มีสัดส่วนของนักลงทุนเป็นจำนวนมากที่คาดหมายว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะรักษานโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นระยะเวลาที่นานขึ้น ตามผลสำรวจล่าสุดของธนาคาร Deutsche Bank
จากผลสำรวจที่มีนักลงทุนมืออาชีพกว่า 600 คนทั่วโลกร่วมแสดงความเห็นระหว่างวันที่ 6-8 ต.ค. ได้ผลลัพธ์ถึง 42% ที่มองว่า Fed จะยังรักษาท่าทีสายพิราบต่อไปอีก ในขณะที่ 24% เชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายตามที่คาดไว้ และอีก 33% คาดหวังท่าทีสายเหยี่ยวเพิ่มขึ้น
ส่วนความคาดหวังในการยื้อนโยบายสายพิราบของ ECB อยู่ที่ 46% เปรียบเทียบกับแนวโน้มของการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินตามที่คาดการณ์กันไว้ 26% และมีเพียง 21% ที่เชื่อว่าจะมีการหันมาใช้นโยบายแบบรัดกุมล่วงหน้า
อย่างไรก็ตามมุมมองดังกล่าวกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่ 45% คาดหวังการเร่งใช้นโยบายสายเหยี่ยว โดยที่ 20% มองว่าจะมีความเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามคาด และอีก 20% ที่เชื่อว่าจะนโยบายสายพิราบจะยืดยาวออกไปอีก
ทั้งนี้ แอนเดรีย เอนเรีย ประธานคณะกรรมการฝ่ายกำกับดูแลของ ECB ได้แจ้งต่อคณะกรรมการฝ่ายเศรษฐกิจและกิจการด้านการเงินของรัฐสภายุโรปเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนว่า แม้มุมมองของเศรษฐกิจจะดูดีขึ้นแต่ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องระมัดระวัง
ระหว่างการประชุมในเดือนก.ย. ECB ได้ยืดเวลาของการตัดสินใจที่สำคัญหลายเรื่องออกไปยังเดือนธ.ค. แต่หลังจากนั้นราคาพลังงานที่สูงขึ้นก็ผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อในเขตยูโรโซนพุ่งขึ้น3.4% ในแบบปีต่อปี และทางนักวิเคราะห์ยังคาดหมายถึงอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร HSBC ได้ให้ความเห็นไว้เมื่อวันจันทร์ว่า แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกันในกลุ่มสมาชิกสภาปกครอง แต่ คริสทีน ลาการ์ด ประธาน ECB ดูมีแนวโน้มที่จะรักษานโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปในการประชุมเดือนนี้
ในขณะเดียวกัน BoE มีภารกิจในการหาจุดสมดุลระหว่างการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่มีต่อสัญญาณของการชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 3 และความเสี่ยงที่กำลังเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4
โดยมีความเห็นล่าสุดจาก แอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการ BoE เกี่ยวกับการขยับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ว่า ได้นำไปสู่การสรุปผลของ AXA สถาบันการเงินชั้นนำของประเทศ ถึงแนวทางจัดเตรียมการคุมเข้มนโยบายการเงินเอาไว้ล่วงหน้า
ในขณะที่ข้อมูลล่าสุดของอัตราเงินเฟ้ออันร้อนแรงในสหรัฐฯกำลังกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า Fed อาจจะถูกบีบบังคับให้ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วกว่าที่คาดหมายเอาไว้
รายงานบันทึกจากการประชุมล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลาง (FOMC) ยังมีข้อบ่งชี้ว่า ทางสถาบันอาจเริ่มต้นการลดระดับของโครงการเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนตั้งแต่เดือนหน้า
อย่างไรก็ตาม โทมัส บาร์กิน ประธาน Fed สาขาริชมอนด์ได้กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ยังต้องการข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นก่อนที่ Fed จะเริ่มพิจารณาการปรับอัตราดอกเบี้ย และเผยมุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับการเริ่มต้นลดระดับการซื้อสินทรัพย์ในเดือนพ.ย.
References :
