ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนอาจส่งผลกระทบต่อตลาดโลกอย่างไร
การรุกรานยูเครนของประเทศเพื่อนบ้านอย่างรัสเซียอาจส่งแรงกระเพื่อมไปในหลายตลาด ตั้งแต่ราคาข้าวสาลีและราคาพลังงาน พันธบัตรเงินดอลลาห์แห่งชาติในพื้นที่ ไปจนถึงสินทรัพย์ปลอดภัยต่างๆ
โดยตลาดสำคัญที่จะได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดได้แก่
สินทรัพย์ปลอดภัย
ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นและแนวโน้มในการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลกระทบต่อตลาดพันธบัตร แต่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนอาจเปลี่ยนแปลงแนวโน้มดังกล่าว
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 2 ปีมีการเติบโตของอัตราผลตอบแทนใมุมมองอบรายเดือนมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016 ขณะที่อัตราผลตอบแทนในพันธบัตรอายุ 10 ปีกำลังปรับตัวเข้าสู่ระดับสำคัญที่ 2%
ซึ่งเหตุการณ์ความเสี่ยงที่สำคัญอาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจกลับเข้าไปลงทุนในพันธบัตรซึ่งเปรียบเสมือนสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยที่สุดในโลกและครั้งนี้อาจไม่แตกต่างกัน แม้ว่าการบุกยูเครนของรัสเซียจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นและก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตาม
ขณะที่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยอื่นๆ อย่างเช่น ทองคำก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงขึ้นในรอบ 2 เดือนเช่นเดียวกับค่าเงินเยน
ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน
ตลาดพลังงานอาจจะได้รับผลกระทบอย่างหนักหากความตึงเครียดกลายเป็นความขัดแย้ง เนื่องจากประเทศในยุโรปใช้ทรัพยากรก๊าซธรรมชาติที่นำเข้าจากรัสเซียมากถึง 35% โดยส่วนใหญ่ลำเลียงผ่านท่อซึ่งพาดผ่านเบลารุสและโปแลนด์ไปถึงเยอรมัน ขณะที่ท่อ Nord Stream 1 ต่อตรงไปยังเยอรมันขณะที่ท่านอื่นๆพาดผ่านยูเครน
ในปี 2020 ปริมาณการขนส่งแก๊สธรรมชาติจากรัสเซียไปยังยุโรปลดลงภายหลังจากการประกาศล็อกดาวน์ส่งผลให้ปริมาณความต้องการลดลงและยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่แม้ ปริมาณการบริโภคจะพุ่งสูงขึ้นส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติศาสตร์
โดยหากเกิดการคว่ำบาตรจากกรณีที่รัสเซียรุกรานยูเครน เยอรมันระบุว่าอาจใช้วิธีการยุติการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ Nord Stream 2 จากรัสเซียซึ่งคาดว่าจะใช้เป็นการเพิ่มการนำก๊าซเข้าไปยังกลุ่มประเทศยุโรป อย่างไรก็ตามทางการเยอรมันยังเน้นย้ำถึงการพึ่งพาพลังงานของยุโรปจากมอสโก
ทั้งนี้นักวิเคราะห์มองว่าตลาดจะเห็นการส่งออกก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียไปยังประเทศในยุโรปลดลงทั้งในปริมาณที่ผ่านยูเครนและเบลารุสหากเกิดกรณีการคว่ำบาตรและราคาก๊าซจะอยู่ใน Q4
ขณะที่ตลาดน้ำมันอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน JPMorgan ระบุว่าความตึงเครียดก่อให้เกิดความเสี่ยงที่อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ พร้อมทั้งระบุว่าหากราคาน้ำมันปรับขึ้น $150 ต่อบาร์เรลจะทำให้ GDP การเติบโตของ GDP ทั่วโลกลดลงราว 0.9% ในช่วงครึ่งแรกของปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นมากเป็นเท่าตัวอยู่ที่ 7.2%
Reference: