รู้หรือไม่ – ร่างกฎหมายนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯฉบับที่ยังค้างคาอยู่มีมูลค่าเริ่มต้นสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์
รัฐบาลกลางของสหรัฐฯ สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการอนุมัตินโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อเดือนมี.ค. ที่ประกอบไปด้วยเงินช่วยเหลือผู้ที่ตกงาน และงบด้านสินเชื่อรวม 349 พันล้านดอลลาร์สำหรับช่วยพยุงธุรกิจขนาดเล็ก
นโยบายดังกล่าวยังรวมไปถึงเช็คเงินสดมูลค่า 1,200 ดอลลาร์ที่แจกให้กับชาวอเมริกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งดูจะประสบความสำเร็จในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
หากแต่ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือ แผนการดังกล่าวได้สิ้นสุดลงตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.ค.เป็นต้นมาโดยที่ยังไม่มีแผนใหม่เข้ามารองรับ ท่ามกลางปัญหาการระบาดของโรค COVID-19 ที่กลับมาทวีความรุนแรงอีกครั้งตั้งแต่เดือนมิ.ย.
และจากช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ก็กลับมามีความเคลื่อนไหวสำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในเฟสถัดไปอีกครั้ง ผ่านการออกคำสั่งพิเศษที่มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 เรื่อง
แต่อันที่จริงก็มีเพียงเรื่องเดียวที่ออกมาในรูปแบบคำสั่งพิเศษ ซึ่งหมายถึงจะต้องมีการปฏิบัติตามที่ปธน.ว่าเอาไว้ นั่นคือการคุ้มครองผู้อยู่อาศัยจากสถานที่เช่า ซึ่งระยะเวลาคุ้มครองตัวเก่าก็พึ่งหมดไปพร้อมกับนโยบายเฟสที่ผ่านมา
ส่วนอีก 3 เรื่องที่เกี่ยวกับเงินกู้ยืมของนักศึกษา, ภาษีค่าจ้าง และเงินช่วยเหลือผู้ที่ตกงาน ออกมาในรูปแบบบันทึกบอกกล่าวทั่วไป โดยทางฝ่าย แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก็กล่าวแย้งว่าสิ่งที่ ทรัมป์ กำหนดมาไม่ได้เป็นไปตามหลักรัฐธรรมนูญ
จากจุดเริ่มต้นของการถกเถียงในสภาคองเกรสเกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเฟสใหม่ ทรัมป์ พยายามที่จะผลักดันการตัดภาษีค่าจ้าง โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่เงินประกันสังคม (Social Security) และเงินประกันสุขภาพผู้สูงอายุ (Medicare)
แม้ตอนที่ ทรัมป์ ก้าวเข้ามารับตำแหน่งปธน.ในปี 2016 ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า จะไม่แตะต้องในส่วน Social Security และ Medicare ซึ่งถือเป็นสัดส่วนของสวัสดิการค่าใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลที่สูงเกินกว่า 50%
แต่ความพยายามที่จะตัดลดภาษีค่าจ้างที่จะทำให้ลูกจ้างไม่ต้องถูกหักรายได้ ณ ที่จ่ายไปกับเงินประกันต่าง ๆ มาพร้อมเหตุผลที่ว่าจะทำให้ชีวิตของคนทำงานในช่วงภาวะวิกฤตคล่องตัวยิ่งขึ้น แต่นั่นก็ไม่ใช่นโยบายที่จะเกิดประโยชน์อะไรกับผู้ที่กำลังว่างงาน
และหากย้อนกลับไปเมื่อเดือนมี.ค. ทรัมป์ ได้เคยสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ที่มุ่งเน้นไปยังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อหวังส่งเสริมด้านการลงทุน
จึงเป็นไปได้ว่าการหักลดภาษีค่าจ้างที่นอกจากจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง รวมถึงนายจ้างและผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายเงินสมทบให้กับลูกจ้างในส่วนนี้ ยังเหมือนเป็นการโยกเงินทุนไปไว้รองรับแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแทน
ในขณะที่เมื่อเดือนก.ค. ทรัมป์ ยังได้กล่าวเอาไว้ว่า จะให้งบช่วยเหลือรัฐและเมืองต่าง ๆ ที่กำลังประสบปัญหา โดยแลกเปลี่ยนกับการยอมหันมาตอบรับนโยบายของรัฐบาลกลางในการจัดการปัญหาคนลักลอบเข้าเมืองเพิ่มขึ้น
ซึ่งรัฐและเมืองเหล่านี้ที่ถูกเรียกว่า “Sanctuary City” ล้วนเป็นปฏิปักษ์กับ ทรัมป์ จากการออกนโยบายที่จำกัดหรือปฏิเสธการให้ความร่วมมือกับรัฐบาลกลาง ในการระบุและจับกุมผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายเพื่อส่งตัวกลับประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของ ทรัมป์ มาตั้งแต่เริ่ม
นอกจากนี้ในเดือนพ.ค. เขายังคัดค้านการขยายเวลาการให้เงินช่วยเหลือ 600 ดอลลาร์ต่อผู้ที่ตกงาน ในขณะที่มีรายงานว่าคณะรัฐบาลของเขายังนำเสนอการปรับลดเงินช่วยเหลือลงให้เหลือแค่ 250 หรือ 300 ดอลลาร์ในนโยบายเฟสถัดไป
แต่ดูเหมือนว่า ทรัมป์ จะสนับสนุนการตัดเงินช่วยเหลือผู้ที่ตกงานออกไปเลย ซึ่งตรงข้ามกับความเห็นส่วนใหญ่ของสส.พรรคเดโมแครต จนทำให้สภาคองเกรสไม่สามารถอนุมัตินโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตัวใหม่ที่ผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรมาตั้งแต่กลางเดือนพ.ค.
ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่ ทรัมป์ มองว่าการให้เงินช่วยเหลือมากเกินไป จะทำให้ชาวอเมริกันขี้เกียจและไม่ยอมกลับมาทำงาน แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งท่ามกลางปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสในสหรัฐฯ ขณะนี้ การจะหางานทำใหม่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน
References :
https://edition.cnn.com/2020/08/09/opinions/trump-war-social-security-medicare-begala/index.html