ไบเดน คาดหวัง การเรียกเก็บค่าปรับจากการล่าช้าในการขนถ่ายจากเรือสินค้าจะช่วยแก้ปัญหาความแออัดในท่าเรือต่างๆได้
ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีไบเดนกำหนดการเรียกเก็บค่าปรับจากเรือบรรทุกสินค้าในท่าเรือที่พลุกพล่าน เนื่องจากคาดหวังว่าจะช่วยลดปัญหาความแออัดของเรือขนสินค้าในท่าเรือลง
โดยในวันจันทร์ที่ผ่านมาท่าเรือลอสแองเจลลิสและท่าเรือลองบิชออกประกาศระบุว่า เรือบรรทุกสินค้าที่ขนถ่ายสินค้าต่อให้รถบรรทุกมีเวลา 9 วันในการขนถ่ายสินค้าก่อนการถูกเรียกเก็บค่าปรับ ขณะที่เรือบรรทุกสินค้าที่ส่งต่อสินค้ากับรถรางมีเวลา 3 วัน โดยจะมีการเก็บค่าปรับ $100 ต่อวันต่อลำ สำหรับเรือขนส่งที่ใช้เวลาเกินกำหนด โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฟสจิกายนนี้
ผู้อำนวยการท่าเรือลองบีชออกมาระบุว่า พื้นที่ของท่าเรือกำลังลดลงเรื่อยๆ โดยการเรียกเก็บค่าปรับจะทำให้มีพื้นที่สำหรับตู้ขนสินค้าบนเรือที่กำลังจะมาถึง
เจน ปาสกี เลขาธิการประจำทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวในวันอังคารที่ผ่านมาว่า ฝ่ายบริหารมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาในระบบห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้ ประธานาธิบดี ไบเดน จะนำประเด็นดังกล่าวเข้าร่วมอภิปรายกับผู้นำต่างๆในการประชุม G20 ในช่วงสัปดาห์นี้
ปาสกี ยังระบุว่า ท่าเรือทั้ง 2 แห่งกำลังขนถ่ายตู้บรรจุสินค้าเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2018 และมีเป้าหมายในการขนถ่ายตู้บรรจุสินค้าให้ได้มากกว่า 17.5 ล้านตู้ ที่ทำไว้ในปี 2018
โดยในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีไบเดน ได้กำหนดแผนการในการดำเนินการของท่าเรือทั้ง 2 แห่งตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาคอขวดในระบบห่วงโซ่อุปทานที่กำลังส่งผลกระทบต่อระบบอุปทานทั่วโลก
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการระบบห่วงโซ่อุปทานและการผลิต ระบุว่าการแก้ไขระบบห่วงโซ่อุปทานไม่ใช่เพียงการแก้ไขที่ระบบในท่าเรือเท่านั้น เนื่องจากท่าเรือเป็นเพียงส่วนหนึ่งในระบบห่วงโซ่อุปทานที่ต่อกันเป็นเส้นยาว
โดยการเพิ่มระยะเวลาในการดำเนินการของท่าเรือในแคลิฟอร์เนียและการลดระยะเวลาในการขนถ่ายสินค้าลง อาจไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมดเนื่องจากมีปัจจัยอื่นๆที่ประกอบกันอยู่
ทั้งนี้ปัญหาคอขวดในระบบห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากความต้องการของผู้บริโภคที่พุ่งสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่สูงขึ้น การขาดแคลนแรงงาน ความล่าช้าในการผลิตของสินค้าจากต่างประเทศ ข้อกำหนดด้านการค้า และสภาวะเงินเฟ้อ
นอกจากนี้เทศกาลวันหยุดที่กำลังจะมาถึงยังส่งผลให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นเนื่องจากการลดความเข้มข้นในมาตรการด้านสุขภาพลงและการแพร่กระจายวัคซีนไวรัสที่ทั่วถึง ซึ่งจะทำให้เกิดบรรยากาศการเฉลิมฉลองในปีนี้คึกคักมากกว่าในปี 2020
โดยสถานการณ์ในระบบห่วงโซ่อุปทานในปัจจุบัน เป็นปัญหาในระบบมหภาคที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานาน ทั้งนี้ผู้บริโภคอาจจะต้องประสบกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นและอาจไม่สามารถหาซื้อสินค้าได้หากปัญหาในระบบห่วงโซ่อุปทานดังกล่าวนี้ยังคงอยู่
Reference: