินดิจิทัล
    แล้วอย่างเทศกาลตรุษจีนนี้เป็นเรื่องดีหรือแย่? แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีสำหรับหลายคน เป็นวันหยุดสนุก ๆ ของขวัญ มีการจุดประทัด.. แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า ในช่วงเทศกาลนี้ มูลค่าของบิทคอยน์อาจดิ่งลดลงอีกครั้ง นอกจากนี้ ในกรณีนี้ ราคาของบิทคอยน์ยังได้รับแรงกดดันไม่เพียงจากธนาคารกลางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักลงทุนรายย่อยอีกด้วย ผู้ที่จะเริ่มโอนเงินคริปโตกลับเป็นเงินพันธบัตรเพื่อซื้อของขวัญเทศกาลปีใหม่
    ณ เวลานี้ ในจีนมีจำนวนผู้เป็นเจ้าของวอลเล็ตบิทคอยน์ที่มีเงินมากกว่า 10,000 อยู่เป็นจำนวนมาก ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทการลงทุน Stack Funds ชี้ว่า "เนื่องจากการเฉลิมฉลองวันตรุษจีนในจีนเป็นธรรมเนียมที่สำคัญ นักลงทุนรายย่อยจะเริ่มถอนเงินก่อนช่วงวันหยุดอย่างแน่นอน นอกจากนี้ กราฟในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ในช่วงก่อนวันหยุดนี้เองที่มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตลดลงไปมาก" เราไม่ต้องรออีกนานถึงจะได้รู้ว่าคำทำนายนี้จะเป็นจริงหรือไม่ เทศกาลตรุษจีนในจีนคือวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์นี้ และวันหยุดยาวนี้จะเริ่มตั้งแต่ 11-17 กุมภาพันธ์
    ตอนนี้มาถึง Ethereum อัลท์คอยน์ชั้นนำสกุลนี้ยังคงให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ โดยราคาขยับขึ้นมากว่า 130% นับตั้งแต่ต้นปี และเป็นการเติบโตถึง 448% ในปี 2020 แรงผลักดันสำคัญมาจากการคาดหวังการเปิดตัวสัญญาซื้อขายฟิวเจอร์สในตลาดหลักทรัพย์ชิคาโก (CME) ซึ่งมีกำหนดจะเริ่มขึ้นในวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์นี้
    การคาดการณ์ถึงเหตุการณ์นี้มีหลายมุมมอง ผู้ที่มองในแง่บวก (ซึ่งเป็นส่วนใหญ่) นึกถึงการเปิดตัวฟิวเจอร์สบิทคอยน์บนตลาด CME ทำให้ราคาตัดทะลุระดับ $20,000 เมื่อช่วงปลายปี 2017 กลุ่มผู้ที่มองในแง่ลบกล่าวว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูหนาวเงินคริปโตปี 2018 ดังนั้น คำถามว่าฟิวเจอร์สเป็นสิ่งที่ดีหรือแย่นั้นยังคงตอบไม่ได้
    ในเดือนธันวาคมปี 2020 เมื่อ BTC/USD ขยับถึงระดับสูงสุดก่อนหน้าที $20,000 และ ETH/USD ยังคงอยู่ห่างไกลจากระดับเดียวกันนั้น เราได้เน้นย้ำถึงศักยภาพการเติบโตของ Ethereum ในขณะนี้ สถานการณ์ที่คล้ายกันเริ่มเกิดขึ้นกับอีกเหรียญหนึ่งคือ Litecoin ซึ่งเราไม่เคยนึกถึงมาเป็นเวลานาน
    เหรียญสกุลนี้ปรากฏขึ้นในเดือนตุลาคมปี 2011 โดยกลายเป็นฟอร์กเหรียญเริ่มต้นของบิทคอยน์ จากมุมมองทางเทคนิคนั้นแทบจะเหมือนกันโดยสิ้นเชิง ราคาสูงสุดของ Litecoin อยู่ที่ $370 ซึ่งทำสถิติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปี 2017 จากนั้นฤดูหนาวเงินคริปโตก็มาเยือน และหนึ่งปีถัดมา ราคาเหรียญลดลงเหลือ $20 โดยเสียมูลค่าไปถึง 95% ในขณะนี้ ราคา LTC/USD อยู่ที่ระดับ $155 ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดมากกว่าสองเท่า อันนำไปสู่แนวโน้มการเติบโตได้ นอกจากนี้ Litecoin ยังแซงหน้าบิทคอยน์ในหลักเกณฑ์สำคัญบางประการ เช่น ความเร็วในการทำธุรกรรมที่รวดเร็วกว่าบิทคอยน์ถึงสี่เท่า



กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX



หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

https://th.nordfx.com
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 14, กุมภาพันธ์ 2021, 10:08:00 PM »
บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 15 - 19 กุมภาพันธ์ 2021


อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

- EUR/USD. หลายครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คำทำนายรายเดือนเป็นจริงเร็วกว่ารายสัปดาห์ และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เช่นกัน ในครั้งที่แล้วมีผู้เชี่ยวชาญเพียง 30% ที่คาดการณ์ว่า EUR/USD จะขยับขึ้นในรอบสัปดาห์ และเมื่อปรับเป็นรอบเดือน จำนวนผู้เห็นด้วยเพิ่มขึ้นเป็น 60%
    เราได้เริ่มพูดถึงความขัดแย้งในตัวเองของความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีหุ้นและดัชนีดอลลาร์ไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เมื่อภาวะโรคระบาดเริ่มขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ได้เกิดความสัมพันธ์แบบแปรผกผันขึ้นอย่างชัดเจนระหว่างสองดัชนีดังกล่าอันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) การปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วยเงินราคาถูก ดัชนีหุ้น S&P500, Dow Jones และ Nasdaq ขยับขึ้น และดัชนีดอลลาร์ DXY ขยับลง ซึ่งก็สมเหตุสมผลดี
    ตอนนี้มาถึงปี 2021 ทุกอย่างกลับตาลปัตร ท่ามกลางสถิติเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและการคาดหวัง "การอัดฉีด" เงินเข้าเศรษฐกิจเกือบ $2 ล้านล้านดอลลาร์ ระดับความเสี่ยงและดัชนีหุ้นยังคงเติบโตต่อเนื่อง แต่คู่ขนานกันนั้น ผลตอบแทนในระยะยาวของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ก็เติบโตขึ้นเช่นกัน
    แต่เรื่องน่าประหลาดใจไม่หยุดแค่นั้น อ้างอิงจากมาตรการกระตุ้นทางการคลังและการฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วในสหรัฐฯ ผู้เชี่ยวชาญจาก Wall Street Journal ปรับเพิ่มการคาดการณ์ตัวเลข GDP สหรัฐฯ ในปี 2021 ขึ้นจาก 4.3% เป็น 4.9% ในยุโรปกลับตรงกันข้ามกัน การฉีดวัคซีนมีความล่าช้ากว่ามาก ประเทศอียูแต่ละประเทศค่อย ๆ เพิ่มมาตรการต้านโควิดอย่างเข้มงวดมากขึ้นอีกครั้ง การล็อคดาวน์ยังดูไม่มีที่สิ้นสุด คณะมนตรียุโรปปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจยูโรโซนลงเหลือ 3.9% แต่ในขณะเดียวกัน เงินยูโรก็แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และดอลลาร์อ่อนค่าลง
    ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนโยบายธนาคารเฟดสหรัฐฯ ในระยะยาวที่ยังคงไม่ปรับลดโครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จนถึงปลายปี 2021 และจะไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ก่อนปี 2023 เหตุการณ์นี้ควรนำไปสู่ภาวะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไม่ใช่แค่เฉพาะกับอเมริกา แต่รวมถึงเศรษฐกิจโลก อีกทั้งด้านอียู นโยบายนี้ทำให้เงินยูโรกลายเป็นสกุลเงินที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนบางกลุ่ม โดยเฉพาะนักลงทุนชาวจีนซึ่งมีผลประโยชน์สูงในยุโรป และมีความต้องการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงสนับสนุนความต้องการถือเงินยูโรให้เพิ่มมากขึ้น
    ด้วยเหตุนี้ เมื่อคู่ EUR/USD เริ่มต้นสัปดาห์ที่ 1.2050 ก็ขยับขึ้นไป 100 ปิป ก่อนที่จะทำระดับสูงสุดรอบสัปดาห์ที่ 1.2150 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ ตามมาด้วยการปรับตัวของราคา และปิดตลาดที่ 1.2120

- GBP/USD สถิติมหภาคที่ประกาศออกมาดูค่อนข้างมีความขัดแย้ง เนื่องด้วยสถานการณ์ไวรัสโคโรนา เงินลงทุนถูกตัด และปัญหาเบร็กซิต GDP ของสหราชอาณาจักรจึงหดตัวลง 9.9% ซึ่งทำสถิติขาลงที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 300 ปี ในขณะเดียวกัน GDP รายเดือนและรายไตรมาสก็ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ การเติบโตของ GDP ใน Q4 ปี 2020 อยู่ที่ +1% ตัวเลขการผลิตทางอุตสาหกรรมต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ แต่ดุลการค้าก็ทำให้นักลงทุนพึงพอใจ
    นโยบายทางการเงินที่เข้มแข็งของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ อัตราดอกเบี้ยที่เป็นบวก และการเป็นประเทศแรกในยุโรปและประเทศที่สามในโลก (รองจากอิสราเอลและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูง ปัจจัยเหล่านี้ช่วยสนับสนุนเงินปอนด์ ในขณะที่กำลังเขียนบทรีวิวฉบับนี้ ประชากรของประเทศจำนวน 20% ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว (ตัวเลขของสหรัฐฯ อยู่ที่ 14.02%)
    ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (65%) ก็เข้าข้างกับเงินปอนด์อังกฤษ บทวิเคราะห์หลักสันนิษฐานว่า ราคาน่าจะไต่ขึ้นไปได้สำเร็จจนตัดผ่านระดับแนวต้านที่ 1.3750 ขึ้นไปถึง 1.3800 และอาจจะขึ้นไปอีก 25-50 จุด ซึ่งทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นจริง ราคาทำสถิติสูงสุดในรอบสัปดาห์ที่ 1.3865 และปิดตลาดสุดท้ายให้ GBP/USD อยู่ที่ 1.3850
   
- USD/JPY การเคลื่อนที่ของคู่นี้ในกรณีส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในญี่ปุ่นเป็นหลัก แต่เป็นเหตุการณ์ในสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนีหุ้น ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และการเคลื่อนที่ของดัชนีดอลลาร์ DXY ซึ่งทั้งหมดนี้มีความเคลื่อนไหวในสัปดาห์ที่แล้วเช่นกัน
    ดัชนี DXY ไต่ขึ้นมาที่ 91.21 ทำให้ USD/JPY ขยับขึ้นมาที่ 105.66 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ และเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ดัชนีดอลลาร์ปรับลดลงมาที่ 90.26 ตามมาอัตราแลกเปลี่ยนทำราคาต่ำสุดที่ 104.40 และวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ดัชนีขยับขึ้นมายังระดับ 90.71 และอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นไปอีกที่ 105.17 ก่อนที่จะปรับตัวลงมาเล็กน้อย เมื่อดัชนีขยับไปที่ 90.39 ราคาก็ขยับตามมาที่ 104.95 ดังนั้น หากใครต้องการที่จะลองใช้ดัชนี DXY เป็นดัชนีชี้นำสำหรับคู่นี้ ก็สามารถทดสอบดูได้
   
