รู้หรือไม่ – สหรัฐฯจัดสรรงบประมาณให้กับกองทัพสูงที่สุดของโลกในปี 2019 ด้วยตัวเลข 7.32 แสนล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์จาก Atlas Organization มองเห็นปัญหาจากการเติบโตด้านเศรษฐกิจของจีนและความเข้มแข็งของกองทัพ ที่จะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนทั่วโลกและบริษัทที่กำลังดำเนินการอยู่ภายในประเทศ
“จีนกำลังแปรเปลี่ยนการเติบโตในด้านเศรษฐกิจไปเป็นกำลังในด้านกองทัพ และผมคิดว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากสำหรับผู้ที่มองหาการลงทุนภายในจีน”
เขายังกล่าวถึงกิจการต่าง ๆ ทั้งในด้านอุตสาหกรรมอวกาศ, เทคโนโลยี และการก่อสร้างที่ได้รับการหนุนหลังจากกองทัพ ซึ่งมีความไม่ชัดเจนระหว่างธุรกิจและกิจการของรัฐ รวมถึงความเป็นเอกเทศของธุรกิจเหล่านั้น
จากรายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่กล่าวถึงการพัฒนาด้านกองกำลังของจีนระบุไว้ว่า ทั้งกองทัพบก, กองทัพอากาศ, กองเรือ และระบบขีปนาวุธของจีนถือเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ในระดับสูงสุดของโลก
จากเมื่อปี 2019 จีนประกาศเพิ่มงบประมาณรายปีให้กับกองทัพขึ้นอีก 6.2% และยังถือเป็นการเพิ่มงบขึ้นอย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปี จนทำให้พวกเขารั้งอยู่ในอันดับสองของประเทศที่มีการใช้จ่ายให้กับกองทัพสูงที่สุดของโลก
นั่นยังไม่รวมไปถึงสิ่งที่ปธน. สี จิ้นผิง ได้เคยประกาศเอาไว้ชัดเจนในงานครบรอบ 93 ปีของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมาว่า เป้าหมายของเขาคือการสร้างกองทัพอันแข็งแกร่งที่สามารถต่อสู้และเอาชนะในสงครามได้
นอกจากนี้โฆษกประจำกระทรวงกลาโหมของจีนยังได้เคยกล่าวไว้เมื่อช่วงต้นเดือนก.ย.ว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาสหรัฐฯเป็นผู้ที่คอยปลุกปั่นความไม่สงบภายในภูมิภาค จากการละเมิดระเบียบแบบแผนระหว่างประเทศและยังเป็นผู้ที่ทำลายความสงบสุขของโลก
ประเด็นความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นในทะเลจีนใต้ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญสำหรับการพัฒนาแสนยานุภาพทางกองทัพของจีน ซึ่งมันยังเป็นการสร้างความขุ่นเคืองให้กับเพื่อนบ้านอย่าง ฟิลิปปินส์, เวียดนาม และโดยเฉพาะไต้หวันที่จีนประกาศมาโดยตลอดว่าเป็นหนึ่งในดินแดนของพวกเขา
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจีนยังจงใจปฏิบัติการฝึกซ้อมรบตรงบริเวณช่องแคบไต้หวัน หลังการเดินทางมาเยือนกรุงไทเปโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ซึ่งถูกทางรัฐบาลวอชิงตันกล่าวหาว่านี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการแสดงการขู่เข็ญโดยรัฐบาลปักกิ่ง
โดยพื้นฐานแล้วจีนแสดงออกอย่างเปิดเผยในการที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับสหรัฐฯและประเทศอื่น ๆ โดยเป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือการครอบครองโลกอุตสาหกรรมสำหรับการกุมอำนาจในด้านเทคโนโลยี
ซึ่งหนึ่งในปัจจัยหลักที่จะเป็นตัวชี้วัดระหว่างจีนและสหรัฐฯว่าใครจะเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่า คือการตอบสนองจากประเทศอื่น ๆ ที่มีต่อทั้งสองประเทศ ตามความเห็นของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์
“ในช่วงสงครามเย็นครั้งที่หนึ่งระหว่างสหรัฐฯและสหภาพโซเวียต ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าสหรัฐฯมีกลุ่มพันธมิตรที่เข้มแข็งกว่า พวกเขามีพวกพ้องอยู่ทั้งในยุโรป, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และแม้แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาส่วนใหญ่”
แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปในปัจจุบันคือประเทศส่วนใหญ่ไม่มีใครที่พร้อมจะออกตัวแรงขนาดนั้น คงมีเพียงไม่กี่ชาติเท่านั้นที่จะรีบเดินเข้าหาสหรัฐฯและบอกว่า “เฮ้ ฉันอยู่ข้างพวกคุณนะ และฉันเป็นฝ่ายต่อต้านจีน”
การตอบสนองจากประเทศส่วนใหญ่ในเวลานี้น่าจะออกไปในทิศทางที่ว่า “พวกเราไม่ควรจะมาสร้างความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดความยุ่งยากไปทั่วโลกในเวลานี้ โดยเฉพาะกับสถานการณ์ที่โรค COVID-19 ยังคงดำเนินอยู่”
การจะเอาชนะจีน สหรัฐฯจำเป็นจะต้องรักษาสถานะของการเป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจ และบริษัทอเมริกันจะต้องเอาชนะคู่แข่งสัญชาติจีนจากการแข่งขันในเวทีระดับโลก ทั้งยังต้องคอยรักษาศักยภาพในด้านกองทัพให้ไม่น้อยหน้าจีนอีกด้วย
References :
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_military_expenditures