ในบรรดาประเทศที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะนี้สหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก คือ 1.4 ล้านคน อัตราการเพิ่มในแต่ละวันเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1หมื่นราย ยอดผู้เสียชีวิตมากกว่า 8.3 หมื่นคน
คำถามคือ ทำไมสหรัฐฯถึงกลายเป็นประเทศที่มีการแพร่ระบาดสูงสุด โดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลยแม้แต่น้อย
เป็นที่ทราบกันดีว่าวัฒนธรรมของอเมริกันชนนั้น “เสรีนิยม” แบบสุดโต่ง แม้ผู้ว่าการบางรัฐจะประกาศใช้มาตรการ “ล็อคดาวน์” แต่กลับถูกต่อต้านและมีผู้ออกมาขุมนุมคัดค้านเนื่องจากกระทบกับการค้าขาย บ้างก็อ้างว่ากระทบต่อสิทธิมนุษชน
ภาพการชุมนุมที่ผู้คนไม่ใส่หน้ากากอนามัย หรือแม้แต่ล่าสุดการออกมาอาบแดด ย้ำให้เห็นชัดเจนว่าชาวอเมริกันส่วนหนึ่งไม่ยินดีที่จะปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด
ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ไม่เห็นด้วยกับการล็อคดาวน์ และมีท่าทีท้าทายการแพร่ระบาดโดยเชื่อว่าเชื้อโคโรนามีต้นตอมาจากประเทศจีน
คาดการณ์กันว่า ภายในเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้ สหรัฐฯจะมีผู้ติดเชื้อมากกว่า2ล้านคน และจะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1แสนราย โดยจะเป็นจำนวนที่มากกว่าเมื่อครั้งที่สหรัฐนำทหารไปรบในสงครามเวียดนาม
นายแพทย์แอนโทนี ฟอซี ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐ และเป็นนายแพทย์ใหญ่ของคณะทำงานเฉพาะกิจด้านการควบคุมไวรัสโควิด-19 ของทำเนียบขาว เตือนว่า รัฐต่างๆ ในสหรัฐจะเผชิญกับผลกระทบร้ายแรงตามมา หากมีการเปิดเศรษฐกิจก่อนเวลาอันควร ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19ยังคงแพร่ระบาด
“สิ่งที่ผมกังวลก็คือว่า ในพื้นที่บางแห่ง เมืองบางเมือง และรัฐบางรัฐ หรือไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม กำลังมองข้ามจุดอันตรายและรีบเปิดเศรษฐกิจก่อนเวลาอันควร โดยไม่คำนึงถึงความสามารถในการรับมือกับการแพร่ระบาดอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ การเร่งรีบเช่นนี้จะทำให้เราเริ่มเห็นเค้าลางของการแพร่ระบาดระลอกใหม่ และผลที่จะเกิดขึ้นตามมานั้น อาจร้ายแรงอย่างมาก”
ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดในสหรัฐฯนั้นหากเกิดซ้ำระลอกสองขึ้นมาอาจส่งผลกระทบบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะราคาน้ำมันและราคาทองคำที่ค่อนข้างจะผันแปรได้ง่าย
ส่วนในเอเชีย สถานการณ์การแพร่ระบาดซ้ำก็เริ่มมีให้เห็นปรากฏในประเทศจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ จากตัวเลขของผู้ติดเชื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ในจีนรัฐบาลได้สั่งให้ตรวจหาเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ กับชาวเมืองอู่ฮั่นกว่าสิบล้านชีวิต หวั่นพบการระบาดรอบสอง หน่วยงานเฉพาะกิจรับมือการระบาดของโควิด-19 ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ศูนย์กลางการระบาดของโควิด-19 แห่งแรกในโลก สั่งให้ทุกเขตในเมืองอู่ฮั่น ที่มีประชากรกว่า 14 ล้านคน เสนอแผนระยะ 10 วัน ในการแจกจ่ายอุปกรณ์การตรวจหาโควิด-19 รอบใหม่
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจีน ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ต่อการระบาดของโคโรนาไวรัส เพื่อไม่ให้เกิดจุดระบาดใหญ่ในบริเวณใหม่ แม้ว่าจีนมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงจากช่วงวิกฤติก่อนหน้านี้ เป็นเพราะพบรายงานการติดเชื้อใหม่ ใน 7 มณฑล รวมถึงมณฑลหูเป่ย ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของการระบาดใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว
เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ เมื่อทางการเริ่มกังวลถึงการระบาดระลอกสอง หลังเหตุพบผู้ติดเชื้อในสถานบันเทิงที่กรุงโซลจึงได้สั่งการให้ติดตามข้อมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่และการใช้บัตรเครดิตของทุกคนที่ไปไนท์คลับในช่วงเวลาที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ เพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 รอบสองในประเทศ ซึ่งล่าสุดพบผู้ติดเชื้อมากกว่า 100 คน ที่เกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อโควิดในไนท์คลับแล้ว
มีรายงานว่า รัฐบาลกรุงโซลสั่งปิดบาร์และไนท์คลับมากกว่า 2,100 แห่งหลังข่าวเรื่องการระบาดครั้งล่าสุดเผยแพร่ออกไป นอกจากนี้อาจสั่งเลื่อนการเปิดโรงเรียนทั่วประเทศ จากเดิมที่มีกำหนดเปิดเรียนอีกครั้งในสัปดาห์นี้
การแพร่ระบาดระลอกสองในจีนกับเกาหลีใต้อาจส่งผลกระทบกับมาตรการการแพร่ระบาดของประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียอีกครั้ง โดยเชื่อได้ว่ารัฐบาลไทยจะยังไม่เปิดให้มีการเดินทางเข้าประเทศจากจีนและเกาหลีใต้ ในเร็วๆนี้
อย่างไรก็ตาม การระบาดระลอกสองนี้อาจถูกจับตาจากการผ่อนปรนมาตรการล็อคดาวน์ แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่ไว้วางใจการกำเริบจากผู้ที่เคยติดเชื้อและเข้าทำการรักษาจนสามารถกลับบ้านได้มาแล้ว
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การระบาดระลอกสองจะส่งผลต่อการขึ้นของราคาทองคำ ปรพฝะกอบกับราคาทองที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้ากดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯลดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 0 ทั้งนี้หากธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยลงต่ำกว่า 0 ผลตอบแทนพันธบัตรก็มีแนวโน้มว่าจะติดลบตาม นักลงทุนจึงหันเข้าหาทองคำ
อย่างไรก็ตาม คาดกันว่าภายในสัปดาห์นี้ต้องจับตาการแพร่ระบาดของสหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นจะเป็นอย่างไร แม้การแพร่ระบาดในไทยจะชะลอตัวแต่ปัจจัยภายนอกประเทศอาจทำให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นไปอีก รวมทั้งรัฐบาลไทยจะมีท่าทีอย่างไรกับการระบาดระลอกสองที่อาจส่งผลกระทบต่อการผ่อนปรนมาตรการล็อคดาวน์ในวันที่ 17 พ.ค.นี้