กองทุน SPDR Gold Shares

ประจำวันที่

เวลา ครั้งที่ ก่อนหน้า ถือล่าสุด เปลี่ยนแปลง
- - - - -
รวมวันนี้-
เดือนนี้ - : 
ปีนี้  : 
*หน่วยตัน
*อ้างอิงจาก SPDR Gold Share

ราคาทองตามประกาศสมาคมค้าทองคำ

ประจำวันที่ ครั้งที่ เวลา น.

ชนิดทองคำ รับซื้อ ขายออก
ทองคำแท่ง 96.5% - -
ทองรูปพรรณ 96.5% - -
รวมวันนี้-
เปลี่ยนแปลงล่าสุด-
*หน่วยเงินบาท
*ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ

✅⭐⭐แผนการเทรด EUR/USD ศุกร์ 27 พฤศจิกายน 2563 ลงมารับพี่หน่อยค่อยบินไป🛸🛸🛸

  • 51 replies
  • 12,639 views
*

admin

  • 84,261
อ้างจาก: tstcfdgk ที่ 27, พฤศจิกายน  2020, 10:23:59 PM
อ้างจาก: Lil Mayfly ที่ 27, พฤศจิกายน  2020, 09:40:54 PM
อ้างจาก: tstcfdgk ที่ 27, พฤศจิกายน  2020, 08:53:12 PM
Eu ก็ดื้อจังอ่ะ

บินหนีไปแล้วววววว... xc8* xc8*

มันรอให้ผมเปิดบายอยู่ พอบายปุ๊บ ลงแน่นอน
**6004**

ผมว่า Signal สวนเทรน ของ ผมสงสัยจะไม่รอดล่ะครับ โถ ไม่น่าห้าวเลยวันนี้
:1: :1: :1:
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"

*

PoNgPk

  • 6,490
(Nov 27) วิเคราะห์: ภารกิจที่รออยู่ของ "เจเน็ต เยลเลน" ว่าที่ขุนคลังหญิงคนเเรกของสหรัฐฯ - นางเจเน็ต เยลเลน ผู้ที่ได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯคนต่อไป ภายใต้รัฐบาลของว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีประวัติการทำงานทั้งงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลในอดีตและด้านนโยบายการเงินของระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (Federal Reserve)

เจเน็ต เยลเลน วัย 74 ปีในฐานะอดีตประธานเฟดและอดีตประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจยุคอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน กำลังเผชิญกับภารกิจสำคัญภายใต้รัฐบาลโจ ไบเดน ขณะที่เศรษฐกิจอเมริกันกำลังถูกรุมเร้าโดยผลกระทบจากการระบาดของโคโรนาไวรัส

หากได้รับอนุมัติในขั้นตอนกลั่นกรองของสภา เธอจะกลายเป็นสตรีคนเเรกที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ

ในฐานะรัฐนตรีคลังงานส่วนหนึ่งจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยการเมืองและกระบวนการต่างๆ ที่ต้องทำงานกับสมาชิกสภาคองเกรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ขณะนี้เกิดความเห็นที่ไม่ลงรอยกันระหว่างฝ่ายการเมืองของพรรคเดโมเเครตและรีพับลิกัน

สำหรับงานสำคัญในอดีตของเธอที่คล้ายกับงานใหญ่ตรงหน้า นางเยลเลน เคยสนับสนุนมาตรการที่ช่วยคำ้จุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายหลังวิกฤตเมื่อปี ค.ศ. 2008 ซึ่งในตอนนั้นเฟดดำเนินมาตรการมูลค่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อพยุงเศรษฐกิจ

คาดว่าเธอมีความคิดที่สอดคล้องกับว่าที่ประธานาธิบดีไบเดน ที่ต้องการเห็นการออกความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจต่อเจ้าของกิจการขนาดเล็ก เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องล้มละลาย

เธอจะต้องรับไม้ต่อจากรัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน นายสตีฟ มนูชิน ที่มีความสัมพันธ์ค่อนข้างตึงเครียดกับประธานเฟด คนปัจจุบัน นายเจอโรม พาวเวลล์

กล่าวคือ รัฐมนตรีมนูชิน ภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์​ทรัมป์​ตัดสินให้ยกเลิกโครงการให้เงินกู้ฉุกเฉิน ที่อยู่ในการบริหารของเฟด ซึ่งการตัดสินใจของนายมนูชิน ทำให้นายพาวเลล์แสดงความเห็นคัดค้าน

นางเจเน็ต เยลเลนเองถือว่าเป็นผู้เจนจัดในวงการนยบายเศรษฐกิจอเมริกันมานานหลายสิบปี

เธอเป็นสมาชิกของคณะกรรมการเฟด ที่ประกอบด้วยผู้ว่าการธนาคารกลางภูมิภาคต่างๆ ช่วงปี ค.ศ. 1994 ถึง ค.ศ. 1997 ภายใต้การนำของ นายอลัน กรีนสแปน ประธานเฟดในยุคนั้น

