ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทะยานขึ้นประมาณ 21% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 จนทำให้พวกมันกลายเป็นกลุ่มสินทรัพย์ที่ทำผลงานโดดเด่นที่สุดทั้งในตลาดหุ้นของสหรัฐฯ, EU, กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และตลาดในเอเชียที่ไม่รวมญี่ปุ่น
ดัชนีหุ้นในกลุ่มที่ไล่เรียงมาตั้งแต่พลังงาน, เกษตรกรรม, โลหะอุตสาหกรรม และโลหะมีค่าต่างทะยานขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกับ Bitcoin ก่อนที่มูลค่าของคริปโทเคอร์เรนซียอดนิยมจะค่อย ๆ ดิ่งลง หลังพุ่งขึ้นไปสร้างสถิติสูงสุดที่ระดับเกินกว่า $63,000 ในเดือนเม.ย.
จากบรรดาสินค้าโภคภัณฑ์หลัก น้ำมันดิบ WTI ครองอันดับ 1 ด้วยราคาที่ดีดตัวขึ้นเกือบ 52% จากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้และการจัดหาที่จำกัด ในขณะที่โลหะมีค่ากลับมีผลงานที่หม่นหมองด้วยราคาของทองคำและเงินที่ลดลง 6% และ 1% ตามลำดับ
ตัวเลขดังกล่าวเป็นผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงจากพฤติกรรมราคาในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2020 จากเงินที่เคยเป็นผู้ชนะเลิศด้วยราคาที่พุ่งขึ้นเกือบ 48% และทองคำที่ 25% ในขณะที่น้ำมันรั้งท้ายด้วยราคาที่ดิ่งลงถึง 20%
ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในขณะนี้ โดยที่หลายภาคส่วนกำลังมาเปิดทำการได้อีกครั้ง ก็ทำให้อุปสงค์ของน้ำมันเชื้อเพลิงทะยานขึ้นจากความต้องการที่อัดอั้นของชาวอเมริกัน
โดยเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ยอดผู้โดยสารเครื่องบินพาณิชย์ในสหรัฐฯพุ่งขึ้นสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 และในช่วงเทศกาลหยุดยาวของวันที่ 4 ก.ค.ก็มีรายงานของสถานีเชื้อเพลิงหลายแห่งทั่วประเทศที่ไม่มีน้ำมันเพียงพอจะให้บริการ
ในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้อาจเป็นเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนไปกับบริษัทน้ำมัน โดย Moody’s Analytics ได้เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ว่า บริษัทน้ำมันอาจจะมีรายรับเพิ่มขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยถึง 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ยังมีรายงานจาก Bloomberg ที่เปิดเผยว่า การบริโภคน้ำมันในสหรัฐฯพึ่งสร้างสถิติใหม่ไปเมื่อช่วงต้นเดือนก.ค. โดนส่วนหนึ่งมีผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม เช่น พลาสติก, ยางมะตอย และน้ำมันหล่อลื่น
ในขณะเดียวกันแม้ทองคำจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้แต่แนวโน้มการกลับตัวของตลาดกระทิงก็จะทำให้ยังไปต่อได้จากหลักพื้นฐานที่ดูเข้มแข็ง โดยมีปัจจัยสำคัญอยู่ที่เรื่องของอัตราเงินเฟ้อ
เป็นที่ทราบกันดีว่าราคารถยนต์มือสองในสหรัฐฯมีการดีดตัวขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในเดือนมิ.ย. เช่นเดียวกับดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สำหรับอุปสงค์ขั้นสุดท้ายที่ไม่รวมกับสินค้ากลุ่มอาหารและเชื้อเพลิงก็ทะยานขึ้นถึง 5.6% ในแบบปีต่อปี
นั่นจึงทำให้นักลงทุนพากันมองหาสินทรัพย์อย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากพันธบัตรรัฐบาล เพราะแม้แต่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 30 ปีก็ยังอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2% และยิ่งดูด้อยค่าลงไปอีกเมื่อนำมาเทียบกับปัจจัยของเงินเฟ้อในปัจจุบัน
ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่ควรพิจารณาสำหรับการลงทุนไปกับทองคำหรือหุ้นธุรกิจเหมืองทองซัก 10% ของพอร์ตการลงทุน เพื่อช่วยรองรับผลกระทบจากโอกาสที่เศรษฐกิจอาจเลวร้ายลง, วิกฤตหนี้สาธารณะ และความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันอื่น ๆ
References :