- คริปโตเคอเรนซี ในช่วงปลายปี 2020 Forbes ได้จัดทำรายชื่อผู้แทนจากธุรกิจแวดวงเงินคริปโตที่มีฐานะร่ำรวยที่สุด โดยมีเงินทุนมากกว่า $1 พันล้านดอลลาร์ สามอันดับแรกเป็นของ นายไบรอัน อาร์มสตรอง ซีอีโอของ Coinbase ที่ $6.5 พันล้านเหรียญ ถัดมาคือ แซม แบงค์แมน-ฟรีด ประธาน FTX ที่ $4.5 พันล้านดอลลาร์ และคริส ลาร์เซน ผู้ร่วมก่อตั้งเหรียญ Ripple ที่ $2.9 พันล้านดอลลาร์ โดยรวมแล้ว Forbes นับรวมได้เศรษฐีพันล้าน 11 คน แม้ว่าเมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มขาขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัลเมื่อช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตอนนี้อาจจะมีจำนวนมากกว่าเดิม นอกจากนี้ มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตยังเพิ่มขึ้นถึง 87% ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนครึ่งของปี 2021 จาก $776 พันล้าน เป็น $1,452 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    สัปดาห์ที่แล้วเป็นหนึ่งในสัปดาห์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของปีนี้ การทะยานขึ้นเริ่มต้นจากรายงานข่าวว่าบริษัท Tesla ซื้อบิทคอยน์จำนวน $1.5 พันล้านเหรียญ ในขณะเดียวกัน นายอีลอน มัสก์ ประธานบริษัทก็กล่าวว่าเขาวางแผนที่จะขายรถยนต์ยี่ห้อของตนเอง และรองรับเงินคริปโตในอนาคตอันใกล้ บิทคอยน์จึงขยับขึ้นมา 23% จากข่าวดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์
    แต่นี่ยังไม่จบแค่นั้น บริษัทชำระเงินระดับโลก MasterCard ได้ออกมาประกาศถึงแผนการที่จะให้ร้านค้าสามารถรับชำระเงินคริปโตเริ่มตั้งแต่ปลายปีนี้ ราคาบิทคอยน์จึงทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ $48,930 ในช่วงกลางวันของวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ โดยมูลค่ารวมของ BTC เพิ่มขึ้นเป็น $885 พันล้านเหรียญในขณะนี้ และมีมูลค่ารวมเกินปริมาณเงินสำรองของประเทศขนาดใหญ่อย่างรัสเซียเป็นครั้งแรก
    ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ขยับถึง 92 (อยู่ที่ 81 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว) และอยู่ในโซน overbought ในขณะเดียวกัน ดัชนีการครองตลาดของ BTC ก็ลดลงจาก 70.36% เหลือ 61.06% ตั้งแต่ต้นปี แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า ดัชนีนี้ไม่ได้แปลว่านักลงทุนมีความสนใจต่อบิทคอยน์น้อยลง แต่เป็นความสนใจต่ออัลท์คอยน์สกุลอื่น ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น
    ทางด้านตลาดหลักทรัพย์ชิคาโก (CME) ได้เริ่มเปิดตัวการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์ส Ethereum เมื่อวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ โดยมีอัตราการซื้อขายที่ $30 ล้านเหรียญดอลลาร์ในวันแรก โดยมีความสนใจตอนเปิดตัวที่ $20 ล้านเหรียญ ซึ่งแสดงถึงความสนใจที่มั่นคงในหมู่นักลงทุนของเหรียญนี้ มูลค่ารวมของ ETH เพิ่มขึ้น 32% ตั้งแต่ต้นปี และคิดเป็นเงินมากกว่า $203 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 12 กุมภาพันธ์
    อีกหนึ่งเหรียญอันดับต้น ๆ ที่เราให้ความสนใจในบทรีวิวฉบับที่แล้วคือ Litecoin ในช่วงเวลาสามเดือนที่ผ่านมา ฟิวเจอร์สำหรับ LTC เพิ่มขึ้นเป็น 285% เป็นเงิน $584 ล้านเหรียญ และแม้ว่าส่วนแบ่งของ Litecoin ในมูลค่ารวมของตลาดเงินคริปโตจะค่อนข้างเป็นสัดส่วนขนาดเล็ก (อันดับที่ 8 ที่ 0.85%) ตอนนี้กลับเป็นเหรียญที่ติดอันดับที่สามในกลุ่มอนุพันธ์ถัดจากบิทคอยน์และอีธีเรียม


สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

- EUR/USD ตลอดสัปดาห์หน้านี้จะเป็นช่วงการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนในประเทศจีน ซึ่งจะส่งผลสำคัญต่อปริมาณการเทรดในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้แปลว่าจะมีความผันผวนที่ลดลงหรือเป็นช่วงที่นิ่งสงบ อย่างไรก็ดีในตอนนี้นักลงทุนเหมือนอยู่ท่ามกลางสี่แยก หลังจากแนวโน้มขาขึ้นกำลังแรงในเดือนมกราคม ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ค่อย ๆ ขยับเข้าสู่ช่วงแข็งตัวและอยู่ในโซน overbought โดยไม่คาดว่าจะมีข่าวน่าประหลาดใจใด ๆ จากธนาคารเฟดในเร็ว ๆ นี้ และรายงานจากการประชุมของคณะกรรมาธิการตลาดเสรีในวันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ คาดว่าจะเป็นรายงานที่น่าเบื่อตามเคย ในวันเดียวกันนั้นจะมีการประกาศรายงานการประชุมของธนาคารกลางยุโรปเกี่ยวกับนโยบายทางการเงิน แต่ก็มีแนวโน้มสูงที่จะเต็มไปด้วยข้อความและวลีแบบปกติทั่วไป ดังนั้น ปัจจัยกระตุ้นสำคัญสำหรับคู่ EUR/USD จะเป็นข่าวเกี่ยวกับความสำเร็จในการต่อสู้กับไวรัส COVID-19 บนทั้งฝั่งสองฟากมหาสมุทรอีกครั้ง
    สำหรับผู้เชี่ยวชาญ 60% ประกอบกับการวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 และ D1 คาดว่า ราคาคู่นี้จะขยับลดลงอย่างน้อยมาที่ระดับแนวรับ 1.2050 ในกรณีที่ราคาตัดทะลุ เป้าหมายถัดไปสำหรับตลาดหมีจะเป็นระดับต่ำสุดของวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ 1.1950 แนวรับใกล้ที่สุดอยู่ในโซน 1.2100
    ในส่วนนักวิเคราะห์ 40% เห็นด้วยกับสถานการณ์ตรงกันข้าม อย่างไรก็ตาม เมื่อขยับจากคำทำนายรอบสัปดาห์มาเป็นรอบเดือน จำนวนผู้สนับสนุนตลาดกระทิงเพิ่มขึ้นเป็น 60% ในด้าน อินดิเคเตอร์เทรนด์ 85% ในกรอบ H4 และ D1 ก็ให้สัญญาณสีเขียวเช่นกัน แต่ผลการวิเคราะห์ออสซิลเลเตอร์จากทั้งสองกรอบเวลาไม่สามารถสรุปได้ เพราะมีทั้งสัญญาณสีแดง เขียว และเทา โดยมีแนวต้านใกล้ที่สุดอยู่ที่ 1.2150 เป้าหมายฝั่งกระทิงคือราคาน่าจะกลับมายังที่โซน 1.2200-1.2300 ในตอนต้น จากนั้นจะขึ้นไปทำระดับสูงสุดเดือนมกราคมที่ 1.2350
    สำหรับปฏิทินเศรษฐกิจของสัปดาห์นี้ นอกเหนือจากการประชุมของธนาคารเฟดและธนาคารกลางยุโรป เรายังจะรอติดตามสถิติ GDP ของยูโรโซนในวันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ และสถิติยอดขายปลีกในสหรัฐฯ ในวันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ (คาดการณ์ตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก -0.7% เป็น +0.7%) และในช่วงท้ายสัปดาห์ทำงาน ในวันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ จะมีการประกาศสถิติกิจกรรมทางธุรกิจ Markit ของเยอรมนีและอียู (คาดการณ์การเติบโตเช่นกันแม้จะไม่มากนัก)


- GBP/USD การเติบโตของ GDP รายไตรมาสที่ 1% หมายความว่า อังกฤษมีทุกโอกาสที่จะออกจากภาวะถดถอย อัตราการฉีดวัคซีนที่สูงยังมีส่วนสนับสนุนด้วยเช่นกัน (แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่) นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน วางแผนที่จะยุติมาตรการกักตัวในช่วงปลายเดือนนี้ หรือในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะช่วยให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
    ในระหว่างนี้ คะแนนเสียงของนักวิเคราะห์แบ่งเป็นกลุ่มดังนี้: เงินปอนด์ขยับถึงระดับสูงสุดในรอบ 34 เดือน และผู้เชี่ยวชาญ 45% เชื่อว่าจะถึงเวลาที่ราคาจะหยุดตัวและย้อนกลับลงมาเล็กน้อย คะแนน 20% โหวตว่าเทรนด์ขาขึ้นจะมีผลต่อไป ในขณะที่ 35% ที่เหลือมีท่าทีเป็นกลาง ส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% และออสซิลเลเตอร์ในกรอบ H4 และ D1 75% รวมกับการวิเคราะห์กราฟ H4 ชี้ไปทางทิศเหนือ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 1.3900 และ 1.3950 ส่วนออสซิลเลเตอร์ที่เหลือ 25% ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน overbought
    สำหรับการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 ชี้ถึงการรีบาวด์จากแนวต้านที่ 1.3850 และราคาลดลงจากแนวรับในตอนต้นที่โซน 1.3700 ลงมาที่ 1.3630 และ 1.3575
    สำหรับสถิติเศรษฐกิจ นักเทรดควรให้ความสนใจกับสถิติจากตลาดผู้บริโภคของสหราชอาณาจักร ซึ่งจะประกาศในวันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ และกิจกรรมทางธุรกิจในภาคบริการในวันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์นี้
   
