ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯเข้าใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี ราคานำเข้ารายเดือนยังคงทรงตัว
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 11 ปีในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เนื่องจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ แต่การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนยังคงได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและเงินออมจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปได้
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเผยให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ถดถอยครอบคลุมในทุกกลุ่มประชากร ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์บางคนกล่าวว่าอาจผลักดันให้เข้าสู่ภาวะถดถอย รวมถึงความเกี่ยวข้องทางภูมิศาสตร์และการเมือง ราคาน้ำมันเบนซินและตลาดหุ้นมีผลอย่างมากในการสำรวจ
ราคาน้ำมันกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นในเดือนนี้ โดยสร้างสถิติสูงสุดเฉลี่ยที่ 4.432 ดอลลาร์ต่อแกลลอนในวันศุกร์ ตามข้อมูลของ AAA ด้วยความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะต้องกระชับนโยบายการเงินอย่างจริงจังเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อได้ทำให้เกิดการเทขายหุ้นจำนวนมากในวอลล์สตรีท
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นของมหาวิทยาลัยมิชิแกนร่วงลง 9.4% สู่ระดับ 59.1 เมื่อต้นเดือนนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2011 โดยก่อนหน้านี้นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าดัชนีจะลดลงเหลือ 64 โดยการลดลงอย่างมากมีผลตรงกันข้ามกับการสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ Conference Board ซึ่งดัชนียังคงอยู่เหนือระดับต่ำสุดของการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา
การสำรวจของ Conference Board ให้ความสำคัญกับตลาดแรงงานมากขึ้น ซึ่งกำลังสร้างงานได้อย่างรวดเร็ว ค่าจ้างเพิ่มขึ้นเนื่องจากนายจ้างแย่งชิงคนงานเพื่อเติมเต็มสถิติตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัคร 11.5 ล้านตำแหน่ง ณ สิ้นเดือนมีนาคม
มาตรวัดภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันของมหาวิทยาลัยมิชิแกนจากการสำรวจลดลง 8.4% มาอยู่ที่ 63.6 ซึ่งนั่นคือการอ่านที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 และ 36% ของผู้บริโภคระบุว่าการประเมินเชิงลบของพวกเขามาจากภาวะเงินเฟ้อ การวัดความคาดหวังของผู้บริโภคลดลง 9.9% อยู่ที่ 56.3
ผู้บริโภคมองว่าเงื่อนไขการซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานยาวนานนั้นแย่ที่สุดนับตั้งแต่การสำรวจเริ่มติดตามข้อมูลในปี 1978 นักเศรษฐศาสตร์ไม่แปลกใจกับผลมากนัก โดยให้ข้อสังเกตว่าผู้บริโภคมีเงินสะสมเหลืออยู่อย่างน้อย 2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงการระบาดของไวรัส
ทั้งนี้ยีงมีความกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อสูงและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดซึ่งเริ่มในเดือนมีนาคม อาจทำให้การเติบโตช้าลงอย่างกะทันหัน หรือแม้แต่ทำให้เศรษฐกิจถดถอย โดยเศรษฐกิจหดตัวในไตรมาสแรกภายใต้น้ำหนักของการขาดดุลการค้าที่สูงเป็นประวัติการณ์ แต่อุปสงค์ในประเทศยังคงแข็งแกร่ง
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับสูง แต่มีสัญญาณเพิ่มขึ้นว่าแรงกดดันด้านราคาได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว
รายงานจากกรมแรงงานระบุว่าราคานำเข้าทรงตัวอย่างที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อนในเดือนเมษายน เนื่องจากต้นทุนการชดเชยปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นในอาหารและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ลดลง ราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 2.9% ในเดือนมีนาคม
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าราคานำเข้าซึ่งไม่รวมภาษีศุลกากรจะเพิ่มขึ้น 0.6% ในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือนเมษายน โดยราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 12.0% หลังจากเร่งตัวขึ้น 13.0% ในปีจนถึงเดือนมีนาคม
ข้อมูลของรัฐบาลในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นว่าราคาผู้บริโภครายเดือนเพิ่มขึ้นอย่างช้าที่สุดในรอบแปดเดือน ในขณะที่ราคาผู้ผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้นต่ำที่สุดตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่ผ่านมา
ด้วยราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในเดือนพฤษภาคม การนำเข้ารายเดือน ราคาผู้บริโภคและผู้ผลิตมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว และอัตราเงินเฟ้อประจำปีคาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะอยู่เหนือเป้าหมาย 2% ของเฟดก็ตาม
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครึ่งเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 22 ปี และกล่าวว่าจะเริ่มลดการถือครองพันธบัตรในเดือนหน้า
ราคาน้ำมันนำเข้าปรับตัวลดลง 2.4% ในเดือนที่แล้ว หลังจากพุ่งขึ้น 17.3% ในเดือนมีนาคม ราคาน้ำมันลดลง 2.9% ในขณะที่ต้นทุนอาหารนำเข้าเพิ่มขึ้น 0.9% ราคาสินค้าทุนนำเข้าเพิ่มขึ้น 0.4%
ต้นทุนสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าไม่รวมยานยนต์ยังไม่เปลี่ยนแปลง ราคายานยนต์และชิ้นส่วนนำเข้าเพิ่มขึ้น 0.3% ไม่รวมน้ำมันเชื้อเพลิงและอาหาร ราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.4% ราคานำเข้าหลักสูงขึ้น 1.3% ในเดือนมีนาคม โดยเพิ่มขึ้น 6.9% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนเมษายน
การชะลอตัวของราคานำเข้าหลักรายเดือนที่ชะลอตัวบางส่วนสะท้อนให้เห็นว่าค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินของคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นประมาณ 2.65% เมื่อพิจารณาตามน้ำหนักการค้า นับตั้งแต่เฟดเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
Reference:
https://www.reuters.com/world/us/us-import-prices-unchanged-petroleum-costs-drop-2022-05-13/
