แม้แต่กาแฟก็มิอาจต้านทานความบีบคั้นจากปัญหาสภาพภูมิอากาศและอัตราเงินเฟ้อ โดยราคาฟิวเจอร์สของกาแฟเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาทะยานขึ้นเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ม.ค.ปี 2012 และคิดเป็นอัตราที่สูงขึ้นกว่า 80% นับจากเมื่อต้นปี 2021
นี่คงเป็นข่าวร้ายสำหรับคอกาแฟที่อาจจะต้องเสียเงินมากขึ้นในการซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มยอดนิยมมาจากร้านค้าภายในเดือนถัด ๆ ไป และกลายเป็นการเพิ่มแรงกดดันของภาวะเงินเฟ้อที่กำลังปั่นประสาทชาวอเมริกันหลายล้านคนอยู่ในขณะนี้
อัตราเงินเฟ้อของกาแฟเป็นตัวอย่างล่าสุดของปัญหาที่มาจากสภาพอากาศสุดขั้ว โดยได้รับแรงผลักดันมาจากวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่เพียงจะเป็นฝันร้ายแก่บรรดาเกษตรกร แต่ยังสร้างปัญหาสินค้าราคาแพงให้กับผู้บริโภคทั่วโลก
จากข้อมูลขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ที่เปิดเผยออกมาในเดือนส.ค.ระบุว่า ราคาของอาหารทั่วโลกทะยานขึ้นถึง 31% ภายในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
เฉกเช่นเดียวกับในประเทศอื่น ๆ การเพาะปลูกกาแฟในบราซิลได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหาความแห้งแล้งที่ยาวนาน และอาจถึงขึ้นเป็นสถิติเลวร้ายสุดในรอบเกือบศตวรรษ ก่อนจะมาเจอปัญหาซ้ำจากสภาพอากาศหนาวจัดในเดือนก.ค.ที่รุนแรงสุดนับตั้งแต่ปี 1994
นอกเหนือจากผลกระทบที่มาจากสภาพภูมิอากาศ นักวิเคราะห์หลายคนก็ชี้ไปถึงการติดขัดอันยืดเยื้อในระบบซัพพลายเชนทั่วโลก เช่น การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ก็ยังเป็นตัวซ้ำเติมปัญหานี้เข้าไปอีก
ในขณะเดียวกันปริมาณความต้องการกาแฟยังคงมีความเข้มแข็ง แม้ระหว่างช่วงภาวะวิกฤตของ COVID-19 ผู้คนก็ยังคงดื่มกาแฟกันเป็นจำนวนมาก เพียงแค่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคจากในออฟฟิศหรือคาเฟ่มาเป็นที่บ้าน
สมาคมกาแฟแห่งชาติสหรัฐฯ (NCA) ก็ออกมายืนยันเช่นกันว่า COVID-19 ไม่สามารถทำอะไรต่ออุปสงค์ของกาแฟได้เลย และยังเผยว่าทั่วโลกปลูกกาแฟมากกว่าที่ผู้คนดื่มมาตลอดระยะเวลาหลายปี แต่ในปีนี้มีการคาดการณ์ว่าผู้คนบริโภคกาแฟมากกว่าที่ชาวไร่ปลูกขึ้นมา
ราคาขายปลีกของกาแฟกำลังอยู่ในขาขึ้นแต่ก็ไม่ได้พุ่งขึ้นแบบพรวดพราดเหมือนกับสินค้าอื่น ๆ โดยราคาในเดือนต.ค.ขยับขึ้น 4.7% จากเมื่อ 12 เดือนก่อน และยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับโดยรวมของอัตราเงินเฟ้อในเดือนต.ค.ที่พึ่งสร้างสถิติสูงสุดในรอบ 30 ปี
นั่นเป็นเพราะว่า Starbucks และบริษัทกาแฟอีกหลายแห่งมีการซื้อกาแฟกันไว้ล่วงหน้า รวมถึงการปรับใช้กลยุทธ์ในการลดความเสี่ยงของราคา ซึ่งก็ช่วยทำให้พวกเขายังคงรักษามาร์จิ้นของผลกำไรและควบคุมระดับราคาจากความผันผวนในตลาดฟิวเจอร์สได้
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์เชื่อว่า หากราคายังคงสูงขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ บริษัทเหล่านี้ก็คงจำเป็นจะต้องส่งต่อภาระของต้นทุนไปยังผู้บริโภค โดย CEO ของ Starbucks ได้กล่าวไว้เมื่อเดือนก่อนว่า กำลังวางแผนจัดการกับราคาด้วยแนวทางที่สร้างสรรค์ที่สุด
ในขณะที่ JM Smucker กิจการเจ้าของแบรนด์กาแฟอย่าง Folgers และ Dunkin’ ก็กล่าวถึงผลกระทบต่อกิจการของพวกเขาจากต้นทุนที่สูงขึ้น โดยชี้ไปถึงแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่มีสาเหตุจากค่าแรง, ค่าขนส่ง และต้นทุนของพลังงานที่เพิ่มขึ้น
References :
https://edition.cnn.com/2021/11/18/business/inflation-coffee-prices-weather/index.html