สถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับมามีความหวังทางเศรษฐกิจว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากหลายประเทศเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการและข้อจำกัดบางส่วนไปบ้างแล้ว
โดยค่าเฉลี่ยของดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนพุ่งสูงขึ้นถึง 300 จุด ในขณะที่ Standard & Poor เพิ่มขึ้น 1.5% และ The Nasdaq Composite เพิ่มขึ้นอีก 1.3% ทำให้ค่าดัชนีของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีจุดปิดที่เป็นบวกสำหรับปีนี้
ในสหรัฐอเมริกา ฮาวายเริ่มมีการเปิดห้างสรรพสินค้าขณะเดียวกันในด้านของการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ก็สามารถกลับมาดำเนินการได้อีกครั้งในมิชิแกน ส่วนรัฐ Montana ก็เริ่มมีการอนุญาติให้โรงเรียนเปิดการทำการเรียนการสอนในห้องเรียนได้แล้ว
ในประเทศจีน ก็มีการรายงานว่าการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์ของไวรัสโคโรนาเริ่มคลี่คลาย ซึ่งข้อมูลการค้าของจีนแสดงให้เห็นว่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 3.5% ในเดือนเมษายนโดยได้แรงหนุนจากการขนส่งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสิ่งทอรวมถึงการส่งออกหน้ากากอนามันที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ข้อมูลยังแสดงให้เห็นถึงการส่งออกสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 2.2% ในเดือนเมษายน ขณะที่การนำเข้าสินค้าจากประเทศอเมริกาลดลงถึง 11% เนื่องจากความต้องการทางด้านอุตสาหกรรมและความพร้อมของผู้บริโภคยังคงไม่ดีมากเท่าไหร่นัก แม้สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสจะดีขึ้นและมีการยกเลิกมาตรการควบคุมโรคไปแล้วก็ตาม
ราคาน้ำมันดิบในสหรัฐอเมริกามีการปรับตัวลงถึง 1.8% ปิดที่จำนวน 23.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์ ซึ่งเป็นมาตรฐานน้ำมันโลกลดลง 0.9% คิดเป็นจำนวน 29.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนดัชนีหุ้นในยุโรปเริ่มต้นที่ CAC 40 ของประเทศฝรั่งเศสที่เพิ่มขึ้นถึง 1.5% DAX ของเยอรมันนีก็เพิ่มขึ้นอีก 1.4% ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นอังกฤษ UK FTSE 100 เพิ่มขึ้น 1.4% ในส่วนของตลาดหุ้นเอเชีย หลายภาคส่วนก็ยังลดลงแต่ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นที่กลับมาเปิดใหม่อีกครั้งหลังจากสัปดาห์ทองในช่วงวันหยุดกลับเพิ่มขึ้น 0.3% สวนทางกับดัชนี Hang Seng ในฮองกงที่ลดลงถึง 0.7% และ ดัชนีSSE Composite ของเซี่ยงไฮ้ที่ลดลง 0.2%
แม้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นบางส่วนจะยังไม่ฟื้นขึ้นมาเท่าไหร่นัก แต่ก็ถือเป็นสัญญาณดีที่ทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้างแล้วว่าเศรษฐกิจโลกจะพลิกฟื้นกลับมาได้อีกครั้งในเร็ววันนี้
ที่มา : usatoday