กองทุน SPDR Gold Shares

ประจำวันที่

เวลา ครั้งที่ ก่อนหน้า ถือล่าสุด เปลี่ยนแปลง
- - - - -
รวมวันนี้-
เดือนนี้ - : 
ปีนี้  : 
*หน่วยตัน
*อ้างอิงจาก SPDR Gold Share

ราคาทองตามประกาศสมาคมค้าทองคำ

ประจำวันที่ ครั้งที่ เวลา น.

ชนิดทองคำ รับซื้อ ขายออก
ทองคำแท่ง 96.5% - -
ทองรูปพรรณ 96.5% - -
รวมวันนี้-
เปลี่ยนแปลงล่าสุด-
*หน่วยเงินบาท
*ราคาอ้างอิงล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ

🍎🍓🍎 วิเคราะห์ กราฟ EUR/USD จันทร์ 26 ตุลาคม 2563 จุดวัดใจจะไปทางไหนรอคำตอบ🐧🐧🐧

  • 59 replies
  • 13,487 views
*

admin

  • 84,265
อ้างจาก: TwoP ที่ 26, ตุลาคม  2020, 09:10:07 PM
เอ๋า พี่ทองกะลังลงสวยๆเลย ไหงเปิดมาอีกทีดีดเลยป้ายไปอีกรอบแล้ว ฮ่วย!

กำลังมา แล้ว ครับ หวังว่าจะโค้งลงนะ
Thor 3** Thor 3**
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"

*

admin

  • 84,265
ต้องให้ EU กับทองดู GU เป็นตัวอย่างไหล ปานสายน้ำ
spy/*/ spy/*/
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"

*

PoNgPk

  • 6,490
(Oct 26) นักเศรษฐศาสตร์อัดทรัมป์ 'เห็นแก่ตัว-เลินเล่อ' : นักเศรษฐศาสตร์เกือบ 700 คน ซึ่งรวมถึงเจ้าของรางวัลโนเบล 7 คน  เตือนอเมรกันชนอย่าเลือกทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาว ชี้อดีตพิธีกรเรยลิตี้โชว์ผู้นี้ทั้งย่ำยีประชาธิปไตย รับมือโรคระบาดเละเทะ
แถมเผยแพร่เฟกนิวส์สุดอันตราย ขณะที่เมื่อปลายเดือนที่แล้ว
         
นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล 13 คนประกาศจุดยืนหนุนไบเดน เชื่อมาตรการรับมือโควดที่อิงกับหลักการทางวทยาศาสตร์จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วกว่าและแข็งแกร่งกว่านโยบายของคณะบรหารชุดปัจจุบัน
         
จดหมายเปิดผนึกของนักเศรษฐศาสตร์เกือบ 700 คนเหล่านี้ที่ซีเอ็นเอ็น บิสิเนสรายงานเมื่อวันพฤหัสฯ (22) ระบุว่า แค่สมัยเดียว โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ทำให้อเมริกาเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้
         
"ดังนั้น เราจึงอยากแนะนำให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงทวงคืนประชาธิปไตยด้วยการโหวตทรัมป์ออกจากตำแหน่ง"
         
จดหมายฉบับนี้มีนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากสถาบันที่เป็นที่นับหน้าถือตามากมายร่วมลงชื่อ ซึ่งรวมถึงผู้ชนะรางวัลโนเบล 7 คน อาทิ พอล มิลกรอม (2020) โอลิเวอร์ ฮาร์ต (2016) และจอร์จ อาเคอร์ลอฟ สามีของเจเน็ต เยลเลน อดีตประธานผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
         
อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเมื่อปี 2016 นักเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 790 คนเคยทำจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องอเมริกันชนอย่าเลือกทรัมป์ที่ละเลยหลักการทางเศรษฐศาสตร์และไม่ยอมรับฟังผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ แต่ไม่เป็นผล
         