หลังจากนั้น นางเยลเลน รับตำแหน่งทางการเมืองสมัยอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ซึ่งมอบหมายให้เธอทำหน้าสำคัญเรื่องการให้คำปรึกษาด้านนโยบาย จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2004 เธอหวนกลับมาทำงานด้านนโยบายการเงินให้กับเฟด ในตำแหน่งซีอีโอและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารกลางเขตซานฟรานซิสโก

เมื่อประธานาธิบดีบารัค โอบามาดำรงตำแหน่งผู้บริหารประเทศ เขาแต่งตั้งให้นางเยลเลน เป็นประธานเฟด ช่วงปี ค.ศ. 2014 ถึง ค.ศ. 2018 ถือเป็นจุดสูงสุดในเส้นทางอาชีพของเธอ

ในปีเเรกที่เธอดำรงตำแหน่งประธานเฟด สหรัฐฯเข้าสู่ปีที่ 6 หลังวิกฤตเศรษฐกิจ นางเยลเลนต้องรักษาสมดุลระหว่างการช่วยพยุงเศรษฐกิจและการควบคุมไม่ให้เกิดเงินเฟ้อ

นางเยลเลนจึงค่อยๆ ขึ้นอัตราดอกเบี้ย เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2015 ซึ่งก่อนหน้านี้ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ อยู่ใกล้ระดับศูนย์เปอร์เซนต์มาหลายปี เธอยังค่อยๆ ให้เฟดขายสินทรัพย์ที่เคยรับซื้อไว้เพื่อพยุงเศรษฐกิจก่อนหน้านี้

ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเธอมองว่านางเยลเลนผ่อนคลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช้าเกินไป และนักวิจารณ์มองว่าเเนวทางของเธออาจทำให้เกิดเงินเฟ้อได้

อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ มิได้เผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ และเมื่อนางเยลเลนหมดหน้าที่จากเฟดเมื่อ 2 ปีก่อน อัตราคนว่างงานของสหรัฐฯอยู่ที่ร้อยละ 4.1 ซึ่งถือว่าตำ่สุดในรอบเกือบ 20 ปี

สำหรับประวัติส่วนตัวและประวัติการศึกษา เจเน็ต เยลเลนเติบโตที่เขตบรูคลิน ของนครนิวยอร์ก เธอมีผลการเรียนเป็นที่หนึ่งของโรงเรียนรัฐในชั้นมัธยมปลาย ก่อนที่จะเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยบราวน์ และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเยล

เธอยังเคยเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเเคลิฟอร์เนียวิทยาเขตเบิร์คลีย์​ และมหาวิทยาลัย London School of Economics

นางเยลเลนสมรสกับ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ เจ้าของรางวัลโนเบล นายจอร์จ เอเคอร์ลอฟ โดยเขาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในกรุงวอชิงตัน

Source: VOA Thai
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,490
อังกฤษ-อียูเตรียมเจรจาการค้าอีกรอบวันเสาร์ หลังระงับเพราะมีจนท.ติดโควิด

นายเดวิด ฟรอสต์ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะเจรจาของอังกฤษ เปิดเผยผ่านทางทวิตเตอร์ว่า อังกฤษและสหภาพยุโรป (EU) จะกลับมาเจรจาแบบตัวต่อตัวอีกครั้งในวันเสาร์ (28 พ.ย.) ที่กรุงลอนดอน

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลัง EU และอังกฤษได้เปิดฉากการเจรจาครั้งล่าสุดที่กรุงบรัสเซลส์ของเบลเยี่ยมเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนที่จะระงับการเจรจาข้อตกลงการค้าชั่วคราว หลังจากพบว่าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของ EU ติดเชื้อโควิด-19



มิเชล บาร์นิเยร์ หัวหน้าผู้แทนการเจรจาฝ่าย EU ระบุผ่านทวิตเตอร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ทั้งสองฝ่ายได้กลับมาเจรจากันอีกครั้งในระบบออนไลน์ แต่ก็ยังคงมีข้อคิดเห็นที่แตกต่างกันทางด้านพื้นฐาน

นักลงทุนจับตาการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษและ EU ก่อนที่ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของอังกฤษในการแยกตัวออกจาก EU จะสิ้นสุดลงในปลายปีนี้ ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายประสบความล้มเหลวในการเจรจา อังกฤษก็จะแยกตัวออกจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง (no-deal Brexit)


