ชาวอเมริกันกำลังประสบปัญหาจากต้นทุนของพลังงานที่สูงขึ้นในแต่ละวัน หลังราคาน้ำมันเชื้อเพลิงพุ่งทะยานขึ้นสูงสุดในรอบ 7 ปีที่ระดับ $3.40 ต่อแกลลอนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในรัฐเนวาดา, วอชิงตัน และโอเรกอนที่ราคาขยับขึ้นไปใกล้ระดับ $4
ยิ่งไปกว่านั้น Bank of America สถาบันการเงินชั้นนำของประเทศยังออกมากล่าวว่านี่อาจเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น และยังทำนายราคาของน้ำมันดิบที่ส่งผลต่อการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงว่าอาจไปไกลถึง $120 ต่อบาร์เรลในช่วงกลางปีหน้า
ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอาจเป็นการซ้ำเติมค่าครองชีพของชาวอเมริกันที่เพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้จากการทะยานขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และยังอาจบีบคั้นให้ภาคธุรกิจต้องประสบปัญหาจากการขาดแคลนแรงงานและวิกฤตในซัพพลายเชนมากขึ้น
จากการที่ประชาชนในสหรัฐฯคอยเฝ้าติดตามราคาที่ปั๊มน้ำมันและแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด ก็ได้ส่งผลต่อมุมมองในภาพรวมของประเทศ โดยเกือบ 2 ใน 3 ของชาวอเมริกันนิยามสภาพเศรษฐกิจว่ายากจนตามผลสำรวจที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้
ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้ BofA ประเมินราคาน้ำมันเอาไว้สูงลิบเริ่มต้นจากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังการฟื้นตัวจากภาวะวิกฤตของโรคระบาด โดยเฉพาะกับน้ำมันเชื้อเพลิงที่กลุ่มผู้บริโภคใช้สำหรับการเดินทางที่เพิ่มขึ้น
ความต้องการยังได้รับแรงหนุนจากราคาที่พุ่งขึ้นเป็นเท่าตัวในปีนี้ของแก๊สธรรมชาติ โดยล่าสุดมันมีราคาสูงขึ้นเทียบเท่ากับต้นทุนของน้ำมันดิบที่ $240 ต่อบาร์เรลในยุโรป ด้วยราคาแก๊สที่สูงขึ้นก็ทำให้ระบบสาธารณูปโภคและโรงงานบางแห่งต้องหันมาใช้น้ำมันเพราะมีราคาถูกกว่า
ไม่เพียงแต่อุปสงค์ที่มีมากขึ้นแต่ปัญหาถัดมาก็คืออุปทานที่มีลดลง โดยสหรัฐฯผลิตน้ำมันได้น้อยลงเมื่อเทียบกับยุคก่อนเกิด COVID-19 ในขณะที่บริษัทน้ำมันต่างได้รับแรงกดดันอย่างหนักถึงการแสดงความต่อเนื่องหลังจากที่เคยลงทุนไปมากมายกับโครงการขุดเจาะ
แม้ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นไปถึง 67% ในปีนี้แต่ครึ่งหนึ่งของบริษัทน้ำมันระดับแถวหน้าในสหรัฐฯกลับเพิ่มงบประมาณต่อปีขึ้นอีกเพียง 1% เมื่อเทียบกับแผนการดั้งเดิม และเลือกใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากไปกับการจ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นคืนแทน
อีกปัญหาสำหรับบริษัทน้ำมันก็คือพวกเขาลังเลที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเนื่องจากมุมมองของความต้องการที่ยังไม่แน่นอน หลังมีความกังวลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นทั่วโลก และยังไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าจุดพีคของความต้องการจะไปไกลจนถึงระดับไหน
แม้จะมีการร้องเรียนจากทำเนียบขาว แต่องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (OPEC) และกลุ่มชาติพันธมิตรก็ดูไม่สนใจที่จะขยับกำลังการผลิตเพิ่มจากแผนการเดิมที่วางเอาไว้ ท่ามกลางข้อกังขาบางส่วนที่มองว่าประเทศผู้ผลิตยังไม่สามารถทำตามแผนที่วางเอาไว้ได้ด้วยซ้ำ
ในขณะเดียวกันก็เริ่มมีรายงานว่าสหรัฐฯเตรียมการที่จะปล่อยน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) เพื่อเป็นการตอบโต้กลุ่ม OPEC ซึ่งอาจจะกระทำโดยอาศัยความร่วมมือกับประเทศผู้บริโภครายอื่น ๆ สำหรับการสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นกับราคาอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตามสถาบันการเงิน Goldman Sachs มองว่าการปล่อย SPR อาจเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่นเดียวกับ BofA ที่ประเมินว่ามันจะส่งผลกระทบต่อราคาเพียงเล็กน้อย ยกเว้นจะมีการปล่อยน้ำมันออกมาในปริมาณที่มหาศาลจริง ๆ
References :
https://edition.cnn.com/2021/11/03/business/gas-prices-oil-opec/index.html