Search

ราคาทองคำวันนี้ ตามประกาศสมาคมค้าทองคำ

ประจำวันที่ 00 x.x. 00
ครั้งที่ 0

ราคาทองคำแท่ง 96.5%

ราคาเปิดราคาล่าสุดเปลี่ยนแปลง
00,00000,000
0
(0)
หน่วย THB บาทอัปเดตล่าสุด 00 x.x. 00 เวลา 00:00 น.

ทองรูปพรรณ 96.5%

ราคาเปิดราคาล่าสุดเปลี่ยนแปลง
00,00000,000
0
(0)
หน่วย THB บาทอัปเดตล่าสุด 00 x.x. 00 เวลา 00:00 น.
ดูราคาทองเพิ่มเติม

สิ่งที่คุณอาจสนใจ

[widget_lastupdate_spdr]

โบรกเกอร์ที่แนะนำ

Recommend Broker

Lockdown​ อาจ “​ล็อค” ยาว​ ​ปัดฝุ่น​ “กองทุนพยุงหุ้น”

หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ผ่อนปรนมาตรการ​ Lockdown​ ที่ประกาศใช้ในช่วงภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19​ ทั่วประเทศเกือบ​ 2​ เดือนที่ผ่านมา​ โดยกำหนดให้กลุ่มธุรกิจ​ 4​ ประเภท​ สามารถทยอยเปิดได้​ตั้งแต่วันที่​ 4​ พฤษภาคมนี้​ ​ ประกอบกับตัวเลขของผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตที่ลดลง​ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดี​ ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นของไทยเมื่อวันที่​ 28​ เมษายนกลับมา​เคลื่อนไหวในแดนบวกอีกครั้ง

 

เช่นเดียวกับอีกหลายๆประเทศที่เริ่มคลายมาตรการ​ Lockdown​ แล้วค่อยๆยกเลิกข้อบังคับที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน​ของประชาชน​ ทำให้นักลงทุนกลับมาลงทุนอีกครั้ง​ เช่นที่ประเทศนิวซีแลนด์​ การประกาศของ​ “จาซินดา​ อาร์เดิร์น” นายกรัฐมนตรีหญิง​ ว่าทางการสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้แล้ว​ สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน​ จนตลาดหุ้นปิดบวก​มากกว่า​ 3​ จุด​ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

 

แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า​ ตั้งแต่เริ่มต้นปี​ 2563​ สังคมไทยต้องเจอกับเหตุการณ์เหนือความคาดหมายบ่อยครั้ง​ ทั้งกราดยิงโคราช​ หรือ​ ผอ.ปล้นร้านทองฆ่า3ศพ​ แม้จะเป็นระยะสั้นๆ​ แต่ก็เหมือนเขย่าให้ตลาดหุ้นที่พร้อมจะผันผวนในทุกกรณีอยู่แล้วยิ่งอ่อนไหวมากยิ่งขึ้น

 

และเมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19​ เข้ามาในประเทศไทย​ ​กว่ารัฐบาลจะตั้งรับได้ทัน​ ดัชนี​ SET ​ ก็ปรับลดลงไปแล้วมากกว่า​ 320 จุด​

 

 

ดัชนีตลาดหุ้นที่ร่วงอย่างหนักและต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี​ รัฐบาลก็ตระหนักและมีมาตรการ​ “แปลงสภาพ” กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ซึ่งปกติสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด​ 2​ แสนบาท​ เป็น “SSF กองพิเศษ” ที่ให้หักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มอีก 2 แสนบาท สำหรับการลงทุนในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน​-30 มิถุนายน 2563 แล้วก็ตาม​ แต่การจะพยุงดัชนีหุ้นไทยในสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้​ SSF กองพิเศษเพียงอย่างเดียวคงดึงเม็ดเงินให้เข้ามาลงทุนได้เพียงแค่ประคองชั่วคราวเท่านั้น

 