ในจดหมายเปิดผนึกล่าสุด นักเศรษฐศาสตร์แสดงความผิดหวังต่อ "พฤติกรรมเห็นแก่ตัวและเลินเล่อ" ของทรัมป์ในช่วงวิกฤตโรคระบาด
         
"พฤติกรรมส่วนตัวของทรัมป์ระหว่างโควิด-19 ระบาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการอนุญาตให้โรงเรียนเปิดอีกครั้งอย่างปลอดภัย เขาดูแคลนแนวทางในการเว้นระยะห่างทางสังคมและการสวมหน้ากาก หาเสียงภายในอาคาร สนับสนุนให้ประชาชนใช้ยาที่ ไม่ได้รับการพิสูจน์รับรองและอาจเป็นอันตราย ดูเบาความรุนแรงของโรคระบาด และยังจัดงานภายในทำเนียบขาวที่ทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนติดโควิดและ ผู้นำทางทหารต้องกักตัว
         
"ทรัมป์ยังเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ ที่เป็นอันตราย แม้แต่ในช่วงวิกฤต"ทั้งนี้ ผลศึกษาล่าสุดสรุปว่า ทรัมป์มีแนวโน้มเป็นตัวการปล่อย  "เฟกนิวส์" เกี่ยวกับโควิด-19 เบอร์หนึ่งของโลก
         
นักเศรษฐศาสตร์ยังบอกว่า ทรัมป์บ่อนทำลายความเป็นอิสระและ ความน่าเชื่อถือของหน่วยงานด้านสุขภาพสำคัญของอเมริกาอย่างเช่นสำนักงานอาหารและยา (เอฟดีเอ) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง
         
ทรัมป์คุยนักคุยหนาว่า ตัวเองเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับเศรษฐกิจ และอ้างว่า เศรษฐกิจอเมริกากำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งยังโจมตี โจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตว่า จะขึ้นภาษีแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนเท่านั้น แต่ยังทำลายเศรษฐกิจของประเทศด้วย
         
นอกจากนั้น แม้ทรัมป์อวดอ้างว่า ตัวเองเป็นประธานาธิบดีซีอีโอที่มีทักษะในการเจรจา แต่นักเศรษฐศาสตร์กลับมองว่า การขาดความสามารถ ในการจัดการของทรัมป์ทำลายความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของรัฐบาล โดยอ้างอิงการเปลี่ยนตัวผู้นำหน่วยงานต่างๆ ตลอดเวลา
         
ส่วนประเด็นการค้า นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า แนวทางการเจรจาที่ไม่เป็นระบบและไร้ประสิทธิภาพของทรัมป์ทำลายความสัมพันธ์ของอเมริกากับประเทศคู่ค้า ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร และทำให้ห่วงโซ่อุปทานสะดุดโดยที่ไม่สามารถลดยอดขาดดุลการค้าตามที่โอ้อวดไว้ เช่นเดียวกับคำสัญญาในการเพิ่มการจ้างงานและส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิต
         
จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ยังอ้างอิงนักเศรษฐศาสตร์ของมูดี้ส์ แอนาลิติกส์ และโกลด์แมน แซคส์ ที่ฟันธงว่า นโยบายของไบเดนจะทำให้เศรษฐกิจโต เร็วกว่า
         
นอกจากนั้นเมื่อปลายเดือนกันยายน นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของ รางวัล  โนเบล 13 คนยังประกาศสนับสนุนไบเดน โดยระบุว่า การที่อดีตรองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตผู้นี้สนับสนุนมาตรการสาธารณสุขที่อิงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ในช่วงวิกฤตไวรัส จะส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัว เร็วขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และสนับสนุนความเท่าเทียมมากกว่านโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์
         
