เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ออกมาเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า การใช้มาตรการคว่ำบาตรด้านพลังงานต่อรัสเซียยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกอยู่ หากรัฐบาลมอสโกตัดสินใจเคลื่อนกำลังพลเข้ารุกล้ำอาณาเขตของยูเครน
ในขณะที่ยุโรปนำเข้าแก๊สธรรมชาติราว 40% จากที่พวกเขาใช้งานมาจาก Gazprom บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของรัสเซีย แต่ ฟอน เดอร์ เลเยน ก็ย้ำว่าการพึ่งพาดังกล่าวไม่มีความยั่งยืน และชี้ว่าทาง EU ได้เสาะหาช่องทางจัดหาที่เป็นตัวเลือกอื่น เช่น สหรัฐฯ
เธอกล่าวต่อไปว่า เริ่มมีการส่งมอบแก๊สจากแหล่งอื่นในปริมาณมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนที่แล้ว และในขณะนี้หากต้องมีการตัดขาดจากรัสเซียเพื่อเป็นการตอบโต้ EU ก็จะสามารถผ่านพ้นช่วงฤดูหนาวนี้ไปได้โดยไม่ต้องอาศัยแก๊สจากรัสเซีย
อย่างไรก็ตามนายกฯ มาริโอ ดรากี แห่งอิตาลีกลับโต้แย้งว่า การใช้มาตรการคว่ำบาตรใด ๆ ต่อรัสเซียไม่ควรจะรวมไปถึงเรื่องการนำเข้าพลังงาน ซึ่งอิตาลีถือเป็นหนึ่งในผู้ที่นำเข้าแก๊สจากรัสเซียมากที่สุดในบรรดาประเทศสมาชิกของ EU
ทางด้าน ฟอน เดอร์ เลเยน กล่าวยืนยันว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่จะไม่ตัดทางเลือกใด ๆ ออกไป โดยชี้ไปถึงปริมาณสัดส่วน 2 ใน 3 ของการส่งออกแก๊สจากรัสเซียก็มีจุดหมายไปยังยุโรป ซึ่งก็ถือเป็นถึงตัวเลขที่มีนัยสำคัญอย่างชัดเจนสำหรับแผนงบประมาณของรัสเซีย
เธอได้กล่าวย้ำว่า มันจะเป็นการเดินเกมที่ไม่ฉลาดสำหรับรัสเซียในการตัดขาดยุโรปออกจากการจัดหาแก๊สของพวกเขา และยังกล่าวรับรองว่า EU น่าจะหาแก๊สจากแหล่งอื่นผ่านทางเครือข่ายท่อส่งในภูมิภาคได้อย่างเพียงพอสำหรับทุกประเทศรวมถึงอิตาลี
ในขณะเดียวกัน เยนส์ สโตลเตนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ก็แสดงความเห็นด้วยต่อ EC ในการพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อลดการพึ่งพาแก๊สจากรัสเซีย
เขายังกล่าวเสริมว่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยนอกเหนือจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่มันยังช่วยลดความเปราะบางสำหรับการกระทำใด ๆ ในเชิงรุกล้ำจากรัสเซียที่หวังจะใช้แก๊สเป็นเครื่องมือทางการเมืองในอนาคต
สโตลเตนเบิร์ก ยังให้ความเห็นต่อประเด็นร้อนทางภูมิรัฐศาสตร์ในขณะนี้ว่า รัสเซียมีความพร้อมที่จะบุกเข้ายูเครนโดยปราศจากการกล่าวเตือนได้ทุกเมื่อ และคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าในขณะนี้รัฐบาลมอสโกมีกองกำลังที่จัดเตรียมไว้พร้อมเพื่อสำหรับการนี้
รัสเซียมีกำลังพลกว่า 150,000 นายที่คอยประจำการอยู่ตามจุดต่าง ๆ รอบบริเวณเขตชายแดนของยูเครน ในขณะที่รัสเซียยังมีกองกำลังอยู่ในเบลารุสซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรของพวกเขาที่มีพรมแดนติดกับทางตอนเหนือของยูเครน
ความเห็นของ สโตลเตนเบิร์ก เกิดขึ้นหลังจากการทดลองปล่อยขีปนาวุธทั้งแบบทิ้งตัวและแบบร่อนโดยกองทัพรัสเซียเมื่อวานนี้ เพื่อแสดงความพร้อมในการต่อสู้กับอาวุธนิวเคลียร์ของพวกเขา ตามที่ทำเนียบเครมลินเผยว่าเป็นแผนการฝึกซ้อมของหน่วยยุทธศาสตร์การป้องปราม
ในขณะที่ ฟอน เดอร์ เลเยน ก็ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับโอกาสในการบุกเข้าโจมตียูเครนของรัสเซียว่า ทาง EU ต้องการเห็นแนวทางการทูตเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดเอาไว้แล้ว
References :
