ราคาน้ำมันไต่ระดับขึ้นสูงสุดในรอบหลายปีหลังการประชุมขององค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) เมื่อช่วงต้นเดือนได้ข้อสรุปในการรักษาแผนการผลิตเดิม จนทำให้นักวิเคราะห์หลายเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งขึ้นไปจนถึงระดับ $100 ต่อบาร์เรล
OPEC และกลุ่มชาติพันธมิตรที่รวมตัวกันภายใต้ชื่อ OPEC+ ได้กล่าวไว้เมื่อวันจันทร์ว่า มีมติที่จะดำเนินการตามนโยบายดั้งเดิมในการทยอยเพิ่มผลผลิตที่ 400,000 บาร์เรลต่อวันให้กับตลาดในแต่ละเดือนไปจนถึงเดือนพ.ย.
อันที่จริงหลายฝ่ายก็ได้คาดหมายถึงการตัดสินใจในลักษณะนี้ของพวกเขา แม้จะมีบางส่วนที่คาดหวังว่าแรงกดดันจากสหรัฐฯและอินเดียที่ต้องการจะลดระดับราคาน้ำมันลง จะช่วยโน้มน้าวให้ทาง OPEC+ ยอมเพิ่มปริมาณการจัดหาขึ้นไปอีก
ล่าสุดในช่วงเปิดตลาดสหรัฐฯวันนี้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในตลาดฟิวเจอร์สขยับขึ้น 0.7% มาอยู่ที่ $82.53 ต่อบาร์เรล ในขณะที่มูลค่าของน้ำมันดิบ WTI ก็ขยับขึ้น 0.8% ด้วยอัตรา $78.90 ต่อบาร์เรล
ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลวอชิงตันพยายามที่จะเรียกร้องให้ OPEC+ กระตุ้นอัตราการผลิตเพื่อรับมือกับราคาที่สูงขึ้น ท่ามกลางความกังวลของอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นว่าอาจเป็นตัวขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากภาวะวิกฤต COVID-19
นักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics ให้ความเห็นว่า คำปฏิเสธของทาง OPEC+ จะหมายถึงการขาดดุลทางพลังงานของตลาดในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งน่าจะทำให้ราคาของน้ำมันยังคงลอยตัวอยู่ในระดับสูงไปอีกอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้
แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ OPEC+ จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ตามเป้าหมายที่เคยวางไว้เมื่อไร เนื่องจากในเดือนส.ค.พวกเขายังมีผลผลิตที่น้อยกว่าแผนการที่วางไว้ โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากปัญหาการติดขัดในแองโกลาและไนจีเรีย
สิ่งที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นก็คือ หากผลผลิตของทางองค์การและกลุ่มชาติพันธมิตรยังคงไปไม่ถึงเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ ก็อาจทำให้ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูงยาวไปจนถึงปีหน้า
จากเมื่อเดือนก.ย.นักวิเคราะห์จาก Bank of America เปิดเผยว่า อาจมีการขยับเป้าหมายของราคาน้ำมันขึ้นไปยัง $100 ต่อบาร์เรล หากมีอุณหภูมิที่หนาวจัดกว่าที่คาดไว้ในช่วงฤดูหนาวจนเกิดปัญหาความขาดแคลนขึ้นอย่างหนัก
ในขณะเดียวกันนักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs สถาบันการเงินชื่อดังอีกแห่งก็อัปเกรดผลทำนายราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในช่วงปลายปีนี้ขึ้นจากเดิมที่ $80 ไปเป็น $90 ต่อบาร์เรล โดยอ้างอิงถึงการฟื้นตัวของความต้องการทั่วโลกที่เติบโตขึ้นไวกว่าที่คาดไว้
แต่นักวิเคราะห์จาก Eurasia Group กลับมองถึงการชะลอตัวของอุตสาหกรรมในจีน, การล่มสลายของบริษัท Evergrande, แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ และการติดขัดจากปัญหา COVID-19 จะกลายเป็นตัวบั่นทอนความต้องการน้ำมันทั่วโลกในช่วงตลอด 12 เดือนข้างหน้า
ภายในระยะเวลาอันสั้นความหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาวของซีกโลกเหนือจะเป็นสาเหตุหลักของปัญหาการขาดแคลนพลังงาน โดย Eurasia Group คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ตอนสิ้นปีเอาไว้ที่ระดับ $75 ต่อบาร์เรล ก่อนที่จะลดลงเหลือ $67 ในปีหน้า
References :