นักเศรษฐศาสตร์ที่ร่วมลงชื่อในจดหมายฉบับนี้รวมถึงเอ็ดมุนด์ เฟลป์ส ผู้ชนะรางวัลโนเบลปี 2016 ที่เขียนบทความชำแหละนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ว่า จะทำให้คณะบริหารชุดต่อๆ ไปขาดดุลโดยไม่จำเป็น, วิลเลียม นอร์ดเฮาส์ ผู้ชนะรางวัลโนเบลปี 2018 และศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเยลที่เขียนบทความเกี่ยวกับต้นทุนทางการเงินจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพอล โรเมอร์ ผู้ชนะรางวัลโนเบลปี 2018 และศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยนิวยอร์กที่เชื่อว่า การขยายการตรวจหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะช่วยให้คนได้กลับไปทำงานเร็วขึ้น

Source: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา
TRADE RIDER

*

PoNgPk

  • 6,490
(Oct 26) ดาวโจนส์หยุดไม่อยู่ ลงต่อ 700 จุด กังวลโควิด-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ : ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดดิ่งกว่า 700 จุด ทำสถิติปรับตัวลงมากที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นในสหรัฐ รวมทั้งความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่

ณ เวลา 22.19 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 27,614.12 จุด ลบ 721.45 จุด หรือ 2.55%


มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ เปิดเผยว่า สหรัฐพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่กว่า 83,000 รายทั้งในวันศุกร์และวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในวันศุกร์พบผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงถึง 83,700 ราย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มากกว่าเมื่อกลางเดือนก.ค. ซึ่งขณะนั้นพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ราว 77,300 ราย

นอกจากนี้ จากการคำนวณของสำนักข่าว CNBC พบว่า ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา สหรัฐมีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่เฉลี่ย 68,767 รายต่อวัน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าช่วง 7 วันก่อนหน้านี้ถึง 22%

ขณะนี้สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 8.8 ล้านราย และเสียชีวิตมากกว่า 230,000 ราย

ตัวเลขดังกล่าวทำให้ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ลงอีกในช่วงฤดูหนาว โดยนพ.สก็อตต์ ก็อตต์ลิเอ็บ อดีตประธานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กล่าวเตือนว่า สหรัฐจะเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโควิด-19 โดยเริ่มตั้งแต่สัปดาห์นี้

อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ระบุว่า สื่อในสหรัฐกำลังสมรู้ร่วมคิดกันในการเผยแพร่ข่าวปลอมเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19

ปธน.ทรัมป์ระบุว่า การที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นมีสาเหตุจากการที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจหาเชื้อจากประชากรจำนวนมาก

นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังอ้างว่าผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวมีอัตราการหายป่วยจากโควิด-19 สูงถึง 99.9%

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ โดยนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ กล่าวว่า ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะมีการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย.นี้ แต่ขึ้นอยู่กับการดำเนินการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงการเจรจากับวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน

ด้านปธน.ทรัมป์และนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลัง ตอบโต้ว่า นางเพโลซีต้องยอมประนีประนอมเพื่อให้มีการอนุมัติมาตรการดังกล่าว โดยทั้งสองฝ่ายยังคงมีความขัดแย้งที่สำคัญ ซึ่งได้แก่ การให้เงินช่วยเหลือต่อมลรัฐต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้สินของภาคธุรกิจ

ทางด้านโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า สภาคองเกรสสหรัฐจะไม่สามารถออกกฎหมายว่าด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐได้ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พ.ย.

"หลายประเด็นสำคัญยังคงไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้การบรรลุข้อตกลงไม่น่าจะเป็นไปได้" นายอเล็ก ฟิลลิปส์ นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ ระบุในรายงาน

"ในขณะนี้ทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมาก และเวลาก็เหลือน้อยลง ทำให้คุณเพโลซีและคุณมนูชินคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงก่อนการเลือกตั้ง และต่อให้ทั้งสองคนบรรลุข้อตกลง ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่สภาคองเกรสจะอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ก่อนการเลือกตั้ง" รายงานระบุ

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ
TRADE RIDER

*

CASE Forex

  • 20,417
EUR/CHF: อยู่เหนือแนวรับขาขึ้นหาก 1.0709 ยังคงเป็นแนวรับ
จุดอ้างอิงทำกำไรอยู่ที่ 1.0709.



