สถานะทางการเงินของภาคครัวเรือนที่แข็งแกร่งอาจทำให้เฟดมีงานต้องทำมากขึ้น
นีล คัชคารี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯประจำมินนิอาโปลิส ชี้ว่าสถานะการเงินของภาคครัวเรือนที่อยู่ในสภาพที่ดีกว่าก่อนช่วงการเกิดโรคระบาด อาจทำเฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
คัชคารีกล่าวว่า “งบดุลที่แข็งแกร่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนใช้จ่ายมากขึ้นหรือมีความมั่นใจในการใช้จ่ายมากขึ้นหรือไม่ มีการเปลี่ยนพฤติกรรมและรูปแบบการใช้จ่ายหรือไม่ และยั่งยืนมากเพียงได้ โดยสถานการณ์ในกรณีนี้อาจทำให้เฟดต้องเข้มงวดมากขึ้น”
นั่นอาจหมายถึงการแลกเปลี่ยนที่ยากลำบากสำหรับธนาคารกลางสหรัฐฯซึ่งได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูงในรอบ 40 ปี
นักกำหนดนโยบายของเฟดคาดว่าจะบรรลุช่วงเป้าหมายของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น โดยขณะนี้อยู่ที่ระดับ 0.75%-1% ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเต็มเปอร์เซ็นต์ในเดือนกรกฎาคม โดยจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราต่ำอีกหลายครั้ง
ประธานเฟดกล่าวว่าความหวังที่ “เป็นไปได้” ในสัปดาห์นี้คือต้นทุนการกู้ยืมที่มากขึ้นจะทำให้ความต้องการแรงงานลดลงมากพอที่จะชะลอการขึ้นค่าแรงที่เป็นสาเหตุทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น แต่ไม่มากจนธุรกิจหันไปใช้การเลิกจ้างจำนวนมากซึ่งอาจทำให้เกิด ภาวะถดถอย
คัชการีกล่าวว่า เพราะมีหลายอย่างที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเฟด ตัวอย่างเช่น ระบบห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งยังคงอยู่ในสถานะที่ยุ่งเหยิง กำลังผลักดันราคาให้สูงขึ้นในลักษณะที่แย่ลงไปอีกเมื่อมีการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสในประเทศจีนและการรุกรานยูเครนของรัสเซีย
“เรารู้ว่าเราต้องลดอัตราเงินเฟ้อ เรากำลังทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้เกิดการลงจอดอย่างนุ่มนวล แต่ผมไม่รู้ว่าจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร” คัชการี กล่าว
ตลาดหุ้นรวมถึงดัชนี S&P 500 ที่ลดลง 18% นับตั้งแต่การปิดการซื้อขายในวันที่ 3 มกราคมอาจช่วยเฟดได้ โดยอาจช่วยลดการใช้จ่ายและปริมาณความต้องการลง
“ผลกระทบของความมั่งคั่งเป็นเรื่องจริง ผู้ที่มีหุ้นมูลค่ามากกว่า 401K พวกเขารู้สึกมั่นใจมากขึ้น พวกเขาออกไปใช้จ่ายมากขึ้น เมื่อสิ่งเหล่านั้นลดลง พฤติกรรมของพวกเขาอาจเปลี่ยนไป” คัชการี กล่าว แม้ว่าเฟดจะไม่กำหนดเป้าหมายราคาหุ้น แต่ “เราให้ความสำคัญกับผลที่เกิดขึ้น”
Reference: