รู้หรือไม่ – สหรัฐฯพึ่งส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Theodore Roosevelt เข้าไปยังทะเลจีนใต้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ปธน. โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯกำลังสานต่อแนวทางความสัมพันธ์อันซับซ้อนและตึงเครียดกับจีนต่อจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำคนก่อน ซึ่งไล่เรียงมาตั้งแต่สงครามการค้ามาจนถึงมาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศคู่แข่ง
คณะรัฐบาลของ ทรัมป์ ใช้เวลาตลอด 4 ปีในการสร้างแรงกดดันต่อจีน ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการสร้างบรรยากาศอันร้อนระอุด้วยการอัดมาตรการกีดกันเพิ่มเติมกับ Xiaomi และธุรกิจยักษ์ใหญ่รายอื่น ๆ ของจีนเพียงไม่กี่วันก่อนการก้าวลงจากตำแหน่งของเขา
แม้ ไบเดน ดูจะมีแนวโน้มในการใช้นโยบายที่สามารถคาดเดาได้และเป็นไปในเชิงการทูตมากกว่า ทรัมป์ แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็มองว่า คณะรัฐบาลชุดใหม่ไม่ได้มีแนวโน้มที่จะผ่อนผันแรงกดดันต่อจีนมากนักทั้งในด้านการค้าและเทคโนโลยี
ในขณะที่คณะรมต.ชุดใหม่ของ ไบเดน ยังมีการออกตัวแรงถึงเรื่องนี้ หลัง เจเน็ต เยลเลน ที่ถูกวางให้เป็นรมว.คลังคนต่อไปได้เอ่ยคำมั่นไว้เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ก่อนว่า พร้อมที่จะขับเคี่ยวกับการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม, ไม่ยุติธรรม และผิดกฎหมายของจีน
คณะทำงานของ ทรัมป์ ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงการค้าเฟส 1 ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “สัญญาพักรบ” กับรัฐบาลปักกิ่งเมื่อช่วงต้นปี 2020 หลังจากผ่านระยะเวลาเกือบ 2 ปีในการเปิดฉากสงครามการค้าด้วยการตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าจากจีน
ภายใต้ข้อตกลงนี้ทั้ง 2 ประเทศยินยอมที่จะลดอัตราภาษี และทำให้จีนรอดพ้นจากการถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมกับสินค้ามูลค่าเกือบ 1.6 แสนล้านดอลลาร์ ในขณะที่จีนยังตกลงจะสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯเป็นมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ตลอดในช่วงหลายปีนับจากนั้น
หากแต่ดีลดังกล่าวยังไม่เคยขยับไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ โดยข้อมูลจากสถาบัน Peterson Institute for International Economics เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าจากจีนยังคืบหน้าไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียวจากปริมาณที่ตั้งเป้าไว้
และยังมีประเด็นอื่นที่ค้างคาอยู่อีกมากมาย เช่น ทรัมป์ ไม่เคยเคลียร์ปัญหาที่มีการตั้งแง่กับรัฐบาลปักกิ่ง อย่างการเล่นพรรคเล่นพวกกับบริษัทรัฐวิสาหกิจของตนเองและข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการขโมยเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
ในขณะที่การยกเลิกกำแพงภาษีดูจะไม่ได้เป็นประเด็นที่สำคัญสำหรับ ไบเดน โดยหลายฝ่ายได้กล่าวว่า คณะรัฐบาลชุดใหม่ต้องการจะพัฒนากลุ่มพันธมิตรของตนเองในการสร้างยุทธศาสตร์ทางการค้าที่สามารถคาดการณ์ได้มากขึ้น
ไบเดน ยังจะต้องคอยนำทางปัญหาความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นทั้งในด้านเทคโนโลยีและธุรกิจ จากการที่ 2 พรรคการเมืองใหญ่ของสหรัฐฯต่างสนับสนุนมุมมองด้านภัยคุกคามความมั่นคงที่มาจากจีน ซึ่งก็ทำให้แนวโน้มดังกล่าวไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
แม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ไบเดน จะเดินหน้าอย่างไรกับประเด็นที่ยังค้างคาอยู่ในศาล จากความพยายามของรัฐบาลชุดก่อนในการแบน TikTok และ WeChat แต่เชื่อว่าแม้จะมีหนทางของการกลับมาเจรจากันก็ยังน่าจะมีกลยุทธ์อื่น ๆ ในการตัดขาดกับบริษัทเทคโนโลยีของจีนตามออกมา
นักวิเคราะห์หลายคนยังเชื่อว่า ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯคือหนึ่งในความเสี่ยงที่สำคัญสุดของปี 2021 จากแนวโน้มที่ ไบเดน จะปลุกระดมให้สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น และอินเดียทำการโต้กลับทิศทางความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของจีน
References :
https://edition.cnn.com/2021/01/21/economy/china-trade-tech-war-biden-intl-hnk/index.html