จุดที่ต้องการ: อยู่เหนือแนวรับขาขึ้นหาก 1.0709 ยังคงเป็นแนวรับ

ทางเลือกการลงทุน: การทะลุผ่านแนวรับลงไปที่ 1.0709 จะอยู่ที่ 1.0698 และ 1.0691.

ความเห็น: RSI (ตัวชี้วัดทิศทางการเคลื่อนที่ของราคา) สูงกว่า 50.MACD (ตัวชี้วัดการเบี่ยงเบนของแนวโน้ม) อยู่เหนือเส้นสัญญาณและเป็นบวก. ยิ่งกว่านั้น ราคาปัจจุบันสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยที่เคลื่อนไหวที่ 20 ถึง 50 (อยู่ที่ลำดับ 1.0700 และ 1.0700)

แนวรับและแนวต้าน:
1.0758 **
1.0751 *
1.0744 **
1.0738
אחרון:1.0721
1.0714
1.0709 **
1.0698 *
1.0691 **
"ที่บอกว่าเทรดไม่ได้ ท่าเทรดที่เลือกเก็บสถิติถึง 1000 ครั้งหรือยัง?"

*

CASE Forex

  • 20,417
ทองคำ การซื้อขายระหว่างวัน: แนวรับในการซื้อขายระหว่างวันบริเวณ 1894.00
จุดอ้างอิงทำกำไร (ระดับที่เป็นโมฆะ): 1894.00



จุดที่ต้องการ: สถานะซื้อสูงกว่า 1894.00 เป้าหมายต่อไปที่ 1914.00 และ 1920.00

ทางเลือกการลงทุน: ต่ำกว่า 1894.00 คาดหมายว่ามีแนวโน้มขาลงต่อเนื่องที่ 1890.75 และ 1887.00 เป็นเป้าหมาย

ความเห็นในเชิงเทคนิค: RSI ผสมกับมุมมองเชิงบวก

แนวรับและแนวต้าน:
1925.00
1920.00
1914.00
1903.75 สุดท้าย
1894.00
1890.75
1887.00
"ที่บอกว่าเทรดไม่ได้ ท่าเทรดที่เลือกเก็บสถิติถึง 1000 ครั้งหรือยัง?"

*

CASE Forex

  • 20,417
USD/CAD การซื้อขายระหว่างวัน: อยู่เหนือแนวรับขาขึ้น
จุดอ้างอิงทำกำไร (ระดับที่เป็นโมฆะ): 1.3155



จุดที่ต้องการ: สถานะซื้อสูงกว่า 1.3155 เป้าหมายต่อไปที่ 1.3200 และ 1.3220

ทางเลือกการลงทุน: ต่ำกว่า 1.3155 คาดหมายว่ามีแนวโน้มขาลงต่อเนื่องที่ 1.3135 และ 1.3120 เป็นเป้าหมาย

ความเห็นในเชิงเทคนิค: RSI ผสมกับช่วงขาขึ้น

แนวรับและแนวต้าน:
1.3240
1.3220
1.3200
1.3181 สุดท้าย
1.3155
1.3135
1.3120
"ที่บอกว่าเทรดไม่ได้ ท่าเทรดที่เลือกเก็บสถิติถึง 1000 ครั้งหรือยัง?"

*

CASE Forex

  • 20,417
USD/CHF การซื้อขายระหว่างวัน: อยู่เหนือแนวรับขาขึ้น
จุดอ้างอิงทำกำไร (ระดับที่เป็นโมฆะ): 0.9050



จุดที่ต้องการ: สถานะซื้อสูงกว่า 0.9050 เป้าหมายต่อไปที่ 0.9080 และ 0.9095

ทางเลือกการลงทุน: ต่ำกว่า 0.9050 คาดหมายว่ามีแนวโน้มขาลงต่อเนื่องที่ 0.9035 และ 0.9025 เป็นเป้าหมาย

ความเห็นในเชิงเทคนิค: RSI มีทิศทางดี

แนวรับและแนวต้าน:
0.9110
0.9095
0.9080
0.9070 สุดท้าย
0.9050
0.9035
0.9025
"ที่บอกว่าเทรดไม่ได้ ท่าเทรดที่เลือกเก็บสถิติถึง 1000 ครั้งหรือยัง?"

