รู้หรือไม่ – WHO เปิดเผยข้อมูลว่าอินเดียมีสัดส่วนของผู้ป่วย COVID-19 คิดเป็น 46% จากทั่วโลกในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในอินเดียระลอก 2 ที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา กำลังสร้างความหวั่นวิตกในหมู่ผู้เชี่ยวชาญที่มองว่า สถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายลงของอินเดียจะเป็นตัวขัดขวางความพยายามยุติภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลก
อินเดียมีรายงานผู้ติดเชื้อรายวันทะลุหลัก 300,000 คนมาตั้งแต่เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน และทำให้ยอดรวมของผู้ติดเชื้อในประเทศมีไม่ต่ำกว่า 21.4 ล้านคน ในขณะที่มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 234,000 ราย ตามรายงานล่าสุดของวันนี้
ยังมีสัญญาณเตือนของการแพร่ระบาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านทั้งเนปาลและศรีลังกา รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ อย่างฮ่องกงและสิงคโปร์ ซึ่งภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นในอินเดียมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบไปทั่วโลกได้จากแง่มุมต่าง ๆ
เริ่มจากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้เคยกล่าวเตือนไว้ว่า การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในประเทศใด ๆ จะทำให้มีโอกาสเกิด COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ขึ้น ซึ่งพวกมันอาจมีความสามารถหลบเลี่ยงภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีนและการติดเชื้อในอดีต
จากข้อเท็จจริงได้มีการตรวจพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B.1.617 เป็นครั้งแรกในอินเดียตั้งแต่เดือนต.ค.ปีก่อน และถูกขนานนามว่าเป็น “การกลายพันธุ์คู่” โดยสายพันธุ์ดังกล่าวยังมีรายงานการตรวจพบในอีกอย่างน้อย 17 ประเทศ เช่น สหรัฐฯ, UK และสิงคโปร์
จนถึงขณะนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จำแนกให้ B.1.617 อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่าจับตามองจากแนวโน้มที่จะมีการแพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้น รวมถึงมีความอันตรายและการต้านทานวัคซีนในปัจจุบันได้สูงขึ้น ซึ่งทางองค์การกล่าวว่ายังต้องใช้เวลาศึกษาเพิ่มเติม
นอกจากนี้ในฐานะการเป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลก ภาวะวิกฤตด้านสาธารณสุขที่เกิดขึ้นในอินเดียจึงส่งผลกระทบให้เกิดการระงับการส่งออกวัคซีน COVID-19 เนื่องจากความจำเป็นของการใช้งานภายในประเทศที่สูงขึ้น
สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (SII) ผู้ผลิตวัคซีนหลักของประเทศ ได้รับสิทธิ์ในการผลิตวัคซีนของ AstraZeneca โดยส่วนหนึ่งของผลิตผลที่ออกมายังถูกคาดหมายว่าจะส่งมอบให้กับโครงการ COVAX เพื่อแจกจ่ายให้กับประเทศยากจนทั่วโลก
ในขณะที่มีเพียงกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่มีปริมาณวัคซีนทั้งในสต็อกและจากออเดอร์ที่รอส่งมอบอยู่อย่างเกินพอ ความล่าช้าของการส่งออกจากอินเดียจะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำและสถานการณ์ภายในประเทศที่มีรายได้ต่ำดูยิ่งน่าเป็นห่วงขึ้นไปอีก
ปัญหาถัดมาก็คือมุมมองของเศรษฐกิจทั่วโลก เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก และจากสถานการณ์ล่าสุดก็ทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนปรับลดระดับผลทำนายตัวเลข GDP ของอินเดียลง
จากเมื่อเดือนก่อนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เผยผลคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจของอินเดียเอาไว้ที่ 12.5% ในรอบปีบัญชีจนถึงมี.ค. 2022 หลังจากมีการหดตัวลง 8% ในรอบปีบัญชีก่อนหน้านั้น
นอกจากนี้การระบาดในระลอกล่าสุดของอินเดียยังทำให้หลาย ๆ ประเทศกำหนดข้อห้ามของการเดินทาง ซึ่งส่งผลเสียโดยตรงต่อสายการบิน, สนามบิน และธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการเดินทาง
References :
