การยกเลิกกำหนดการประชุมเมื่อวานนี้ขององค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออกและกลุ่มชาติพันธมิตรที่รวมตัวกันภายใต้ชื่อ OPEC+ เป็นการทำลายความหวังของข้อตกลงในการเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อขานรับกับปริมาณความต้องการน้ำมันทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น
ราคาน้ำมันขยับตัวขึ้นหลังจากข่าวเลื่อนการประชุมออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยน้ำมันดิบเบรนท์ที่ราคาของมันใช้เป็นตัวอ้างอิงที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมทั่วโลกปรับตัวขึ้น 1% จนมาอยู่ที่ $77 ต่อบาร์เรลหลังทะยานขึ้นมาประมาณ 50% แล้วในปีนี้
เหตุดราม่าของกลุ่ม OPEC+ ยังเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับสถานการณ์ในสหรัฐฯที่ฉลองวันชาติไปเมื่อวันที่ 4 ก.ค.ด้วยราคาน้ำมันในประเทศที่สร้างสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี โดยราคาเฉลี่ยต่อแกลลอนอยู่ที่ $3.13 ซึ่งขยับขึ้น $0.95 หรือคิดเป็น 44% จากเมื่อ 1 ปีก่อน
ทางด้านน้ำมันดิบ WTI ของสหรัฐฯก็ไต่ระดับขึ้นมาอยู่เหนือ $75 ต่อบาร์เรลได้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปีเมื่อวันพฤหัสบดีก่อน และกลายเป็นการฟื้นตัวที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจากเม.ย.ปีก่อนเมื่อราคาดิ่งลงไปจนถึงขั้น -$40
ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้รับแรงหนุนมาจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นหลังมีการคลายมาตรการควบคุมในหลาย ๆ พื้นที่ ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนต่างก็เห็นตรงกันว่า มีเพียง OPEC+ เท่านั้นที่จะผลักดันปริมาณน้ำมันออกมาให้ตรงตามความต้องการในปัจจุบัน
แต่การจัดหาน้ำมันยังคงถูกสกัดกั้นจากข้อตกลงของกลุ่ม OPEC+ โดยที่ผ่านมากลุ่มประเทศผู้ผลิตได้แต่เพียงทยอยเพิ่มกำลังการผลิตกลับคืนมาทีละขั้น หลังการกลับปรับลดลงอย่างฮวบฮาบจากเหตุการณ์ราคาน้ำมันร่วงลงต่ำกว่าศูนย์ในปีก่อน
จากแหล่งข่าวของ Reuters ระบุว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยอมรับข้อเสนอของซาอุดิอาระเบียและกลุ่มประเทศสมาชิกอื่น ๆ ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นประมาณ 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนส.ค.
แต่ UAE ปฏิเสธที่จะขยายแผนการปรับลดกำลังการผลิตออกไปจนถึงสิ้นปี 2022 หากไม่มีการปรับฐานข้อมูลของการผลิตในปัจจุบัน พร้อมกับอ้างว่าอาเซอร์ไบจาน, คาซัคสถาน, คูเวต และไนจีเรียต่างก็เห็นด้วยกับพวกเขา
UAE ที่ผ่านการลงทุนอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อการกระตุ้นกำลังผลิตของตนเองได้ออกมาโต้แย้งอย่างจริงจังว่า ฐานข้อมูลอ้างอิงที่ถูกนำมาใช้ในการคำนวณเพื่อปรับลดผลิตผลเชื้อเพลิงเป็นตัวเลขที่ต่ำเกินไป
ซูฮาอิล อัล มาซโรอี รมว.พลังงานของ UAE ได้กล่าวไว้เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ข้อตกลงในปัจจุบันเป็นไปอย่างไม่ยุติธรรมเนื่องจากพวกเขาต้องลดกำลังการผลิตลงไปถึง 1 ใน 3 ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ สามารถเดินกำลังการผลิตได้เกือบเต็มประสิทธิภาพ
เป็นระยะเวลาหลายปีที่ UAE และซาอุดิอาระเบียต่างเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดต่อกัน และร่วมผลึกกำลังกันจนอยู่ในฐานะมหาอำนาจของกลุ่ม OPEC โดยที่ซาอุฯรับบทบาทเป็นผู้นำของ OPEC โดยพฤตินัย ในขณะที่ UAE ก็ถือเป็นผู้ผลิตรายใหญ่สุดอันดับ 3
แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นของทั้งสองฝ่ายในระยะหลัง ๆ ก็ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่า นี่อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ OPEC เกิดการหยุดชะงัก ในขณะที่ผู้สังเกตการณ์บางคนถึงกับมองว่า มันเป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้ UAE ถอนตัวออกจากองค์การนี้
References :
https://edition.cnn.com/2021/07/05/investing/opec-meeting-canceled-oil-production/index.html