*

CASE Forex

  • 20,417
GBP/USD การซื้อขายระหว่างวัน: อยู่ภายใต้แรงกดดัน
จุดอ้างอิงทำกำไร (ระดับที่เป็นโมฆะ): 1.3065



จุดที่ต้องการ: สถานะขายต่ำกว่า 1.3065 เป้าหมายต่อไปที่ 1.2985 และ 1.2955

ทางเลือกการลงทุน: สูงกว่า 1.3065 คาดหมายว่ามีแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่องที่ 1.3090 และ 1.3125 เป็นเป้าหมาย

ความเห็นในเชิงเทคนิค: RSI มีทิศทางไม่ดี

แนวรับและแนวต้าน:
1.3125
1.3090
1.3065
1.3013 สุดท้าย
1.2985
1.2955
1.2930
"ที่บอกว่าเทรดไม่ได้ ท่าเทรดที่เลือกเก็บสถิติถึง 1000 ครั้งหรือยัง?"

*

CASE Forex

  • 20,417
USD/JPY การซื้อขายระหว่างวัน: อยู่เหนือแนวรับขาขึ้น
จุดอ้างอิงทำกำไร (ระดับที่เป็นโมฆะ): 104.65



จุดที่ต้องการ: สถานะซื้อสูงกว่า 104.65 เป้าหมายต่อไปที่ 105.20 และ 105.40

ทางเลือกการลงทุน: ต่ำกว่า 104.65 คาดหมายว่ามีแนวโน้มขาลงต่อเนื่องที่ 104.50 และ 104.30 เป็นเป้าหมาย

ความเห็นในเชิงเทคนิค: RSI มีทิศทางดี

แนวรับและแนวต้าน:
105.50
105.40
105.20
104.96 สุดท้าย
104.65
104.50
104.30
"ที่บอกว่าเทรดไม่ได้ ท่าเทรดที่เลือกเก็บสถิติถึง 1000 ครั้งหรือยัง?"

อรุณสวัสดิ์ค่ะ..แอดมินและทุกท่าน.. **Hea** **Hea**
ตื่นมา..เอ้า ที่ติดลบกลับมาบวกได้นิดหน่อย มีกำไรแล้ว..ปิดเลย..เพื่อรักษาสถานะกำไร ได้ $3 ก็ถือว่าไม่ขาดทุน... 555+
วันใหม่..เริ่มใหม่..ขอให้มีกำไรทุกวัน... xc4* xc4*
อดทน ใจเย็น รอเป็น เห็นกำไร
" อยากให้พอร์ตใหญ่ ใจต้องนิ่ง.."

*

admin

  • 84,265
อ้างจาก: Lil Mayfly ที่ 27, ตุลาคม  2020, 06:15:59 AM
อรุณสวัสดิ์ค่ะ..แอดมินและทุกท่าน.. **Hea** **Hea**
ตื่นมา..เอ้า ที่ติดลบกลับมาบวกได้นิดหน่อย มีกำไรแล้ว..ปิดเลย..เพื่อรักษาสถานะกำไร ได้ $3 ก็ถือว่าไม่ขาดทุน... 555+
วันใหม่..เริ่มใหม่..ขอให้มีกำไรทุกวัน... xc4* xc4*

สวัสดีตอนเช้า ครัยคุณพี่
g*/-
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"

สวัสดีจ๋า ทองจะอยู่ตรงนี้อีกนานไหม ...

*

admin

  • 84,265
อ้างจาก: LighterStudioz ที่ 27, ตุลาคม  2020, 08:33:06 AM
สวัสดีจ๋า ทองจะอยู่ตรงนี้อีกนานไหม ...

หลังเลือกตั้งสหรัฐน้องทองเลือกทางแน่นอน ครับ
TKo*) TKo*)
"เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปเอาชนะตลาด"

*

PoNgPk

  • 6,490
(Oct 27) ธนาคารกลางทำ QE แล้วดีจริงหรือ? จากบทความ "เมื่อธนาคารกลางทั่วโลกหมดกระสุน" เมื่อ 29 ก.ย.2563 ได้เล่าถึงทางเลือกที่ธนาคารกลาง หากมีเครื่องมือหลักอย่างอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

หากเครื่องมือหลักอย่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดข้อจำกัด หนึ่งในทางเลือก ก็คือคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ แต่เปลี่ยนโฟกัสมาลดอัตราดอกเบี้ยระยะกลางและยาวในตลาดตราสารหนี้ สิ่งที่หลายธนาคารกลางต่างทำกัน คือการประกาศเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือที่เรียกกันว่า QE (Quantitative Easing) คำถามที่ตามมา คือ การทำ QE ดีจริงหรือ? บทความนี้จะเล่าว่า การทำ QE จะดีจริงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการและการทำก็อาจมีผลเสียมากมายที่จะตามมาเช่นกัน

ก่อนจะสรุปว่าการทำ QE ดีจริงหรือไม่ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าธนาคารกลางคาดหวังอะไรจากการทำ QE เมื่อธนาคารกลางเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามช่วงอายุต่าง ๆ ผลที่ตามมา คืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะลดลง ส่งผลให้ต้นทุนการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ของภาคธุรกิจถูกลง ขณะเดียวกันเมื่อธนาคารกลางเข้าซื้อพันธบัตร จะเป็นการ "คืนเม็ดเงิน" กลับไปให้นักลงทุนที่ถือพันธบัตรอยู่เดิม อย่างไรก็ดี ต้องดูว่านักลงทุนและธนาคารพาณิชย์นำเงินที่ได้ไปทำอะไรต่อ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สำหรับประโยชน์ที่ธนาคารกลางคาดว่าจะได้รับจากการทำ QE มี 4 ประการดังนี้

ประการแรก ต้นทุนที่ถูกลงในตลาดตราสารหนี้จะส่งผ่านไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ หากต้นทุนการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ลดลง ธนาคารพาณิชย์ก็มีแนวโน้มปล่อยกู้ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำลง เพื่อรักษาฐานลูกค้าที่สามารถระดมทุนได้ทั้งในตลาดสินเชื่อและตลาดตราสารหนี้

ประการที่สอง การเพิ่มสภาพคล่องเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลจากธนาคารพาณิชย์ ทำให้ธนาคารพาณิชย์มีเงินสดในมือเพิ่มขึ้นและอาจส่งผลให้มีการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น อย่างไรก็ดี การตัดสินใจปล่อยกู้ก็ขึ้นกับความเสี่ยงของผู้กู้ด้วย

ประการที่สาม ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนและพันธบัตรรัฐบาลจะลดลง ซึ่งเอื้อต่อการระดมทุนของภาคธุรกิจ เมื่อธนาคารกลางเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล และนักลงทุนที่ถือพันธบัตรอยู่เดิมนำเม็ดเงินที่ได้ไปลงทุนต่อในสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ เพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น เช่น ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์เหล่านี้ก็จะลดลงตาม

ประการที่สี่ ราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นจะกระตุ้นการบริโภค หากนักลงทุนนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ จะไปกดดันให้ราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ปรับขึ้นตาม ทำให้ผู้ที่ถือสินทรัพย์ที่ราคาสูงขึ้นรู้สึกมั่งคั่ง (wealth effect) และอยากจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