--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กนิษฐ์นุช สิริสุทธิ์
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,490
(Nov 28) นักเศรษฐศาสตร์คาด Xi Jinping กังวลการขึ้นเป็นประธานาธิบดีของ Biden มากกว่า Trump : Jim O'Neill นักเศรษฐศาสตร์ให้สัมภาษณ์ CNBC คาดการณ์ว่า Xi Jinping น่าจะกังวลการขึ้นเป็นประธานาธิบดีของ Biden มากกว่า Trump เสียอีก แม้ Donald Trump อาจจะดูแข็งกร้าว บุ่มบ่าม ทวีตข้อความชวนสร้างปัญหาให้กับจีนหลายต่อหลายครั้ง แต่ Trump ก็ทำโดยลำพัง (unilateralism) ไม่ได้หาพรรคพวกมาร่วมกระทำด้วย

แต่การขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของ Joe Biden น่าจะสร้างปัญหาให้กับ Xi Jinping ผู้นำจีนไม่มากก็น้อย เพราะความแตกต่างที่โดดเด่นระหว่าง Biden และ Trump ที่เห็นได้ชัดเจนคือ Trump กระทำการฝ่ายเดียวลำพัง ขณะที่ Joe Biden เน้นความร่วมมือเป็นหมู่คณะ เน้นหารือในกรอบพหุภาคี (Multilateralism) ผลที่จะตามมาก็คือ เมื่อเกิดความตกลงใดๆ ก็มีความเป็นไปได้ที่ Joe Biden จะผลักดันเรื่องดังกล่าวเข้าสู่เวทีเจรจาหลายฝ่าย นั่นหมายความว่า อาจจะเป็นวิธีที่จะใช้ดีลกับจีนด้วยและสามารถกดดันจีนได้ไปพร้อมๆ กัน

ตัวอย่างเช่น ถ้ายุโรปมีข้อพิพาททางการค้ากับจีน อาจจะใช้สถาบันหรือองค์การระหว่างประเทศมาดีล ไม่ว่าจะเป็นองค์การการค้าโลก (WTO) หรือ G-20 เป็นต้น แต่ถ้าเป็นการบริหารภายใต้การนำของ Biden อาจจะผลักดันให้เกิดความตกลงบนโต๊ะเจรจาภาคีหลายฝ่าย ที่อาจจะทำให้จีนดีลกับรัฐภาคีด้วยยากมากยิ่งขึ้น

O'Neill อดีตหัวหน้าเศรษฐศาสตร์แห่ง Goldman Sachs และปัจจุบันเป็นประธานสถาบัน think tank ของอังกฤษ Chatam House ระบุว่า จีนน่าจะกังวลการขึ้นมาบริหารประเทศของ Biden มากกว่าสมัย Trump และเป็นไปได้ว่า Biden และทีมบริหารน่าจะใช้เวทีระหว่างประเทศนี้จัดการจีน ไม่ว่าจะผ่านองค์การอนามัยโลก (WHO), G-20 หรือองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ ร่วมด้วย

นอกจากนี้ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของ Xi Jinping ก็คือการแฝงข้อความผ่านการแสดงความยินดีกับการได้รับตำแหน่งผู้นำประเทศของ Joe Biden โดยย้ำว่า ทั้งสองประเทศจะยึดเรื่องไม่ขัดแย้ง ไม่เผชิญหน้ากัน เคารพซึ่งกันและกันต่อไป ซึ่งก่อนหน้าจะแสดงความยินดี จีนก็พยายามแสดงจุดยืนไม่ให้ประเทศอื่นแทรกแซงกิจการภายในมาโดยตลอด

โดย  Parichat Chk

Source: Brandinside
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,490
โควิดในพม่าระบาดหนัก พบผู้ติดเชื้อ #โควิด19 รายใหม่ใน 24 ชั่วโมงอีกกว่า 1,400 ราย ส่งผลยอดสะสมผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่งเกิน 86,000 รายแล้ว #ข่าวต่างประเทศ #ไทยรัฐออนไลน์
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,490
(Nov 29) รัฐบาลสหราชอาณาจักรเริ่มตรวจสอบวัคซีน Covid-19 ของบริษัท AstraZeneca ก่อนพิจารณาอนุญาตให้นำไปใช้งานได้จริง ปัจจุบันสหราชอาณาจักรมีข้อตกลงเพื่อจัดซื้อวัคซีน Covid-19 ทั้งหมดประมาณ 355 ล้านโดส จาก 7 บริษัทผู้ผลิตวัคซีนทั่วโลก ซึ่งคาดว่า 4 ล้านโดส จะสามารถใช้ได้จริงก่อนสิ้นปี 2020::

