เศรษฐกิจของสหรัฐฯมีการขยายตัวในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางระหว่างเดือนต.ค.จนถึงช่วงกลางเดือนพ.ย. เมื่อกิจการหลายแห่งต้องเผชิญกับปัญหาจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและการขาดแคลนแรงงาน ตามรายงานผลสำรวจจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวานนี้ระบุว่า ดัชนีราคามีอัตราการขยับตัวขึ้นในระดับปานกลางถึงขั้นสูง และกล่าวถึงต้นทุนที่สูงขึ้นในหลายภาคส่วนจากความต้องการที่เข้มแข็งสำหรับวัตถุดิบ, ความท้าทายในระบบโลจิสติกส์ และสถานการณ์ในตลาดแรงงาน
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ได้กล่าวกับคณะกรรมาธิการสว.ฝ่ายการธนาคารว่า ทางหน่วยงานกำลังพิจารณาเร่งการสิ้นสุดโครงการซื้อพันธบัตรให้เร็วขึ้นกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ 2-3 เดือน จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ
Fed เริ่มต้นลดระดับโครงการซื้อสินทรัพย์เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจจากผลกระทบของภาวะวิกฤต COVID-19 ภายในเดือนนี้ โดยวางกำหนดการที่จะลดแผนการซื้อพันธบัตร $1.2 ล้านต่อเดือนให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมิ.ย.ปีหน้า
ซึ่งทางกลุ่มผู้กำหนดนโยบายของ Fed มีแผนการจะร่วมกันชั่งน้ำหนักถึงการร่นระยะเวลาดังกล่าวในการประชุมระหว่างวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้ เพื่อเปิดช่องทางเผื่อให้กับความเป็นไปได้สำหรับการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นภายในปีหน้า
บบรดานักลงทุนมองเห็นโอกาส 73% ในการที่ Fed จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นจากระดับปัจจุบันที่อยู่ใกล้กับศูนย์ในเดือนมิ.ย.ปีหน้า ตามสัญญาณอ้างอิงโดย FedWatch Tool ของ CME Group
อัตราเงินเฟ้อยังคงขยับตัวอยู่ที่ระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2% ที่ Fed วางไว้กว่า 2 เท่าอย่างต่อเนื่อง และ พาวเวลล์ ก็กล่าวยอมรับต่อคณะกรรมาธิการสว.ว่า สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่มีแนวโน้มที่จะคลี่คลายจนกว่าจะถึงช่วงครึ่งหลังของปีหน้า
ในรายงานยังกล่าวถึงหลายบริษัทที่เริ่มส่งผ่านภาระของต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังลูกค้า ในขณะที่บางภาคส่วนพบปัญหาในการขยับราคาขึ้น โดยมีหลายกิจการที่กล่าวถึงความพยายามที่จะตรึงราคาไว้อย่างต่อเนื่อง และมีบางส่วนที่สูญเสียลูกค้าไปจากการปรับราคาขึ้น
ยังมีรายงานจาก Fed ทั้ง 12 สาขาที่เผยถึงความยุ่งยากในการรับสมัครคนเข้ามาทำงาน เช่น กิจการขนส่งขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ไม่สามารถหาคนทำงานในกะกลางคืนได้ จนต้องประกาศเพิ่มค่าแรงจาก $13 ไปเป็น $21 ต่อชม.
ด้วยอัตราการว่างงานในปัจจุบันที่ 4.6% ทางกลุ่มผู้กำหนดนโยบายต่างก็เริ่มมีความเชื่อเพิ่มขึ้นว่า จากแรงงานที่ขาดหายไป 3 ล้านคนเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดภาวะวิกฤต คงจะไม่สามารถปิดช่องว่างตรงนี้ได้เนื่องจากอัตราการเกษียณที่สูงขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของค่าแรงยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง เมื่อพิจารณาถึงอัตราการลาออกในระดับสูงก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความมั่นใจของบรรดาลูกจ้างที่ลาออกจากงานว่าพวกเขาจะสามารถหางานใหม่ที่พร้อมจะจ่ายค่าแรงสูงกว่า
นอกจากนี้ Fed ยังกล่าวถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่สูงขึ้นระดับหนึ่ง และมุมมองในภาพรวมของกิจกรรมต่าง ๆ ยังคงเป็นไปในทิศทางบวกโดยส่วนใหญ่ แต่ยังไม่มีความแน่นอนเกี่ยวกับปัญหาจากระบบซัพพลายเชนและการขาดแคลนแรงงานว่าจะลดลง
References :