ประโยชน์จากการทำ QE ทั้ง 4 ประการนี้เป็นเพียงสิ่งที่ธนาคารกลางหวัง แต่การทำ QE จะมีประสิทธิผลมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น หากในประเทศนั้นตลาดเงินเชื่อมโยงกับตลาดสินเชื่อน้อย ประโยชน์ก็จะจำกัดอยู่ที่ธุรกิจรายใหญ่ที่ระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ได้ ขณะที่ธุรกิจส่วนใหญ่และครัวเรือนที่พึ่งพาการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์จะไม่ได้รับประโยชน์มากนัก หรือหากสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์มีสูงอยู่แล้ว การให้สภาพคล่องเพิ่มเติมอาจไม่ส่งผลให้เกิดการปล่อยสินเชื่อ นอกจากนี้ หากประชาชนส่วนใหญ่ถือสินทรัพย์ในรูปเงินฝาก ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นก็จะกระจุกอยู่ที่คนรวยซึ่งมีอัตราการออมสูง ดังนั้น การหวังที่จะกระตุ้นการบริโภคผ่านช่องทางนี้จึงเป็นเรื่องยาก

จะเห็นได้ว่า ผลดีจากการทำ QE ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยและบริบทของประเทศนั้น ๆ โดยประเทศที่พัฒนาแล้วมักมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เอื้อให้เกิดประโยชน์จากการทำมากกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น สหรัฐฯ และอังกฤษที่เป็นศูนย์กลางทางการเงิน มีตลาดตราสารทุนและตราสารหนี้ที่กว้างและลึก ส่วนตลาดเงินและตลาดสินเชื่อมีความเชื่อมโยงกันสูง ประชาชนมีความรู้ทางการเงินและลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจัยเหล่านี้จึงเอื้อให้เกิดประโยชน์จากการทำ QE ได้มากกว่า

ทั้งนี้ การทำ QE ก็มีผลเสียอยู่หลายข้อด้วยกัน ซึ่งจะทยอยสะสมความเปราะบางต่อเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ

ข้อแรก การลดอัตราดอกเบี้ยระยะกลางและยาวจะค่อย ๆ ส่งผลเสียต่อฐานะทางการเงินของสถาบันการเงิน ซึ่งจะบั่นทอนความสามารถในการปล่อยสินเชื่อในระยะยาว

ข้อสอง นักลงทุนมีแนวโน้มลงทุนเสี่ยงมากขึ้นในภาวะที่ผลตอบแทนอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป อีกทั้งราคาสินทรัพย์ที่สูงขึ้นอาจปรับตัวรุนแรงและรวดเร็ว (sharp asset price correction) ได้ในภายหลังจนสร้างความเปราะบางให้กับเสถียรภาพระบบการเงิน

ข้อสาม ประโยชน์จาก QE อาจกระจุกอยู่กับบริษัทขนาดใหญ่และคนรวย ซึ่งจะซ้ำเติมปัญหาความเลื่อมล้ำในสังคม

ข้อสี่ มาตรการ QE มักต้องทำต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้ตลาดเสพติดจนส่งผลต่อกลไกการทำงานของตลาด อีกทั้งการออกจากมาตรการ QE อาจทำได้ยาก เนื่องจากอัตราผลตอบแทนอาจปรับตัวขึ้นแรงเมื่อถอนมาตรการ

ข้อห้า อัตราดอกเบี้ยระยะกลางและยาวที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อการออม ซึ่งอาจสร้างปัญหาในระยะยาวโดยเฉพาะภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มออมเงินไม่พอสำหรับยามเกษียณ

ถามว่าการทำ QE ดีจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการและผลของมาตรการอาจสร้างความเปราะบางต่อระบบเศรษฐกิจได้ ถ้าเศรษฐกิจติดโควิด 19 และต้องการยาขนานใหม่ หมอจะจ่ายยาแรง ก็ต้องดูให้เหมาะกับสภาวะความพร้อมของร่างกายและผลข้างเคียงของยา เช่นกันผู้ดำเนินนโยบายก็ต้องเลือกใช้นโยบายให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ และต้องชั่งน้ำหนักอย่างรอบคอบระหว่างประโยชน์ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

*บทความโดย น.ส.นลิน หนูขวัญ
เศรษฐกรอาวุโส
ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
TRADE RIDER

 

XM Global Limited