เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่กลุ่มผู้คลั่งไคล้ทองคำต่างยกยอโลหะมีค่าที่พวกเขารัก ว่าเป็นสุดยอดของสินทรัพย์ที่เก็บรักษามูลค่าได้และปกป้องผลกระทบที่มาจากอัตราเงินเฟ้อ จนเริ่มมีการส่งต่อแนวคิดดังกล่าวมาถึงกลุ่มคลั่งไคล้ Bitcoin ล่าสุด
โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานักลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีที่รวมถึง มาร์ค คิวบัน มหาเศรษฐีชาวอเมริกันก็ได้ออกมายืนยันว่า สกุลเงินดิจิทัลสามารถทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่า แถมยังมีแนวโน้มของราคาที่สูงขึ้นกว่าทองคำด้วยซ้ำ
พวกเขายังชี้ไปถึงประเด็นสถานะและตัวตนของเงินคริปโตที่อยู่นอกเหนือระบบการเงินแบบดั้งเดิม ว่าจะทำให้พวกมันมีความเป็นอิสระจากสกุลเงินดอลลาร์และสินทรัพย์อื่น ๆ ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปมากกว่า
CEO ของ CoinFlip เครือข่ายตู้ ATM ของ BTC ได้กล่าวไว้ว่า BTC เปรียบเสมือนตัวเก็บรักษามูลค่ามากกว่าระบบการชำระเงินในสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเป็นทองคำในรูปแบบดิจิทัลจากปริมาณที่มีอยู่จำกัดและไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลาง
หากพิจารณาแผนผังของราคาจะเห็นถึงความสามารถที่ยังผันแปรของทองคำระหว่างช่วงที่อัตราเงินเฟ้อทะยานขึ้นเป็นประวัติศาสตร์ เช่น ราคาทองคำฟิวเจอร์สที่ดูซบเซาในปี 1970 แม้อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้น โดยที่มันมีราคาสูงขึ้นเด่นชัดแค่เพียงปีที่แล้วหรือเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน
คุณสมบัติป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อของทองคำยังดูชวนดราม่ายิ่งขึ้นในปีนี้ เมื่อดัชนีราคาพุ่งขึ้นจนเป็นสถิตินับตั้งแต่ปี 2008 แต่ราคาทองคำกลับลดลง 11% ในขณะที่ BTC มีมูลค่าสูงขึ้นราว 40% ในปีนี้ แม้หลังผ่านการดิ่งลงของราคาครั้งใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา
หนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง BTC และสกุลเงินปกติคือ ปริมาณจำกัดของ BTC ที่จะมีออกมาเพียงแค่ 21 ล้านหน่วยเท่านั้น ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วการจำกัดปริมาณจัดหาของ BTC ก็น่าจะทำให้มันเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดอัตราเงินเฟ้ออย่างสมบูรณ์
จนถึงขณะนี้มี BTC ถูกสร้างขึ้นมาประมาณ 19 ล้านหน่วยแล้ว ซึ่งจากอัลกอริทึมที่ถูกวางไว้จะทำให้การขุดหา BTC ที่เหลือยิ่งยากลำบากขึ้นไปเหมือนกับการทำเหมืองทองคำ เนื่องจากเจ้าของเหมือง BTC จะต้องทำงานหนักขึ้นเป็น 2 เท่าในทุก ๆ รอบ 4 ปี
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้กล่าวไว้เมื่อไม่นานมานี้ว่า เขารับทราบถึงมุมมองของนักลงทุนบางส่วนที่เชื่อว่า BTC เป็นทางเลือกของทองคำในเวอร์ชันดิจิทัล แต่ก็ได้เตือนถึงจุดด้อยของคริปโทเคอร์เรนซีในแง่ของความผันผวน
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ทางฝั่งที่หนุนหลัง BTC ก็จะยกเอา Sortino ratio ที่เป็นดัชนีชี้วัดความผันผวนในด้านลบซึ่งเผยให้เห็นว่า ทองคำก็มีความผันผวนมากเช่นกันในระดับหนึ่ง แต่ด้วยการดีดตัวขึ้นของราคา BTC ก็ทำให้มันมีความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงมากกว่า
แต่สถิติสำคัญอย่างหนึ่งที่ทองคำมีเหนือกว่า BTC อย่างปฏิเสธไม่ได้ก็คือ “เวลา” ซึ่งในขณะที่ BTC เป็นสินทรัพย์ที่พึ่งเกิดขึ้นมาใไม่นานและมีสถานะเป็นตัวเก็บรักษามูลค่ามาได้ไม่ถึงทศวรรษ แต่ทองคำกลับทำหน้าที่นี้มานานนับพันปีแล้ว
และจากที่ พาวเวลล์ พูดถึงการซื้อทองคำหรือ BTC ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นเรื่องของการเก็งกำไร ก็มีข้อแนะนำที่ตรงกันทั้งจากนักวิเคราะห์และผู้คร่ำหวอดในวงการคริปโทเคอร์เรนซีและทองคำว่า ไม่ควรถือครองสินทรัพย์ดังกล่าวเกินกว่า 10% ของพอร์ตลงทุน
References :