รู้หรือไม่ – อัตราการจ้างงานในสหรัฐฯยังอยู่ในระดับต่ำกว่าจุดพีคของเดือนก.พ.ปี 2020 อยู่ถึง 8.2 ล้านคน
อัตราการเติบโตของตลาดแรงงานในสหรัฐฯเมื่อเดือนเม.ย.เป็นไปอย่างเชื่องช้ากว่าที่คาดหมายเอาไว้ โดยมีแนวโน้มมาจากการขาดแคลนแรงงานและวัตถุดิบ ท่ามกลางการพัฒนาที่รุดหน้าในด้านสาธารณสุขและการช่วยเหลือจากรัฐบาลที่หวังกระตุ้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
จากผลรายงานของกระทรวงแรงงานเมื่อวันศุกร์ได้ชื้ให้เห็นถึงการชะลอตัวของการจ้างงานชั่วคราว และแนวโน้มที่ลดลงในตลาดแรงงานด้านการผลิต, การค้าปลีก และการส่งพัสดุ จนปลุกประเด็นโต้เถียงเกี่ยวกับสวัสดิการช่วยเหลือผู้ที่ว่างงานขึ้นมา
ความช่วยเหลือที่ครอบคลุมอันประกอบไปด้วยเงินทุน $300 ต่อสัปดาห์จากรัฐบาลซึ่งสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำของงานส่วนใหญ่ โดยผลประโยชน์ดังกล่าวถูกขยายเวลาออกไปจนถึงต้นเดือนก.ย. จากการเป็นส่วนหนึ่งของแผนเยียวยามูลค่า $1.9 ล้านล้านที่ผ่านการอนุมัติในเดือนมี.ค.
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้กล่าวไว้ว่า แรงงานบางส่วนยังคงวิตกกับการที่จะกลับมาทำงาน แม้ชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ทุกคนจะได้รับสิทธิ์ในการฉีดวัคซีนฟรี ในขณะที่ปัญหาการดูแลเด็กก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักจากข้อจำกัดของการเปิดโรงเรียนในหลาย ๆ พื้นที่
รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (NFP) ยังมีอัตราเพิ่มขึ้นเพียง 266,000 ในเดือนเม.ย. ซึ่งห่างไกลจากตัวเลขคาดการณ์ที่ 978,000 โดยผลโพลของ Reuters ในขณะที่ตัวเลขแก้ไขของเดือนมี.ค.ยังลดลงจาก 916,000 ลงมาอยู่ที่ 770,000
นั่นจึงหมายถึงการจ้างงานที่ยังคงต่ำกว่าจุดพีคในเดือนก.พ.ปี 2020 อยู่ถึง 8.2 ล้านคน ซึ่งทางกระทรวงการค้าก็เร่งเร้าให้รัฐบาลพิจารณายกเลิกเงินช่วยเหลือรายสัปดาห์ แต่ทางทำเนียบขาวกลับปฏิเสธและยืนยันว่าจะยิ่งสร้างปัญหาการขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้นไปอีก
ทางด้าน เจนเน็ต เยลเลน รมว.การคลังก็ได้ให้ความเห็นไว้ว่า มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่ามีผู้คนอีกจำนวนมากที่ยังไม่พร้อมจะกลับมาทำงาน ดังนั้นการเพิ่มเงินชดเชยแก่ผู้ที่ว่างงานจึงไม่ใช้ปัจจัยที่จะช่วยสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง
ด้วยแผนการฉีดวัคซีนที่คืบหน้าและเช็คมูลค่า $1,400 ที่ส่งถึงมือผู้ที่ผ่านคุณสมบัติมาตั้งแต่เดือนมี.ค. จนกลายเป็นแรงผลักดันต่อการอัดอั้นของอุปสงค์ แต่ปัญหาจากระบบซัพพลายเชนก็ยังคงเป็นตัวขัดขวางปริมาณความต้องการของสินค้าและบริการต่าง ๆ
นักเศรษฐศาสตร์จาก Naroff Economics ได้กล่าวไว้ว่า สิ่งที่เหนี่ยงรั้งการเติบโตของตลาดแรงงานคืออุปทานไม่ใช่อุปสงค์ หลังพิจารณาไปถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐฯที่ 6.4% ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้
อัตราการว่างงานในสหรัฐฯขยับขึ้นมาอยู่ที่ 6.1% ในเดือนเม.ย.จากตัวเลข 6.0% ของเดือนมี.ค. หลังมีชาวอเมริกันเพียง 430,000 คนกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน ในขณะที่อัตราการว่างงานยังถูกทำให้ดูน้อยลงไปจากการจำแนกที่ไม่ถูกต้องสำหรับกลุ่มคนที่ถูกจ้างแต่กลับขาดงาน
หากตัดคนในกลุ่มนี้ออกก็อาจทำให้อัตราการว่างงานขยับขึ้นไปถึง 6.4% ในเดือนเม.ย. และอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานที่แม้จะขยับขึ้นจาก 61.5% มาเป็น 61.7% แต่ก็เกิดขึ้นจากเพศชายเป็นหลัก ซึ่งหมายถึงแรงงานเพศหญิงส่วนใหญ่ยังคงว่างงานอยู่
นั่นจึงอาจเป็นแรงสนับสนุนที่ชัดเจนสำหรับแผนการใช้จ่ายเพิ่มเติม $4 ล้านล้านของปธน. โจ ไบเดน ทั้งในด้านการศึกษา, การดูแลเด็ก และการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงจุดยืนในการรักษานโยบายช่วยเหลือของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
References :