รัฐบาลสหราชอาณาจักรกำหนดให้หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุขเริ่มทำการตรวจสอบวัคซีน Covid-19 ของบริษัท AstraZeneca เพื่อที่จะอนุญาตให้สามารถนำไปใช้งานได้จริง ซึ่งถือว่านำหน้าทางสหภาพยุโรป โดยปกติแล้ววัคซีนที่จะสามารถใช้งานในสหราชอาณาจักรได้ จำเป็นจะต้องได้รับการอนุญาตจาก European Medicines Agency (EMA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลของสหภาพยุโรป แต่เนื่องจากขณะนี้สหราชอาณาจักรกำลังจะสิ้นสุดการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างสมบูรณ์ ณ สิ้นปี 2020 นาย Matt Hancock จึงได้ใช้ข้อกำหนดพิเศษ เพื่อให้อำนาจแก่หน่วยงานกำกับดูแลของสหราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวในการตรวจสอบและอนุญาตให้วัคซีนสามารถนำมาใช้งานได้จริง หากวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน เพื่อให้วัคซีนสามารถนำไปใช้งานได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด

ในเบื้องต้น ข้อมูลผลการทดสอบวัคซีน Covid-19 ซึ่งผลิตโดยบริษัท AstraZeneca ที่ได้ทำการพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัย Oxford สามารถรักษาผู้ติดเชื้อไวรัส Coivd-19 ได้ประมาณร้อยละ 70 ของผู้เข้ารับการทดสอบ โดยบริษัท AstraZeneca ยังคงต้องทำการทดสอบเพิ่มเติม เพื่อประเมินถึงประสิทธิภาพของวัคซีนต่อไป โดยขั้นต่อไปจะมีการทดสอบกับผู้ติดเชื้อทั่วโลก ทั้งนี้ ปัจจุบันสหราชอาณาจักรมีข้อตกลงเพื่อจัดซื้อวัคซีน Covid-19 ทั้งหมดประมาณ 355 ล้านโดส จาก 7 บริษัทผู้ผลิตวัคซีนทั่วโลก ได้แก่ 1) AstraZeneca และ Oxford 100 ล้านโดส ซึ่งคาดว่า 4 ล้านโดส จะสามารถใช้งานได้ก่อนสิ้นปี 2020 2) GlaxoSmithKline และ Sanofi Pasteur 60 ล้านโดส 3) Novavax 60 ล้านโดส 4) Valneva 60 ล้านโดส 5) BioNtech และ Pfizer 60 ล้านโดส 6) Janssen 30 ล้านโดส และ 7) Moderna 5 ล้านโดส

นาง Nicola Sturgeon - First Minister ของสกอตแลนด์ ประสงค์จะจัดให้มีการลงประชามติ Second independence referendum ในปี 2021 ซึ่งโพลโดย Ipsos เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่าประชาชนสกอตแลนด์ภายใต้กลุ่มผู้ถูกสำรวจร้อยละ 58 เห็นควรให้สกอตแลนด์เป็นเอกราชจากสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม การจัดลงประชามติ Independence referendum ขึ้นใหม่อีกครั้ง จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลสหราชอาณาจักรเสียก่อน:

นาง Nicola Sturgeon - First Minister ของสกอตแลนด์ กล่าวว่า ตนมีความประสงค์จะจัดให้มีการลงประชามติ Second independence referendum ในปี 2021 พร้อมทั้ง เห็นว่าควรจะนำประเด็นเรื่อง Second independence referendum มาหารือเป็นวาระต้นๆ ในการประชุมรัฐสภาสกอตแลนด์ครั้งถัดไป ซึ่งกำหนดจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 2021

สกอตแลนด์เคยจัดให้มีการลงประชามติ Independence referendum ไปเมื่อปี 2014 โดยในครั้งนั้นมีประชาชนลงคะแนนสนับสนุนให้สกอตแลนด์เป็นเอกราชจากสหราชอาณาจักรจำนวนร้อยละ 45 ขณะที่ประชาชนประมาณร้อยละ 55 เห็นว่าสกอตแลนด์ควรเป็นสมาชิกสหราชอาณาจักรต่อไป อย่างไรก็ตาม มีการจัดทำโพลโดย Ipsos เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า ประชาชนสกอตแลนด์ภายใต้กลุ่มผู้ถูกสำรวจร้อยละ 58 เห็นควรให้สกอตแลนด์เป็นเอกราชจากสหราชอาณาจักร

ทั้งนี้ หากต้องการจะจัดให้มีการลงประชามติ Independence referendum ขึ้นใหม่อีกครั้ง รัฐบาลสกอตแลนด์จำเป็นที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทางรัฐบาลสหราชอาณาจักรเสียก่อน ซึ่งปัจจุบันนาย Boris Johnson นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร เห็นว่าควรที่จะเคารพต่อผลการลงประชามติ Independence referendum เมื่อปี 2014 และยังไม่เห็นว่าควรจะมีการจัดลงประชามติครั้งใหม่

Source: BOTSS
TRADE RIDER

*

admin

  • 84,261
น้อง EU พรุ่งนี้ลงมารับหน่อยน้า อย่าพึ่งบิน
)2: )2: )2:
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"

 

XM Global Limited