ช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา​ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงการคลัง​ ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)​ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หาแนวทางเพื่อเร่งจัดตั้งกองทุนสร้างเสถียรภาพตลาดทุนขึ้นมาดูแลตลาดหุ้นที่ตกอยู่ในภาวะไม่ปกติ​ ในชื่อ“กองทุนไทยสร้างโอกาส”  หรือเรียกกันสั้นๆว่า​ “กองทุนพยุงหุ้น”

 

ซึ่ง​กองทุนไทยสร้างโอกาส​ ถูกนำมาใช้​ประคองภาวะตลาดหุ้นครั้งแรก เมื่อ​ 18​ ปีก่อน​ โดยดัชนีตลาดหุ้นของไทยตอนนั้นอยู่ที่ ประมาณ 370 จุด​ ต่อมาจึงกลายเป็นแผนแม่บทการตลาดทุนไทย ที่กำหนดมาตรการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ตลาดทุน ด้วยการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนและใช้ชื่อว่า “กองทุนไทยสร้างโอกาส”

 

โดยในระหว่างที่กระทรวงการคลัง​ ตลท.และ​ ธปท.​ ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าภาวะตบาดหุ้นไทยในขณะนี้โครงสร้างและผู้ร่วมทุนที่เหมาะสมจะเป็นลักษณะอย่างไร​  แต่นักวิเคราะห์​เชื่อว่า​หากลักษณะกองทุนที่ออกมามีเงื่อนไขและโครงสร้างเหมือนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ก็น่าจะช่วยพยุงตลาดหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ที่ผ่านมาคือช่วงเวลาที่ภาวะตลาดหุ้นไทยทั้งอ่อนแอและผันผวน​ และยังเป็นช่วงเวลาก่อนที่รัฐบาลจะประกาศใช้​ พรก.ฉุกเฉิน​ 2548 ซึ่งเปรียบเสมือนการหยุดความเคลื่อนไหวของธุรกิจทุกภาคส่วน ตามมาด้วยการประกาศกฎอัยการศึก​(เคอร์ฟิว)​ ห้ามประชาชนออกนอกที่พักอาศัยตั้งแต่​ 22.00น.-04.00น.​ส่งกระทบกับผู้ประกอบการสถานบันเทิง​ และคนที่ทำงานกลางคืนอีกมากมายมหาศาล

 

เพราะฉะนั้นการคลายมาตรการ​ Lockdown​ นอกจากจะเป็นการทำให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นจากความตายแล้ว​ ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงนักลงทุนและตลาดหุ้นอีกด้วยว่า​ เวลาของ “กองทุนไทยสร้างโอกาส” กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

 

ทั้งนี้​  ตลอดเดือนมีนาคม​ ภาวะตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19​ รุนแรงขึ้น​ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย​ เปิดเผยว่า SET Index ปิดที่ 1,125.86 จุด ลดลง 16% จากเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถือว่าปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดส่วนใหญ่ในอาเซียน โดยเห็นธุรกิจปรับตัวรับกับสถานการณ์ได้ดี เช่น ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม, ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหาร, ธุรกิจค้าปลีก และบริการทางการแพทย์ ทำให้ดัชนีของกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวปรับตัวลดลงน้อยกว่า SET Index

 

ด้านความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นสัปดาห์นี้​ ความสนใจของนักลงทุนจับจ้องอยู่ที่การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่​ เช่น​ SCC, PTTEP เป็นต้น โดยคาดว่าจะทยอยประกาศออกมาเรื่อยๆ ความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดประมาณการหลังจากที่ได้ประกาศงบฯแล้ว​ ซึ่งตลาดก็มี​ upside จำกัด​ นอกจากนี้ยังต้องรอดูผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประเด็นนี้ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.00-0.25% และไม่ดำเนินการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติม​​ เพียงแต่อาจจะส่งสัญญาณให้ตลาดรู้ว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำอีกนานแค่ไหน

 

ส่งท้าย​ เม.ย.​ เดือนแห่งการ​ Lockdown​ และ​ Work​ From​ Home​ แต่เพียงเท่านี้ครับ

 

Relate Post