- USD/JPY การวิเคราะห์กราฟ D1 ทำนายการเคลื่อนที่ของราคาคู่นี้ว่าจะคงอยู่ในกรอบตามระดับ Pivot Point ที่ 104.85 ในช่วงเดือนนี้ นอกจากนี้ ในตอนต้นราคาจะขยับไปยังด้านบนของกรอบที่ 105.75 และจากนั้นจะลงมายังด้านล่างของกรอบที่ 104.40 ในกรอบเวลา H4 สัญญาณออสซิลเลเตอร์ให้กรอบแคบกว่าที่ 104.85 ถึง 105.30
    นอกเหนือไปจากสัญญาณสีเขียว 75% จากอินดิเคเตอร์เทรนด์บนกรอบ D1 บทวิเคราะห์อินดิเคเตอร์และออสซิลเลเตอร์อื่น ๆ ยังคงดูน่าสับสน และยังยากที่จะให้ข้อสรุปความเห็นในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ เกือบเท่า ๆ กัน: 40% โหวตแนวโน้มขาขึ้น 30% โหวตขาลง และจำนวนที่เท่ากันเห็นด้วยว่าราคาจะขยับออกด้านข้าง
    ดัชนี GDP ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2020 ซึ่งคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะประกาศในวันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ อาจส่งผลต่อการก่อตัวของเทรนด์ในระยะสั้นของคู่ USD/JPY อยู่บ้าง โดยเฉพาะหากดัชนีดังกล่าวมีตัวเลขที่แตกต่างไปจาก +2.3% ตัวเลขที่คาดการณ์ไว้มาก

- คริปโตเคอเรนซี เราเคยเขียนเกี่ยวกับความพร้อมของบิทคอยน์ที่จะพุ่งขึ้นไปทำระดับ $50,000 เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว และราคาบิทคอยน์ก็ได้ขึ้นไปที่ $48,930 ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนว่าบทวิเคราะห์ดังกล่าวทำนายได้ถูกต้อง ซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ 80% ในการวิเคราะห์รายเดือน
    การเติบโตของบิทคอยน์และเหรียญสกุลอื่น ๆ ยิ่งฉุดตลาดเงินคริปโตทั้งตลาดขึ้นไป สมาชิกในตลาดกำลังจับตาติดตามตัวอย่างของ Tesla และ MasterCard และบริษัทบน S&P500 อื่น ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กให้ประกาศถึงความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Bank of New York Mellon ซึ่งเคยชี้แจงว่าจะอนุญาตให้สกุลเงินดิจิทัลผ่านเครือข่ายทางการเงินเดียวกันกับที่ใช้กับสินทรัพย์การเงินทั่วไป
    นายไมค์ โนโวกราตซ์ ผู้ก่อตั้งธนาคารคริปโต Galaxy Digital กล่าวว่า ทุกบริษัทในอเมริกาจะเดินตามรอยตัวอย่างของ Tesla ในเร็ว ๆ นี้ ในบทสัมภาษณ์กับ Bloomberg เขามองว่าเหตุการณ์นี้จะช่วยให้บิทคอยน์ทะยานขึ้นไป ยัง $100,000 ภายในสิ้นปีนี้
    ส่วนในระยะยาว คู่ BTC/USD อาจขยับขึ้นไปได้ถึง $600,000 อย่างน้อยนี่ก็เป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญของบริษัทการเงินและการลงทุน Guggenheim Partners นายสก็อต มิเนิร์ด ผู้อำนวยการด้านการลงทุนของบริษัทชี้ว่า ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับจำนวนเหรียญในโดเมนสาธารณะ "คริปโตเคอเรนซีสามารถมีมูลค่าที่สูงขึ้นได้อีกมาก จึงมีความเป็นไปได้ที่เรากำลังพูดถึงมูลค่าที่ 400,000 หรือแม้แต่ $600,000 ต่อเหรียญ... บิทคอยน์เคยไม่ได้รับการยอมรับในหมู่นักลงทุนรายสถาบัน แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว" นายมิเนิร์ดกล่าว
    ผู้เชี่ยวชาญรายนี้มองว่า ความกังวลเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของสินทรัพย์นี้ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงมีความเป็นไปได้ที่เรากำลังพูดถึงการเก็งกำไรที่มีส่วนเกี่ยวข้องจากนักลงทุนรายสถาบัน ซึ่งสามารถปั่นมูลค่าของเหรียญด้วยเงินทุนมหาศาล ณ ตอนนี้ บิทคอยน์อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เนื่องจากเมื่อผู้ฝากเงินรายใหญ่ออกตลาดไปจะนำไปสู่การกลับมาของเทรนด์ขาลง เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น กล่าวโดยประธาน Guggenheim Partners แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาไว้


กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX


หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

https://th.nordfx.com
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX

Re: การวิเคราะห์รายสัปดาห์และข่าวสารจาก NordFX บริษัท
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 19, กุมภาพันธ์ 2021, 03:45:42 PM »
[SIZE="5"]อินดิเคเตอร์เทรนด์ Forex: จุดหมาย ความสามารถ และความหลากหลาย[/SIZE]


การดูรูปแบบ ลักษณะซ้ำ ๆ และวัฏจักรในอดีต คือ หนึ่งในภารกิจหลักของนักเทรด นักเทรดบางคนใช้รูปแบบกราฟเพื่อมองหาภาพหรือรูปทรงเรขาคณิตต่าง ๆ บางคนศึกษาลักษณะการเคลื่อนที่ของราคา เช่น การเร่งตัว การย่อตัว และวิธีการใช้ประยุกต์กับรูปแบบกราฟ อย่างไรก็ตาม นักเทรดส่วนใหญ่นั้นนิยมใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการเทรดฟอเร็กซ์โดยใช้อินดิเคเตอร์ โดยอินดิเคเตอร์จะช่วยให้คุณทำนายตลาด ศึกษาลักษณะที่หลากหลายและใช้รูปทรงเหล่านี้ในการเทรดของคุณเอง แม้แต่นักเทรดผู้เริ่มต้นที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็สามารถวิเคราะห์ตลาดด้วยอินดิเคเตอร์ได้

หนึ่งในประเภทของบรรดาเครื่องมือที่มีความหลากหลายทั้งหมดนั้น เครื่องมือกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดก็คือ อินดิเคเตอร์แนวโน้มฟอเร็กซ์ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของรูปแบบการเคลื่อนที่ของราคาที่ง่าย ๆ เรียกว่าการเคลื่อนที่เป็นเทรนด์ แนวโน้มหรือเทรนด์นั้นคือการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไม่ว่าจะขึ้นหรือลง โดยมีการกำหนดคุณลักษณะสูงสุดหรือต่ำสุด โดยเกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลคำสั่งซื้อขายขนานใหญ่ในตลาดที่มีความไม่สมดุลกันระยะหนึ่งระหว่างฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย

สำหรับการหาเทรนด์นั้น คุณจะเปลี่ยนโอกาสความสำเร็จเพื่อให้เทรดเข้าตามทิศทางของตน เราจะมาอธิบายให้คุณทราบกันในบทความนี้ว่า อินดิเคเตอร์เทรนด์ฟอเร็กซ์นั้นใช้สำหรับอะไร และคุณควรให้ความสนใจกับอะไรเมื่อใช้อินดิเคเตอร์ และเครื่องมือเหล่านี้อยู่ตรงไหนในระบบการเทรด

วัตถุประสงค์และวิธีการใช้งานอินดิเคเตอร์เทรนด์

ตำราส่วนใหญ่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า เทรนด์คือพื้นฐานของการสร้างกลยุทธ์ คุณควรจะยึดตามทิศทางของเทรนด์และเปิดคำสั่งเทรดตามทิศทางนั้น ๆ นักเทรดต้องสามารถหาเทรนด์และเริ่มการเทรดในทิศทางนั้น ๆ ได้ แต่การหาเทรนด์ภายใต้เงื่อนไขเวลาที่จำกัดและหาอย่างไม่มีข้อผิดพลาดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ปัญหาก็คือคลื่นรบกวนในตลาด ซึ่งทำให้ภาพสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงนั้นดูไม่ชัดเจน อินดิเคเตอร์เทรนด์จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับสิ่งนี้ โดยขึ้นอยู่กับว่าใช้สูตรใดในการคิดค้น ค่าเฉลี่ยของราคา หรือวิธีอื่น ๆ ในการแสดงการเคลื่อนที่ของราคาโดยรวม เพื่อช่วยให้กำหนดทิศทางของธุรกรรมในอนาคต

บ่อยครั้งที่เราใช้อินดิเคเตอร์เพื่อเป็นตัวกรองในกลยุทธ์ เมื่อใดที่สัญญาณจากออสซิลเลเตอร์ตรงกันกับเทรนด์โดยรวม เช่น อาจเป็นการใช้ผสมผสานกันระหว่าง EMA และ Stochastic, RSI หรืออินดิเคเตอร์อื่น ๆ ที่เป็นตัวบอกกรอบและระดับราคา หากสัญญาณออกมาตรงกัน ก็จะควรเปิดคำสั่งเทรด และในกรณีที่ขัดกัน ก็จึงไม่ควรเทรด นอกเหนือจากตัวกรองแล้ว อินดิเคเตอร์ยังสามารถให้สัญญาณในการเข้าตลาดได้อีกด้วย ซึ่งอาจเป็นทั้งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในเทรนด์ระยะสั้นและยาว ในทางใดก็ทางหนึ่ง อินดิเคเตอร์ประเภทนี้สามารถเป็นแหล่งข้อมูลเพื่อเปิดตำแหน่งในอนาคตสำหรับนักเทรดได้

ในบางกรณี อินดิเคเตอร์เทรนด์ยังสามารถใช้ในการกำหนดค่า Stop Loss ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือการตั้งคำสั่ง Stop Order ภายใต้เส้น EMA ซึ่งเป็นเส้นอินดิเคเตอร์สำคัญที่นำมาใช้ในการจำกัดความเสี่ยง

อินดิเคเตอร์เทรนด์หลักสามชนิด

การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีชื่อเสียงระดับโลกในเรื่องความหลากหลายของเครื่องมือ ที่ผ่านมามีการคิดค้นพัฒนาเครื่องมือจำนวนมหาศาลทำให้คุณสามารถสร้างระบบการเทรดได้อย่างหลากหลาย อย่างที่ได้ระบุข้างต้น นักเทรดสามารถใช้เครื่องมือประเภทเทรนด์ชนิดไหนก็ได้เป็นพื้นฐาน และเสริมด้วยอินดิเคเตอร์ RSI หรือออสซิลเลเตอร์ชนิดอื่น ๆ แล้วคุณจะได้รับพื้นฐานที่สมดุลกันสำหรับการพัฒนากลยุทธ์ในการเทรด

อินดิเคเตอร์เทรนด์ในตลาดฟอเร็กซ์ 3 อันดับแรกสามารถแยกออกมาอย่างเห็นได้ชัดในบรรดาเครื่องมืออื่น ๆ ที่เทอร์มินอล MetaTrader ให้คุณได้ใช้งาน ซึ่งได้แก่ Moving Average, MACD, Bollinger Bands ที่ให้บริการในการตั้งค่ามาตรฐานในทุกเทอร์มินอลการเทรดในปัจจุบัน และถือว่าเป็นเครื่องมือมาตรฐานทั่วไป นอกจากนี้ โบรกเกอร์ NordFX อนุญาตให้คุณทำงานกับเครื่องมือเหล่านี้ผ่านเทอร์มินอล MT4 ซึ่งสามารถติดตั้งได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือของคุณ

รีวิว Moving Average

อินดิเคเตอร์ Moving Average (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่) คือ อินดิเคเตอร์เทรนด์แบบคลาสสิก ซึ่งเป็นการวาดเส้นราคาบนกราฟโดยเฉลี่ยมูลค่าราคาตามจำนวนแท่งเทียนที่กำหนด SMA ถือว่าเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะเหตุผลแรกนั้นเป็นการเฉลี่ยตัวเลขแบบคณิตศาสตร์ ง่ายในการคำนวณ และดังนั้นจึงเป็นเครื่องมือแรกที่คิดค้นขึ้นมา ประการที่สองก็คือ การดัดแปลงและอินดิเคเตอร์ชนิดอื่น ๆ นั้นสร้างขึ้นมาบนฐานของเครื่องมือนี้ ประการที่สามก็คือ นักเทรดสามารถใช้กลยุทธ์ใดก็ได้บนพื้นฐานของเครื่องมือนี้ (รูปที่ 1)



ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่มีหลายประเภท ได้แก่:

1. Simple moving average (SMA);
2. Exponential Moving Average (EMA);
3. Weighted moving average (WMA).

การเข้าใจความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เหล่านี้ในพริบตาแรกนั้นเป็นเรื่องยาก จริง ๆ แล้วมันมีข้อแตกต่างในวิธีการหาค่าเฉลี่ยของราคา ซึ่งส่งผลให้เกิดความแตกต่างในความอ่อนไหวและความล่าช้าของดัชนี ซึ่งค่าเฉลี่ยประเภทสุดท้ายนั้นเป็นตัวที่ล่าช้าที่สุดและมีคลื่นตลาดมากที่สุด ในขณะที่ EMA ในทางกลับกันนั้น เป็นประเภทที่รวดเร็วมากที่สุดและมักใช้งานบ่อยมากกว่าในทางปฏิบัติ

เส้นที่คุณเห็นบนกราฟของคุณสามารถให้สัญญาณดังนี้:

1. เส้นค่าเฉลี่ยตัดผ่านราคา
2. เส้นค่าเฉลี่ยตัดผ่านกันและกัน
3. ค่าเฉลี่ยที่ระยะเวลายาวนานกว่าทำหน้าที่เป็นเส้นแนวรับและแนวต้าน

เราอยากให้ความสนใจกับมุมความลาดเอียงและตำแหน่งของราคาเมื่อเทียบกับเส้นค่าเฉลี่ยอีกด้วย หากราคาอยู่เหนือเส้น เทรนด์ในปัจจุบันจะเป็นเทรนด์ขาขึ้น หากอยู่ต่ำกว่าเส้นก็จะเป็นเทรนด์ขาลง ทั้งนี้ อย่าลืมว่าในกลยุทธ์ต่าง ๆ นั้น Moving Average มักใช้ควบคู่กับออสซิลเลเตอร์แทบจะเสมอ เช่น Stochastic, RSI และอื่น ๆ ซึ่งช่วยในการกำหนดจุดเริ่มต้น ความต่อเนื่อง หรือจุดสิ้นสุดของเทรนด์ปัจจุบัน

ตัวอย่างง่าย ๆ ด้านล่างนี้บ่งบอกว่าอินดิเคเตอร์ Stochastic ได้ออกจากโซนที่มีแรงซื้อมากเกินไป (overbought) และยืนยันเทรนด์ขาลงใน SMA พร้อมสั่งให้เปิดคำสั่งขาย ดังในรูปที่ 2 ด้านล่าง:



ภาพรวม MACD

อินดิเคเตอร์ชนิดนี้บางครั้งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นออสซิลเลเตอร์ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะตัวนี้ทำงานบนพื้นฐานของการเฉลี่ยราคา อัลกอริทึมของ MACD อยู่บนฐานของการเบนเข้าและเบนออกระหว่างเส้น Moving Averages สองเส้น และกราฟแท่งที่แสดงระยะห่างระหว่างเส้นทั้งสอง ดังนั้น MACD ไม่เหมือนกับ Stochastic หรือ RSI ไม่ใช่ออสซิลเลเตอร์ที่บอกโมเมนตัม แต่เป็นอินดิเคเตอร์เทรนด์แบบคลาสสิก (รูปที่ 3)



ในบรรดาสัญญาณจำนวนมหาศาลนั้น เราสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ในระยะสั้นและระยะกลาง และหาสัญญาณเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์โดยรวมได้ โดยเครื่องมือที่ทรงพลังก็คือ  divergence ซึ่งได้กลายเป็นสัญญาณที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในบรรดาอินดิเคเตอร์ฟอเร็กซ์จำนวนมาก

Divergence คือ ประเภทของสัญญาณที่ย้อนกลับ โดยก่อตัวขึ้นเนื่องจากการไม่สอดคล้องกันระหว่างระดับสูงสุดหรือต่ำสุดของเครื่องมือกับราคาจริง กล่าวง่าย ๆ ก็คือ หากช่วงโค้งของราคายังคงขยับลง แต่อินดิเคเตอร์กลับตัวขึ้นมา นี่จะเป็นสัญญาณชัดเจนว่า การกลับตัวของเทรนด์อาจปรากฏขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ดังนั้น  MACD เหมือนกันกับอินดิเคเตอร์การกลับตัวอื่น ๆ คือมีความสามารถในการให้สัญญาณเตือนการเคลื่อนที่ของราคาที่มีการเปลี่ยนทิศทาง ตัวอย่างแสดงในรูปที่ 4:



คุณจะเห็นการเคลื่อนที่ทั้งสองฝั่งด้านบนและล่างระดับ 0.00 บนกราฟฮิสโตแกรม เมื่อกราฟตัดผ่านเส้นศูนย์นี้ เทรนด์โดยภาพรวมจะเปลี่ยนแปลง ชัดเจนว่าเมื่อมีการตัดผ่านกันจากล่างขึ้นบน เทรนด์จะเปลี่ยนจะเทรนด์ขาลงเป็นเทรนด์ขาขึ้น ดังนั้น เมื่อมีการตัดผ่านในทางกลับกัน เทรนด์จะเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง

นอกจากนี้ กราฟแท่ง MACD ยังมีปฏิสัมพันธ์กับเส้นสัญญาณประสีแดง การตัดกันระหว่างเส้นและกราฟนี้ให้สัญญาณการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นของการเคลื่อนที่ของราคา และช่วยกำหนดจังหวะในการเปิดคำสั่งเพื่อซื้อหรือขาย (รูปที่ 5)



นักเทรดฟอเร็กซ์บางคนใช้อินดิเคเตอร์นี้ร่วมกับทั้งเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ และใช้เพียงตัวเดียว สิ่งนี้อธิบายโดยจุดแข็งและความแม่นยำของสัญญาณ MACD โดยเฉพาะหากเกิดสัญญาณ divergence ปรากฏบนกราฟ

รีวิว Bollinger Bands

Bollinger Bands เป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์เทรนด์ฟอเร็กซ์สามอันดับแรก ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ธรรมดา และสร้างกรอบราคาตารมระยะห่างของค่าเฉลี่ย น่าสนใจที่เครื่องมือชนิดนี้สามารถใช้ในการหาและให้ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางของเทรนด์ให้กับนักเทรด รวมถึงความผันผวนในตลาด และสัญญาณการดีดกลับจากกรอบราคา (รูปที่ 6)



Bollinger Bands แสดงถึงความแรงและโอกาสที่เกิดเทรนด์ในช่วงนั้น ๆ เมื่อกรอบแคบลง เทรนด์จะเริ่มเรียบลงหรือเป็นช่วงเวลาสะสมตัวหรือพักตัว ในทางกลับกัน การขยายตัวของกรอบนั้นแสดงถึงความผันผวนและกิจกรรมของเทรนด์ที่เพิ่มขึ้น การซื้อขายนั้นอาจอาศัยการดูเส้นอินดิเคเตอร์และราคา ซึ่งจะดีดกลับมาในช่องของกรอบ ตัดทะลุกรอบ หรือทดสอบกรอบ สิ่งนี้เปิดโอกาสให้คุณเทรดได้ทั้งการตัดทะลุ หรือการดีดกลับจากกรอบราคา ทั้งสองวิธีนั้นล้วนถูกต้อง ในรูปที่ 7 นี้เป็นตัวอย่างการทำงานของอินดิเคเตอร์ Relative Strength Index เมื่อใช้ทำงานคู่กับ Bollingers Band ที่ดีดกลับจากกรอบราคา:



จุดแข็งและจุดอ่อน

จุดแข็งของอินดิเคเตอร์เทรนด์คือ ความสามารถในการลบความผันผวนเล็ก ๆ น้อย ๆ ออกไปและหาเทรนด์การเคลื่อนที่หลัก เครื่องมือเทรนด์เกือบทั้งหมดใช้อัลกอริทึมการหาค่าเฉลี่ยเพื่อต่อสู้กับคลื่นรบกวนในตลาด ในทางหนึ่ง เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณเป็นอิสระจากคลื่นรบกวน ให้ภาพตลาดที่ชัดเจนมากขึ้น และเข้าใจง่ายขึ้น ในอีกทางหนึ่ง ภาพที่ได้นั้นเป็นสัญญาณที่ดีเลย์ นอกจากนี้ ยิ่งอินดิเคเตอร์ตัดคลื่นรบกวนไปมากเท่าใด สัญญาณจะยิ่งดีเลย์มากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ควรคำนึงด้วยว่า สัญญาณเช่น divergence ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้น การพลาดสัญญาณหนึ่งครั้ง คุณจะต้องรออีกนานจนกว่าสัญญาณครั้งถัดไปจะปรากฏขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเทรดในกรอบเวลาที่ยาวนานกว่า

อย่างไรก็ตาม ประโยชน์และประสิทธิภาพของอินดิเคเตอร์เทรนด์ฟอเร็กซ์นั้นยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้เราเข้าใจทิศทางราคาได้อย่างไม่ผิดพลาด สามารถใช้เป็นพื้นฐานกลยุทธ์การเทรดคุณภาพสูง และนำพาผลกำไรที่มั่นคงให้ทั้งในการเทรดด้วยตัวเองและการเทรดแบบอัตโนมัติโดยใช้หุ่นยนต์ช่วยเทรด


Notice: These materials should not be deemed a recommendation for investment or guidance for working on financial markets: they are for informative purposes only. Trading on financial markets is risky and can lead to a loss of money deposited.

#eurusd #gbpusd #usdjpy #btcusd #ethusd #ltcusd #xrpusd #forex #forex_example #signals #cryptocurrencies #bitcoin #stock_market

https://th.nordfx.com/
ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ บริษัท NordFX